บทที่ 28 สืบความลับเมืองเชลียง



บทที่ 28

ท่านพ่อขุนผาเมืองยังคงตรัสต่อ

“ข้าคงต้องข้ามไปยุคของเจ้าแลเห็นด้วยตาตนเองกระมัง จึงจักเข้าใจได้ ช่างมันเถิด ขอถามสิ่งที่ข้าเป็นห่วงดีกว่า ชนเผ่าไทเรายังถูกรุกรานด้วยเผ่าอื่นอยู่เยี่ยงบัดนี้ฤาไม่” 

ชายหนุ่มค่อยๆ เรียบเรียงความคิดและความรู้ที่ได้หาอ่านมา ก่อนจะตอบว่า

“ตลอดเวลาจากยุคนี้ถึงยุคของข้า เผ่าไทของเราที่รวมกันเป็นแผ่นดินเดียว ถูกรุกรานด้วยกำลังจนเสียเมืองให้ต่างชนเผ่าอยู่สองครั้ง หากทุกครั้งก็มีเจ้าแผ่นดินผู้เสียสละมากอบกู้กลับคืนมาได้ แลเจ้าแผ่นดินบางพระองค์ก็ทรงต้องใช้สติแลปัญญามากมายป้องกันบ้านเมืองจากชนเผ่าตะวันตกผู้หมายครอบครองแผ่นดิน จนเอาตัวรอดสำเร็จ ในยุคที่ข้าจากมา การรุกรานก็ยังมีอยู่ หากมันซับซ้อนกว่าเดิมนัก”

“ชนเผ่าจากแดนไกลก็มารุกรานเรากระนั้นฤา แล้วสมัยของเจ้าที่ว่าซับซ้อนมันเป็นเยี่ยงไร”

“การรุกรานแต่เดิมมีเพียงกระทำด้วยกองทัพแลอาวุธ แต่สมัยของข้าลึกล้ำกว่านั้น มีทั้งโดยอาวุธ ที่ล้างผลาญชีวิตคนได้มหาศาล โดยการแทรกแซงนำความคิดความเชื่อเข้าไปทำให้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินแตกแยกกัน เพราะผู้คนติดต่อกันได้ง่ายแลรวดเร็วมาก ด้วยสิ่งที่เรียกว่า อินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะผ่านทางแผ่นสี่เหลี่ยมวิเศษที่ข้าบอกแก่ท่านแล้ว แต่บ้านเมืองยุคข้านับว่าโชคดียิ่งนัก เราได้อยู่กันอย่างสงบ มิเคยถูกชนเผ่าแดนไกลรุกรานด้วยอาวุธแลกองทัพเลย”


พ่อขุนผาเมืองทรงมีสีหน้าฉงน  สาวิตรรู้ว่า พระองค์คงทรงแปลกหูกับคำว่าอินเตอร์เน็ต ชายหนุ่มจึงพยายามอธิบาย...”เอ้อ อินเตอร์เน็ต มันเป็น...” เขานึกคำอธิบายไม่ออก

“ตอบข้ามิได้ก็มิเป็นไรดอก ถึงเจ้าพูดมา ข้าก็มิรู้ว่ามันเป็นเยี่ยงไรอยู่ดี” พ่อขุนผาเมืองตรัสยิ้มๆ  ก่อนจะทรงถามขึ้นว่า

“เจ้าแผ่นดินยุคของเจ้าเล่า เป็นเยี่ยงไร”

“ยุคของข้า เจ้าแผ่นดินยังมีอยู่ หากมิได้ปกครองดูแลกิจการงานเมือง เป็นไพร่ฟ้าเลือกคนจากหมู่ไพร่ฟ้าด้วยกัน มาปกครองกันเองขอรับ แต่เจ้าแผ่นดินในคราที่ข้าเกิดมา แม้ท่านมิมีอำนาจ ท่านก็ดูแลทุกข์สุขของข้าแผ่นดินตลอดสมัยด้วยเมตตากรุณายิ่ง จนแม้เมื่อท่านจากไปแล้ว ทั้งเผ่าเราแลแทบทุกเผ่าต่างอาลัยท่านนัก นามท่านคือภูมิพลขอรับ ท่านครองแผ่นดินนานถึง 70 ปี”

แม้ชายหนุ่มจะใช้ชีวิตเยาว์วัยในต่างแดน แต่พ่อและอาก็คอยบอกเล่าให้ได้รับฟังเสมอว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงกระทำสิ่งใดให้คนไทยบ้าง บอกเล่าว่าท่านพระราชทานวิถีเศรษฐกิจพอเพียงให้แก่ประชาชน เพื่อประเทศและคนไทยจะได้ยืนหยัดมีกินมีใช้อยู่ได้ด้วยตนเอง ไม่ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจของโลกจะเป็นเช่นไร และที่สำคัญจะได้รอดพ้นจากมหาอำนาจที่มักใช้ความเหนือกว่าทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือในการรุกรานบีบคั้นประเทศอื่น 

ในส่วนปัจเจกชน เศรษฐกิจพอเพียงมิได้เป็นแค่หลักการครองชีพ หากยังเป็นเสมือนภูมิคุ้มกันใจ ให้มิต้องแก่งแย่งแข่งดีกันมีทรัพย์สิน ชื่อเสียง ฯลฯ จนถึงขั้นเป็นทุกข์และทำร้ายกันเช่นที่เห็นอยู่ อาพสิฐเคยบอกให้ฟังเช่นนี้

น่าเสียดาย มีคนน้อยมากที่จะเข้าใจและทำตามสิ่งที่ท่านคอยบอกคอยสอน เพราะแต่ละคนไปจนถึงระดับชาติ ให้ความสำคัญแต่กับการแข่งขัน เพื่อจะได้จะมีโดยไม่รู้จักหยุด ด้วยถือเป็นสรณะว่ายิ่งมีเงินทอง ทรัพย์สินมากขึ้นๆ เท่าใดคือความสุขและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของชีวิต

สาวิตรได้รับรู้และซาบซึ้งใจยิ่งขึ้น เมื่อบังเอิญไปพบพระราชดำรัสของพระองค์ท่าน ณ ที่แห่งหนึ่ง…

“...ประเทศไทยเราอาจไม่เป็นประเทศที่รุ่งเรืองที่สุดในโลก หรือรวยที่สุดในโลก หรือฟู่ฟ่าที่สุดในโลก แต่ก็ขอให้เมืองไทยเป็นประเทศที่มีความมั่นคง มีความสงบได้ เพราะว่าในโลกนี้หายากแล้ว เราทำเป็นประเทศที่สงบ ประเทศที่มีคนที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันจริงๆ เราจะเป็นที่หนึ่งในโลกในข้อนี้ แล้วรู้สึกว่าที่หนึ่งในโลกในข้อนี้จะดีกว่าผู้อื่น จะดีกว่าคนที่รวยที่สุดในโลก จะดีกว่าคนที่เก่งในทางอะไรก็ตามที่สุดในโลก ถ้าเรามีความสงบ แล้วมีความสบาย ความมั่นคงที่สุดในโลกนั้น รู้สึกจะไม่มีใครสู้เราได้...”

นั่นสินะ ทำไมเราจึงต้องแข่งขันกันไปสู่ความรุ่งเรือง ร่ำรวย ตามพิมพ์เขียวแผ่นเดียวกันทั่วโลก จนต่างพากันเหนื่อยล้าและทุกข์ทน ทำไมเราจึงไม่คิดทวนกระแสไปเป็น “มหาอำนาจแห่งความสงบ” บ้าง

ความสุขแท้จริงอาจค้นพบได้ที่ตรงนั้น…

“ข้าคงถามเจ้าเท่านี้แล” พ่อขุนผาเมืองตรัสขึ้นในที่สุด “ยุคสมัยแห่งเจ้ามันเข้าใจยากนัก ข้ารับรู้แต่เพียงการศึกที่อยู่ตรงหน้าก็คงพอ แต่ข้าก็ยินดียิ่งที่ไพร่ฟ้าของเรายังมีแผ่นดินอยู่ยาวนานไปนับ 100 ปีข้างหน้า ดังที่เจ้าบอกเล่าแก่ข้านี้”

สาวิตรหันหน้าไปทางพ่อขุนบางกลางหาว

“ข้ามีสิ่งค้างคาในใจเรื่องหนึ่ง อยากเรียนถามท่าน หากมิเป็นการบังควร ท่านมิตอบข้าก็ได้”

“ถามข้ามาเถิด” พ่อขุนบางกลางหาวตรัสตอบ

“ท่านเองก็ได้เดินทางไปถึงอนาคต ได้พบเห็นความเป็นไปในยุคของข้าทุกสิ่ง ท่านมิทราบเลยหรือว่าผลแห่งการศึกครั้งนี้เป็นเช่นไร”

พ่อขุนบาวกลางหาวทรงยิ้ม “ข้าอาจรู้ได้หลายสิ่ง แต่น่าเสียดาย  ข้ามิมีสิทธิรู้เหตุอันจักเกิดแก่การศึกครั้งนี้แลตัวข้าเลย ทุกสิ่งถูกปิดมืดมิด สิ่งที่ข้ารู้มีเพียง จักต้องตามเจ้ากลับมาเท่านั้น ด้วยเจ้าสำคัญยิ่งต่อการศึก”

สาวิตรฟังแล้วนึกในใจ คงจะเหมือนกับที่เขาได้กลับคืนมาอดีต แต่ไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงเรื่องราวอะไรได้เลย แม้อยากจะเปลี่ยนมากมายแค่ไหนก็ตาม

พ่อขุนบางกลางหาวตรัสต่อ

“ส่วนเรื่องการศึก พวกข้าได้วางแผนแล้ว เราจะแบ่งกันตีเมือง ข้าจักตีเมืองเชลียง ส่วนผาเมืองตีบางขลัง แล้วจักไปรวมกัน เพื่อตีสุโขทัยต่อไป เจ้าเห็นเป็นเช่นไร”

“สมควรแล้วขอรับ” สาวิตรตอบเพียงเท่านั้น แต่ใจคิดว่า มันตรงกับข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่เขารู้มา และจะทำให้ได้ชัยชนะในการศึกครั้งนี้

“อีกมินาน ข้าจักนำพาเจ้าและพวกพ้องของเจ้าไปช่วยกันดูลู่ทางการศึกในเมืองเชลียง” พ่อขุนบางกลางหาวตรัสในที่สุด

…….

เวลานี้ ผู้รับรู้ว่า “มิ่ง” มิใช่มิ่งคนเดิม หากแต่เป็นผู้ข้ามเวลามาจากอนาคตกาลมีอยู่ 3 แล้ว เมื่อรวมพ่อขุนผาเมืองเข้าไปอีกท่านหนึ่ง บางครั้งสาวิตรคิด จะบอกความจริงให้เพื่อนๆ และพี่น้องคือเดช ริด เลื่อง ทิม เพ็ง คงรวมถึงคนรักคือปรางทราบด้วยดีไหมนะ

เอ้าลองดู บอกปรางเป็นคนแรกแล้วกัน สาวิตรเตรียมคำอธิบายไว้ในใจพร้อมสรรพ แต่เอาเข้าจริง ยามที่คิดจะเริ่มเรื่อง หัวใจเขาก็เต้นไม่เป็นส่ำ 

“แม่ปราง” นางหันมาตามเสียงเรียก เมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพัง 

“หากข้ามีบางสิ่งที่ผิดไปจากเดิม ท่านจักคิดเยี่ยงไร”

นางหันมามองอย่างแปลกใจ

“อันใดฤา พี่มิ่ง”

ชายหนุ่มอึ้งไป เพราะเอาเข้าจริง ก็เกิดไม่กล้าบอกขึ้นมาเสียอย่างนั้น กลัวเหลือเกินว่านางจะรับไม่ได้ คิดแล้วจึงเปลี่ยนเรื่องเสียโดยพลัน

“เอ้อ เพลานี้ยังมิมีดอก ข้าหมายถึงกาลข้างหน้า”

“ท่านพูดแปลกจริง จักวิตกอันใดเมื่อกาลข้างหน้ายังมิมาถึง”

เขาโอบร่างบางที่อยู่เคียงข้างกระชับเข้ามา กลิ่นหอมกรุ่นของผมและผิวกายโชยมาต้องจมูก จนอดไม่ได้ที่จะจุมพิตเรือนผมยาวสลวยนั้น

“แต่สำหรับข้า แม้กาลข้างหน้า จักยาวนานเพียงใด ท่านจักผิดแปลกจากเดิมเพียงไหน ข้าก็มิเคยเปลี่ยนใจจากท่านเลย” สาวิตรพูด

แม้จะฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ อยู่ สีหน้าของคนในวงแขนก็ปรากฏรอยยิ้มระเรื่อด้วยความสุข

อย่าบอกเลย…ในที่สุดเขาก็สรุปเช่นนี้ เพราะหากบอกปรางไป นางจะเข้าใจได้หรือ กับเรื่องที่เหลือเชื่อขนาดนี้ และนางจะยังรักเขาเหมือนเดิมไหม ตรงนี้แหละ ที่มันคงเกินจะทน บอกคนอื่นๆ ก็เหมือนกัน แต่ละคนคงจะคิดว่าเขาเอานิทานมาเล่ามากกว่าอย่างอื่น มันอธิบายยากเหลือเกิน ว่าเขาก็คือมิ่งในภพอนาคตที่จากไปยาวนานแล้วคืนมาในอดีต...

แต่พอไม่บอกก็ยังมีเรื่องให้วิตกอีก เพราะสาวิตรมีความแตกต่างจากมิ่งอยู่ไม่น้อย สิ่งที่สาวิตรได้กลับมาก็คือวิชาอาวุธและการต่อสู้ที่มิ่งเคยเรียน ด้วยอำนาจของดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ถือครอง หากการใช้ชีวิต การกินอยู่แบบดั้งเดิมทั้งหลาย เขาลืมมันไปหมดสิ้นแล้วจริงๆ

ตรงนี้แหละ ลำบากไม่น้อยเหมือนกัน ไม่มีโอกาสได้เตรียมตัวเลยสำหรับเรื่องพื้นๆ แบบนี้ ตั้งท่าเสียดิบดี แต่หวิดจะต้องมาตายน้ำตื้นเสียอย่างนั้น

อย่างเช่นเรื่องอาหารการกิน เขาก็ต้องมาตั้งต้นใหม่กับอาหารไม่คุ้นลิ้น ไม่มีไก่ทอด แฮมเบอร์เกอร์ อาหารญี่ปุ่น อาหารอิตาเลียน ฯลฯ แม้อาหารไทยที่เคยกินเป็นประจำก็ไม่มี หมู วัวก็ไม่มี มีแต่ผัก กุ้ง ปลา ก็ดีไป อาหารสุขภาพทั้งนั้น ไม่ต้องกลัวป่วยด้วยโรคสมัยใหม่หรืออ้วนเกินไปอีกต่างหาก

บางครั้งสาวิตรคิดอยากจะลงมือทำอาหารไทย ต้ม ผัด แกง ทอดที่เป็นของโปรดและเคยทำมา แต่เครื่องปรุงทั้งหลายก็ไม่ครบ อีกอย่าง ถ้าทำขึ้นมาได้จริงๆ คนใกล้ตัวก็คงสงสัยอีก ว่ามิ่งไปเอาความรู้เรื่องการครัวที่แปลกประหลาดนี่มาจากไหนกัน

ไม่อยากจะพลาด ให้ใครๆ รู้ด้วยเรื่องกินๆ อยู่ๆ นี่เลย

ที่จริงก็เคยทำเหมือนกันแหละ มีอยู่ครั้งหนึ่ง นึกอยากกินไข่เจียวขึ้นมา ทำอย่างไรดีล่ะ น้ำมันจะทอดก็ไม่มี ไม่เป็นไร ก็เอาไข่มาตี ใส่เกลือ ต้นหอม กระเทียม ตะไคร้ ที่พอจะหาได้ วางบนใบตอง ปิ้งกับน้ำ ก็ได้รสชาติไข่ไร้น้ำมันที่อร่อยอยู่เหมือนกัน ใครๆ ได้ชิม ต่างพากันชอบใจ จนลืมคิดที่จะสงสัย 

แต่สิ่งที่ชวนให้สงสัยก็มีอยู่ เริ่มตั้งแต่การเปิบข้าวเข้าปาก แรกเมื่อต้องล้อมวงกินข้าวกับปรางและคนอื่นๆ คนเคยแต่กินอาหารด้วยช้อนส้อมอย่างเขานั่งอึ้งไปพักหนึ่ง ได้แต่มองปรางและผู้ร่วมวง ใช้ปลายนิ้วทั้งห้าค่อยๆ ตะล่อมข้าวแล้วหยิบเข้าปากอย่างแคล่วคล่อง ส่วนเขานั้น พอลองทำแบบคนอื่นบ้าง เม็ดข้าวก็ร่วงกราว จนปรางถามขึ้นอย่างสงสัย

“พี่มิ่งเป็นอันใดฤา”

สาวิตรไม่รู้จะสรรหาคำใดมาตอบ จึงได้แต่นิ่งเฉย ทิ้งให้คนรักสงสัยอยู่ ว่าพี่มิ่งของนาง เหตุไฉนจึงเปิบข้าวแล้วร่วงเป็นเด็กเล็กขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“สงสัยจักลืมไปตอนเจ็บนั่นหนา แม่ปราง เอ้า ดูนี่ ไอ้มิ่ง” พี่ขาบที่นั่งกินข้าวอยู่ด้วยมาเป็นตัวช่วยทันเวลาพอดีแบบไม่ได้ขอร้อง แล้วก็สาธิตวิธีการเปิบข้าวให้สาวิตรดูชัดๆ เจ้าคงที่นั่งอยู่ด้วยหัวเราะก้ากออกมา

“ขำอันใดไอ้คง” สาวิตรว่า

“ขำสิ อยู่ดีๆ พี่ก็เปิบข้าวมิเป็น  นี่พี่ใช่พี่มิ่งคนเดิมฤาไม่ ฤาเป็นเทวดาที่ไหนจำแลงกายมา อาหารทิพย์ของเทวดาคงไม่ต้องเปิบเข้าปากสินะ” ไอ้จอมทะเล้นทักขึ้นตามประสา แต่มิได้คิดจริงจังอะไรนัก

“ข้าลืมจริงๆ” ตอบเพียงแค่นั้น เพราะนึกคำแก้ตัวไม่ออก ได้แต่แอบยิ้มอยู่ในใจที่ไอ้ตัวดีเหมือนๆ จะรู้แต่ก็ไม่รู้

ชายหนุ่มต้องใช้เวลามากทีเดียวกว่าจะปรับตัวให้เข้ากับการกินอยู่ต่างยุคนี้ได้ แม้การเดินเหินธรรมดาไปกับน้องทั้งสองคือทิมกับเพ็ง สาวิตรก็ตามทั้งคู่ไม่ค่อยจะทัน เพราะเดินกันเร็วมาก ทำให้ทั้งทิมและเพ็งต้องหันมามองดูเขาบ่อยๆ 

“พี่มิ่งเหตุใดเดินเหมือนคลานเยี่ยงนั้น” ทิมตั้งข้อสังเกต แต่ในที่สุดเพ็งก็เป็นตัวช่วยให้

“พ่อทิม อย่าตำหนิพี่มิ่งเลย ข้าว่าพี่เขาป่วยหนักแลนาน จึงอ่อนแรงไปบ้างนั่นแหละ” 

หลังจากพูดกับน้องชายเสร็จ ก็หันมาพูดกับสาวิตรต่อ

“ข้าว่าพี่มิ่งพักผ่อนให้มาก แล้วก็กินยาบำรุงเถิด บัดเดี๋ยวข้าจักไปต้มให้ ตำรับของแม่ข้ารับรองกินแล้วเรี่ยวแรงดีนัก” นางว่า

กรรมไม่แบเสียจริงๆ สาวิตรคิด เพราะวันต่อมา เพ็งก็จัดแจงต้มยาหม้อใหญ่มาให้แล้วคะยั้นคะยอให้ดื่ม แค่ได้กลิ่นก็จะแย่แล้ว ยิ่งเข้าปาก เขายิ่งรู้สึกได้เลยว่า กรรมเก่าบางทีมันก็ตามสนองในรูปยาได้เหมือนกัน!

ทรมานอะไรจะปานนั้น กว่าจะกลืนได้หมด ดีที่ส่วนมาก ปรางซึ่งรับช่วงเป็นผู้ต้มยาต่อจากเพ็งเผลออยู่บ่อยๆ...เททิ้งสิ จะรออะไร จนกระทั่งวันหนึ่ง...

“พี่มิ่งต้องกินยาให้มาก บัดเดี๋ยวยามทำศึกจักไม่มีกำลัง” ว่าแล้วนางก็ส่งจอกยาให้แล้วจับตามองจนกว่าจะดื่มยาหมด 

“จักทำตัวเป็นทารกบ้วนยาทิ้งอีกไม่ได้นะท่าน” ได้ฟังคำนี้แทบสะอึก พฤติกรรมของเขาไม่รอดสายตานางจริงๆ

เดช ริด เลื่องเองก็เห็นว่ามิ่งกำลังวังชาน้อยลงจนผิดสังเกต แต่ก็พากันเข้าใจเหมือนคนอื่นว่าเป็นเพราะมิ่งบาดเจ็บจนแทบเอาชีวิตไม่รอด จึงไม่ตั้งข้อสงสัย ทั้งนี้ทั้งนั้น สาวิตรรู้ดีว่า เป็นเพราะเขาออกกำลังกายน้อยไปหน่อยในภพชาติที่จากมา

เพราะฉะนั้นก็ต้องฟิตร่างกายให้ทันเพื่อนๆ แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ ที่นี่ฟิตเนสก็ไม่มีเสียด้วย มีอยู่ทางเดียว คือซ้อมมวย ซ้อมอาวุธให้หนัก ทำงานอย่างหาบน้ำ ผ่าฟืนให้มาก ทั้งที่ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องทำแล้ว แล้วก็จ๊อกกิ้งอยู่ใกล้ๆ คุ้มพ่อขุน พี่ๆ น้องๆ ก็คงสังเกตเห็นความผิดแปลกนี้บ้างล่ะ หากมันก็จำเป็นนี่นะ

เกิดเป็นคนสองภพ ในห้วงเวลาที่ห่างไกลกันมาก มันช่างลำบากเสียจริงๆ

……

พ่อขุนบางกลางหาวทรงนำสาวิตร ปราง เดช ริด เลื่อง ทิมและเพ็ง ปลอมตัวเป็นพ่อค้า บรรทุกสุราชั้นดีบนเกวียน เดินทางเข้าเมืองเชลียง เพื่อหาเบาะแสทั้งหลายที่สำคัญสำหรับการบุกโจมตีเมือง แบบไม่ให้ทันได้ตั้งตัว เพราะขอมนั้นเห็นไทยเป็นลูกไล่ ไร้พิษสง ยอมอยู่ใต้การกดขี่ตลอดมา…

ไม่รู้ว่า ไทยนั้นซุ่มสั่งสมกำลังจนพร้อมสู้เพื่อปลดแอกที่ต้องทนแบกมาช้านานแล้ว!!!

สาวิตรและทุกคนต่างตื่นเต้นที่จะได้เดินทางไปยังเมืองที่ไม่เคยเที่ยวชมมาก่อน นอกเหนือจากงาน “สืบความลับ” ซึ่งจะได้มีโอกาสทำเป็นครั้งแรก สาวิตรนั้นตื่นเต้นกว่าใครทั้งหมด เพราะมันมิใช่แค่การทำหน้าที่อย่างเดียว หากยังเป็นโอกาสได้เที่ยวชมโบราณสถานต่างๆ ที่ในยุคของเขา แทบจะเหลือเพียงเศษอิฐซากปูนไว้ให้เห็นเท่านั้น

ใครเลยจะมีโอกาสเห็นยามที่ทุกสิ่งยังอยู่ในสภาพแรกสร้างอย่างเขาบ้างล่ะ

ท่านพ่อขุนได้พาคณะเข้าพักที่เรือนของข้าเก่าคนหนึ่ง แล้วทุกคนก็ทำงานโดยขายสุราไปพร้อมๆ กับตีสนิทกับชาวเมืองและข้าคนฝ่ายขอมจนได้รับทราบข้อมูลสำคัญต่างๆ เช่น ที่ตั้งบ้านเจ้าเมือง บ้านแม่ทัพนายกองและคลังเก็บอาวุธ 

ในยามพักผ่อนวันหนึ่ง เดช ริด เลื่องและทิมนั่งล้อมวงดื่มสุราพร้อมคุยกันอย่างออกรส พอเห็นสาวิตรเดินเข้ามา ริดก็ร้องเรียก

“ไอ้มิ่ง ทำอันใดอยู่ มานี่เถิด”

พอเขาลงไปนั่งข้างๆ ริดก็รินเหล้าส่งให้ทันที 

“เอ้า กินซะ บัดเดี๋ยวจักหาว่าข้าไม่แบ่ง ของดีจริงๆ นะ”

ชายหนุ่มไม่ถนัดในการดื่มมาแต่ไหนแต่ไร หากแต่ขัดผู้เป็นสหายไม่ได้ จึงยินยอมรับเหล้าจอกนั้นมาดื่ม แต่เพียงสุรานั้นแตะลิ้น รสชาติก็ประหลาดสุดจะทน สาวิตรเกือบจะบ้วนทิ้ง แต่ก็ทนกลืนเข้าไปจนหมด

เลื่องสังเกตเห็นสีหน้าเหยเกของผู้เป็นเพื่อน เขาหัวเราะ

“เหตุอันใดจึงทำหน้าปานกินยาหม้อแม่เพ็งเยี่ยงนั้น เมื่อก่อนเอ็งเคยกินมิใช่ฤา”

จะบอกอย่างไรดีนะ ว่ามิ่งน่ะคงกินได้…แต่สาวิตรน่ะ ไม่ได้กินแล้ว

“ตั้งแต่เอ็งรอดชีวิตจากคมดาบไอ้ขอม ข้าว่าเอ็งแปลกไปยิ่งนัก เป็นอันใดฤา ไอ้มิ่ง” ริดพูดขึ้นบ้าง สาวิตรเริ่มสะดุ้งในใจ แต่ยังไม่ทันตอบ ทิมก็พูดขึ้นก่อน

“พี่เพ็งบอกข้า พี่มิ่งยังไม่แข็งแรง เหล้านี่คงแสลงอยู่กระมัง”

“ถ้ายาแม่เพ็งมิได้ผล คงต้องจัดตำรับพ่อข้าให้แล้วล่ะเจ้า” เดชพูดขึ้นบ้าง ยาอีกแล้ว สาวิตรนึก นี่เขามีกรรมกับยาต้มหรืออย่างไร ยาที่กล้ำกลืนกินอยู่นี้ มิได้รสชาติดี เหมือนยาของท่านคุรุเลย

โดยเหตุนี้ งานที่ต้องใช้สุราเป็นสื่อ สาวิตรจึงมิอาจร่วมด้วยได้ ได้แต่ยืนดูอยู่ห่างๆ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเดช ริด เลื่อง และทิม 

ทั้งสี่คนเข้าไปตีสนิทกับหัวหน้าทหารยามเฝ้าประตูเมืองได้สำเร็จ และนำสุราที่นำมา กับกับแกล้มรสเลิศที่เพ็งกับปรางช่วยกันปรุง ไปเลี้ยงดูปูเสื่อทหารขอมผู้นั้นกับพรรคพวกในค่ำวันหนึ่ง

“ข้าต้องขอบใจพวกท่านมากสำหรับอาหารมื้อนี้ พวกข้ามิได้ลิ้มรสสุราอาหารที่รสชาติเป็นเยี่ยมเยี่ยงนี้มานานแล้ว” ทหารนายนั้นพูดขึ้น

“มิเป็นไรดอก” เดชตอบ “พวกข้าต่างหากที่ต้องขอบใจท่าน หากมิได้ท่าน เราคงมิได้ค้าขายได้ง่ายเยี่ยงนี้ มื้อนี้ถือเป็นการตอบแทนน้ำใจของท่าน”

“สุราของท่านรสดีหาที่เปรียบมิได้ เสียดายนักที่ยามนี้หมดเสียแล้ว” ทหารผู้นั้นว่าพร้อมกับยกจอกเปล่าขึ้นชู”

“ถ้าท่านพอใจ ข้าจัดหาให้ท่านได้ อีกนานนักกว่าข้าจักมาเมืองเชลียงอีก แต่เมื่อข้ากลับไปแล้ว จักให้คนของข้าขนมาให้ท่าน แลขายให้ในราคามิตรสหาย”

เดชบอกราคาไป หัวหน้ายามผู้นั้นพอใจเพราะราคาถูกจนเหลือเชื่อ

“แต่หากคนของข้ามาถึงในยามวิกาล ประตูเมืองปิดแล้ว ท่านจักเอื้อเฟื้อให้เขาเข้าประตูไปพักได้ฤาไม่” เดชถามขึ้น

“ได้เลยท่าน” ว่าแล้วก็กระซิบที่ข้างหูเดช บอกคำบางคำที่เป็นรหัสลับไป หากคนของเดชมาถึงและเอ่ยคำนี้ ทหารที่เฝ้าประตูอยู่ จะนำไปพบหัวหน้าทหารยามทันที

เดชยิ้มและที่สุดก็ประสานเสียงหัวเราะกับหัวหน้าทหารยามผู้นั้น…แต่ด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน…

เดชโล่งอกที่สามารถทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายสำเร็จลุล่วง ขณะที่สายตาหัวหน้าทหารยามผู้นั้นบอกชัดว่า ไอ้โง่เอ๋ย เอ็งคิดหรือว่า ข้าจักจ่ายค่าสุราให้เอ็ง!

…..

ก่อนออกจากเมืองเชลียง สาวิตรและคณะได้มีโอกาสเดินเที่ยวชมเมืองซึ่งมีสิ่งก่อสร้างทางศาสนามากมาย เขาตื่นตาตื่นใจกับความงดงามของวัดวาอารามต่างๆ ที่ได้พบเห็น

ณ ที่ตรงนี้แหละคืออุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยในยุคสมัยของเขา

คนโบราณสร้างสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ได้อย่างไรกันนะ ทั้งที่เทคโนโลยีก็ไม่ได้ก้าวหน้าอะไรมากมาย อยากเห็นตอนที่พวกเขากำลังขนอิฐหินดินทรายขึ้นไปก่อสร้างเหลือเกิน

สาวิตรเดินเที่ยวชมวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง …พระเจดีย์ที่เห็นเบื้องหน้า น่าจะเป็นองค์ดั้งเดิมก่อนการสร้างพระปรางค์ครอบในสมัยหลังสินะ เขาคิด

เมื่อเขาอยู่ซิดนีย์ ยามที่พ่อคลายความคิดถึงแม่ที่จากไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว พ่อได้พาเอวา แม่เลี้ยง พร้อมกับตัวเขา ธิโมทีและน้องสาวทั้งสองคือมิอากับเอลล่ามาเที่ยวที่ศรีสัชนาลัยและวัดแห่งนี้ เขายังจำได้ เพียงแต่ตอนนี้ ซากปรักหักพังทั้งหลายที่เคยเห็นมาก่อน ยังคงสมบูรณ์อยู่และงดงามเป็นที่ยิ่ง

อัศจรรย์ใจจริงๆ…

สาวิตรมองแล้วน้ำตาซึม เขาเคยเลิกสนใจโทรศัพท์มือถือไปแล้ว แต่ตอนนี้กลับอยากได้มันมา จะได้ถ่ายภาพ ถ่ายคลิปเอาไว้ให้คนในโลกอนาคตรับชม…ภาพพระธาตุเจดีย์ พระวิหาร โบสถ์ พระพุทธรูป ฯลฯ ที่ยังมิได้ถูกทำลายด้วยกาลเวลาแม้แต่น้อย อยากให้ใครๆ ได้เห็นอย่างที่เขาเห็นจริงๆ

ทิมกับเพ็ง สองพี่น้องเดินมายืนข้างๆ  วูบหนึ่งเขาคิดถึงน้องชายในโลกอนาคตจับใจ จึงเอามือมาโอบไหล่ทิมจนฝ่ายนั้นดูงงๆ อยากจะบอกทิมเหลือเกินว่า 

‘ธิโมที จำได้ไหม เราเคยมาเที่ยวด้วยกันที่นี่’ แต่เด็กหนุ่มคงไม่รู้เรื่องอะไร เพราะตอนนี้เขายังไม่ใช่ธิโมที หากตอนนั้นก็ยังเรียกกันเล่นๆ ว่าทิม เหมือนในภพนี้

“พี่ตั้งชื่อให้เจ้าอีกชื่อหนึ่งเอาไหม” สาวิตรนึกสนุกอยากล้อเล่นขึ้นมา

“ชื่ออันใด” ทิมถาม

“ธิโมที”

ทิมทำหน้าแปลก “มิเอาดอก ชื่ออะไร  ‘ที่ๆ’ ยาวแลมิเห็นเพราะตรงไหนเลย”

ชายหนุ่มหัวเราะแล้วหันมาทางเพ็งบ้าง “ส่วนเจ้า พี่จักเรียกว่านาถนพิน”

เพ็งทำหน้าพูดยาก แล้วก็ตอบว่า “ข้าก็มิเอาดอก ฟังดูเป็นเจ้านายมาก ข้ากลัวขี้กลากขึ้นหัว” 

ชายหนุ่มยิ่งหัวเราะดังลั่น ขณะที่น้องทั้งสองดูจะงุนงงหนัก ทิมเป็นฝ่ายตัดบทขึ้นว่า

“พี่มิ่ง อย่าพูดเล่นเลย ไปกันเถิด พ่อขุนท่านรออยู่ ท่านว่าจักพาไปชมตลาด”

สาวิตรพยักหน้าแล้วเดินตามคนทั้งสองไปสมทบกับท่านพ่อขุน ณ จุดที่นัดหมายกันไว้

ชายหนุ่มได้รับรู้ตอนนี้ว่า เชลียงเป็นเมืองศูนย์การค้า มีสินค้าต่างๆ วางจำหน่ายมากมาย ทั้งผ้า เครื่องถ้วยชามสังคโลกที่มีเตาเผาผลิตได้เองจนเป็นที่เลื่องลือ และอื่นๆ อีกมาก โดยเฉพาะถ้วยชามสังคโลก เขาเคยอ่านพบว่าในสมัยพ่อขุนรามคำแหง ถึงกับเป็นสินค้าส่งออกไปขายยังต่างประเทศ เช่น หมู่เกาะบอร์เนียว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย แม้ประเทศญี่ปุ่น ก็ปรากฏว่ามีเครื่องปั้นดินเผาสังคโลกสุโขทัย เป็นมรดกตกทอดมาถึงลูกหลาน  สาวิตรหยิบถ้วยชามลวดลายงดงามขึ้นชม พลางก็นึกถึงร้านอาหารที่เคยทำงานในออสเตรเลีย หากได้ถ้วยชามเหล่านี้ไปใช้ที่ร้าน ลูกค้าคงชมเปาะทีเดียว

และธิโมทีที่ช่วยทำร้านอาหารของเอวา แม่ตัวเองอยู่ เห็นเข้า คงกวาดเข้าร้านหมดเป็นแน่ ตอนนี้เขาคิดถึงเจ้าน้องชายตัวดีขึ้นมาอีกแล้ว

สาวๆ คือปรางกับเพ็งดูจะตื่นตากับผ้าสีสันสวยงาม ขณะที่หนุ่มๆ คือเดช ริด เลื่อง ทิม ให้ความสนใจพวกมีดพร้าอาวุธและของป่าต่างๆ สาวิตรเองเดินชมตลาดไปเรื่อย จนไปถึงร้านขายสมุดข่อย เครื่องเขียนและสีต่างๆ ความคิดอย่างหนึ่งผุดขึ้นในหัวทันที

ในเมื่อไม่มีกล้องจะถ่ายรูปเก็บเอาไว้ แต่เขายังวาดรูปได้ เขียนหนังสือได้ ดังนั้นก็จะเขียนภาพและเล่าเรื่องยุคสมัยนี้ลงไว้ในสมุดเหล่านี้ล่ะ หากศาสตราจารย์วิรุฬห์กับทีมงานมาพบและได้อ่านข้อมูล อย่างน้อยๆ สาวิตรก็ได้ช่วยงานของท่านบ้างแล้วแหละ

กำลังดูเครื่องเขียนยุคโบราณเพลินอยู่ เสียงเอะอะที่ดังขึ้นไม่ไกลนัก ทำให้เขาเงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน คนที่กำลังจ่ายของอยู่จำนวนหนึ่งพากันวิ่งแตกกระเจิงไปคนละทิศ…

สตรีนางหนึ่งกำลังสู้กับชายร่างกำยำในมือมีดาบถึง 4 คนด้วยมือเปล่า ท่านพ่อขุน ทิม เพ็งและปรางซึ่งอยู่ใกล้วิ่งเข้าไปแล้ว สาวิตรตั้งสติแล้วกำหนดจิตเรียกดาบศักดิ์สิทธิ์คู่มือออกมาเตรียมพร้อม สตรีผู้นั้นดูเหมือนจะไม่ยั่นศัตรูแม้แต่น้อย

เก่งกล้าขนาดนี้…นางเป็นใครกันนะ


22 พ.ย.66

 

 



 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น