ศรีอินทราทิตย์

                    

              

               เรื่องราวของหนุ่มไทยในต่างแดนซึ่งแม้จะอพยพไปไกลถึงแดนจิงโจ้ ก็ยังไม่พ้นการติดตามของบุรุษลึกลับ เจ้าของพระนาม "พ่อขุนบางกลางหาว" หรือพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ในเวลาต่อมา พระองค์ขอให้เขากลับไปทำหน้าที่ในฐานะกุญแจสำคัญดอกหนึ่งของการปลดปล่อยไทยให้เป็นอิสระจากขอม เขาลังเล แต่ที่สุดก็ตัดสินใจกลับคืนอดีต ด้วยความรักความผูกพันที่มีต่อหญิงงามชาตินักรบคนหนึ่ง ที่เขาได้พบเพียงในฝันตลอดมา แต่ต่อจากนี้จะได้พบตัวจริงของเธอแล้ว....


            หากใครชอบนิยายรัก แฟนตาซีย้อนยุค แนวเดียวกับ "บุพเพสันนิวาส" ช่วยเป็นกำลังใจให้แอดมินที่เขียนเรื่องนี้โดยใช้นามปากกา "รัสษวดี" ด้วยนะคะ    

            หรือจะติดตามอ่านในเว็บนวนิยายข้างล่างนี้ก็ได้ค่ะ

Readawrite

https://www.readawrite.com/a/Z5hhl3-%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B9%8C?r=search_article


เด็กดี

https://writer.dek-d.com/Wassawadee/writer/view.php?id=2340119


                                                            รัสษวดี

**อ่านจากโพสต์ล่างขึ้นมาโพสต์บนนะคะ**

บทที่ 28 สืบความลับเมืองเชลียง



บทที่ 28

ท่านพ่อขุนผาเมืองยังคงตรัสต่อ

“ข้าคงต้องข้ามไปยุคของเจ้าแลเห็นด้วยตาตนเองกระมัง จึงจักเข้าใจได้ ช่างมันเถิด ขอถามสิ่งที่ข้าเป็นห่วงดีกว่า ชนเผ่าไทเรายังถูกรุกรานด้วยเผ่าอื่นอยู่เยี่ยงบัดนี้ฤาไม่” 

ชายหนุ่มค่อยๆ เรียบเรียงความคิดและความรู้ที่ได้หาอ่านมา ก่อนจะตอบว่า

“ตลอดเวลาจากยุคนี้ถึงยุคของข้า เผ่าไทของเราที่รวมกันเป็นแผ่นดินเดียว ถูกรุกรานด้วยกำลังจนเสียเมืองให้ต่างชนเผ่าอยู่สองครั้ง หากทุกครั้งก็มีเจ้าแผ่นดินผู้เสียสละมากอบกู้กลับคืนมาได้ แลเจ้าแผ่นดินบางพระองค์ก็ทรงต้องใช้สติแลปัญญามากมายป้องกันบ้านเมืองจากชนเผ่าตะวันตกผู้หมายครอบครองแผ่นดิน จนเอาตัวรอดสำเร็จ ในยุคที่ข้าจากมา การรุกรานก็ยังมีอยู่ หากมันซับซ้อนกว่าเดิมนัก”

“ชนเผ่าจากแดนไกลก็มารุกรานเรากระนั้นฤา แล้วสมัยของเจ้าที่ว่าซับซ้อนมันเป็นเยี่ยงไร”

“การรุกรานแต่เดิมมีเพียงกระทำด้วยกองทัพแลอาวุธ แต่สมัยของข้าลึกล้ำกว่านั้น มีทั้งโดยอาวุธ ที่ล้างผลาญชีวิตคนได้มหาศาล โดยการแทรกแซงนำความคิดความเชื่อเข้าไปทำให้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินแตกแยกกัน เพราะผู้คนติดต่อกันได้ง่ายแลรวดเร็วมาก ด้วยสิ่งที่เรียกว่า อินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะผ่านทางแผ่นสี่เหลี่ยมวิเศษที่ข้าบอกแก่ท่านแล้ว แต่บ้านเมืองยุคข้านับว่าโชคดียิ่งนัก เราได้อยู่กันอย่างสงบ มิเคยถูกชนเผ่าแดนไกลรุกรานด้วยอาวุธแลกองทัพเลย”

บทที่ 27 พี่ช่วยเข็มไม่ได้จริงๆ



บทที่ 27

นับตั้งแต่พ่อมิ่งมาขอคุยตามลำพังกับแม่ปิ่น ผู้เป็นนาย นางแฟงก็รู้สึกแปลกใจอยู่ครามครัน เพราะแม่ปิ่นคนเดิมซึ่งอารมณ์ร้าย เอาแต่ใจตัวเองไม่รู้หายไปไหน กลายเป็นแม่ปิ่นคนใหม่ที่พูดจาหวานหูกับนาง แถมใจดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนอีกด้วย วันนี้นายสาวแบกผ้าหอบใหญ่เอามาให้

“ข้าให้เจ้าหมดนี่ล่ะ นางแฟง งามไหม” ว่าพลางก็หยิบให้ดูทีละชิ้น นางแฟงมีหรือจะไม่ปลื้มปิติจนยิ้มแก้มเกือบแตก

“งามจริงเจ้าค่ะ” กล่าวอย่างดีใจยิ่งนัก

“ข้าเห็นผ้าของเจ้าเก่านัก เลยหามาให้ใหม่ ของเก่าของเจ้า เอามาเช็ดถูเรือนเสียเถิดนะ มิต้องนุ่งอีกดอก”

นางแฟงออกจะงวยงงอยู่บ้างในตอนแรก แต่ในที่สุดก็รู้สึกยินดี ที่นายสาวเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ทำให้นางแฟงที่แต่เดิมเก็บปากเก็บคำอยู่ตลอด กล้าที่จะพูดคุยตอบโต้กับปิ่น อย่างไม่หวาดเกรงจนหัวหดเช่นแต่ก่อน

และยิ่งวัน แม่ปิ่นก็ยิ่งดูงามเปล่งปลั่ง โดยเฉพาะเมื่อพ่อมิ่งแวะมานั่งใกล้ พูดคุยกับนาง ใบหน้าของนางจะสดใสเป็นสีชมพูเชียวละ ดูๆ นางจะงามเสียยิ่งกว่าแม่ปราง ผู้เป็นพี่สาวเสียอีก ทั้งที่คล้ายกันมากมายยิ่งนัก

พ่อมิ่งว่างเมื่อไร เห็นแวะมาพูดคุยกับแม่ปิ่นอยู่เรื่อย เห็นทีจะพอใจทั้งแม่ปรางและแม่ปิ่นเสียละกระมัง พี่กับน้องสงสัยคงได้ออกเรือนพร้อมกันละทีนี้ นางคิด

บทที่ 26 เกิดใหม่เป็นคนเก่า



บทที่ 26

สาวิตรตบไหล่เพื่อนผู้มาใหม่ แต่เป็นคู่หูที่รู้ใจในกาลก่อน ขอบคุณมากนะ คงกระพัน ถ้าไม่ได้คุณ เราคงหาไม่พบแน่”

“ผมดีใจครับที่มาแล้วเป็นประโยชน์กับทุกคน” คงกระพันว่า

“เออ ตอนหาแทบตายน่ะไม่เจอ พอหยุดหากลับเจอเสียนี่” ฤทธีพูดกลั้วหัวเราะ

“เขาถึงว่า แสวงหาแทบตายกลับไม่พบ หยุดแสวงหาถึงจะพบไงล่ะเอ็ง” เรืองชัยตอบ

สาวิตรหันไปพูดกับเตชินที่อาสาเป็นเพื่อนเดินทางข้ามมิติไปกับเขาด้วย

“เตชิน พร้อมเดินทางไหมครับ” สาวิตรถาม ผู้ถูกถามพยักหน้า

“พร้อมครับ”

บทที่ 25 พบแล้ว ประตูมิติ



บทที่ 25

ภาพที่เห็นเบื้องหน้า นำความปิติมาสู่ใจของคนทั้งหกซึ่งยืนอยู่ตรงนั้นยิ่ง ยากนักที่ใครจะได้ชมบารมีของผู้ทรงคุณต่อแผ่นดิน ยามที่กาลเวลาล่วงผ่านมาเกือบ 800 ปีเช่นนี้ ทุกคนได้แต่ตะลึงลาน แม้ว่าจะได้เคยเห็นภาพนิมิตบางอย่างขณะทำสมาธิมาบ้าง แต่มันก็มิใช่การเห็นด้วยสองตาเนื้อสดๆ เช่นที่กำลังเห็นอยู่นี้…

สาวิตรเป็นคนแรกที่ได้สติ เขาทรุดกายลงนั่งคุกเข่ากับพื้น ทุกคนจึงนั่งลงบ้าง แล้วพนมมือกันอย่างพร้อมเพรียง เสียงพระองค์ท่านทรงตั้งจิตอธิษฐานยามนั้นก้องกังวานจนทุกคนต่างได้ยินชัดเจน..

“ขอฟ้าดินจงเป็นสักขี กาลบัดนี้ ชาวเผ่าไทมีความทุกข์ยากยิ่ง ด้วยต้องดำรงอยู่เสมือนหนึ่งเป็นทาสชนเผ่าขอม ตัวข้า พ่อขุนผาเมืองแลพี่น้องทั้งมวล มีความปรารถนาที่จะดับความทุกข์ยากนี้เสียให้สิ้น เราจักจับอาวุธขึ้นสู้ เพื่อยุติการกดขี่ข่มเหงโดยผู้อื่นนี้ให้จงได้ ด้วยเป็นทางเดียวที่เหล่าข้าจักสามารถกระทำ มิมีหนทางอื่นใดอีก หากแม้นเหล่าข้าจักสามารถกระทำการศึก มีชัยชนะแด่ขอม แลสามารถสร้างแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่น มิต้องเป็นทาสชนชาติอื่นใดอีกแล้วไซร้ ขอให้จำปาต้นนี้จงงอกงามแลออกดอกเป็นสีขาว หากแม้นมิเป็นดังคำอธิษฐานที่ข้ากล่าว ก็ขอให้จำปาต้นนี้ จงเหี่ยวเฉาร่วงโรย อย่าได้ยืนต้นขึ้นให้ได้ประจักษ์แก่ตาด้วยเทอญ”

สิ้นคำตรัส พระองค์ทรุดพระวรกายลงกับพื้น แล้วนำจำปาต้นน้อยลงปลูกในดิน ท่ามกลางเสียงสวดชยันโตของพระสงฆ์ พราหมณ์และผู้ร่วมพิธีรายรอบนั้น ก่อนที่ภาพและเสียงจะค่อยๆ เลือนหายไป กลับมาเป็นต้นจำปาต้นเดิมที่ยืนสูงตระหง่านต่อหน้าคนทั้งหกนั้น

บทที่ 24 คืนนครบางยาง


บทที่ 24

“เมืองบางยางเป็นชื่อสมัยโบราณครับ เท่าที่ผมเคยอ่านหนังสือมา เมืองบางยางตอนนี้เป็นอำเภอนครไทยในจังหวัดพิษณุโลก” สาวิตรกล่าวกับเตชิน บ่อยครั้ง เขานึกอยากไปเยือนดินแดนแห่งนี้ ไปชมบ่อเกลือในตำบลบ่อโพธิ์ ถิ่นที่เคยพำนัก เคยหาบน้ำมาต้มทำเกลือตามวิถีคนในท้องถิ่น เวลานี้ชายหนุ่มอ่านในเว็บไซต์พบว่า ชาวบ้านแถบนั้นยังคงดำรงชีวิตด้วยการค้าเกลือตามแบบบรรพบุรุษ ด้วยน้ำจากบ่อดั้งเดิมที่ถือกันว่าเป็นบ่อศักดิ์สิทธิ์ แม้เวลาจะล่วงเลยมานานหนักหนาแล้ว

และที่สำคัญ…บ้านพ่อครูพัน ที่ซึ่งได้ใกล้ชิดพบรักกับปราง ที่แห่งความสุขคลุกเคล้าความทุกข์ แม้ว่ายามนี้ทุกสิ่งคงจะเลือนสลายไปตามกาลเวลา ไม่มีแม้แต่ซากให้ได้พบเห็นแล้วก็ตาม เพียงได้ไปเยือนจุดอันเคยเป็นที่ตั้งให้ได้รำลึกถึงความหลัง ก็คงเพียงพอแล้ว

“ผมว่า เราคงต้องคุยปรึกษากันนะครับ เราลงไปร้านกาแฟกันดีกว่า พวกเขาเพิ่งลงไปกันเมื่อกี้นี้เอง”

เตชินกล่าวชวนสาวิตรลงจากรถ แล้วเดินนำหน้าพาไปยังร้านกาแฟภายในปั๊มน้ำมันที่คณะมาจอดรถแวะพัก ศาสตราจารย์ ฤทธีและเรืองชัยยังคงนั่งอยู่ในร้าน พร้อมแก้วกาแฟตรงหน้า สาวิตรและเตชินเดินไปสั่งกาแฟที่ตนต้องการแล้วไปนั่งร่วมโต๊ะกับคนทั้งสาม

“ตะกี้พอคุณวิตรตื่นขึ้น เราคุยกันว่า คงต้องไปที่อื่นก่อนสุโขทัยน่ะครับ” เตชินเริ่มเรื่องให้

ศาสตราจารย์วิรุฬห์มีสีหน้าฉงน “ก็เราเตรียมพร้อมไปสุโขทัยกันแล้ว จะต้องไปที่ไหนก่อนอีกหรือ” เขาถามขึ้น

บทที่ 23 เราต้องไปบางยางก่อน

บทที่ 23

วันเดินทางเพื่อการศึกษาเรื่องประตูมิติของศาสตราจารย์วิรุฬห์ใกล้มาถึง ระหว่างนี้ เขาก็จัดการนัดพบทีมงานทั้งสามคนกับสาวิตรบ่อยครั้ง ส่วนหนึ่งเพื่อประชุมปรึกษาหารือกัน อีกส่วนนั้นเพื่อการสร้างความสนิทสนมระหว่างเตชิน ฤทธีและเรืองชัยกับสาวิตรให้มากขึ้น โดยเฉพาะบ้านของพี่สาวกับพี่เขยนั้นก็เปิดประตูต้อนรับเขาและทีมงานอยู่ตลอดเวลา ศาสตราจารย์วิรุฬห์จึงพาคณะแวะมาอยู่สม่ำเสมอ มีบางครั้งที่ชวนกันไปคุยนอกสถานที่พร้อมกับลิ้มลองอาหารรสชาติแปลกๆ ใหม่ๆ ร่วมกันอยู่บ้าง

จากความสนิทสนมที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้สาวิตรรู้ว่าเพื่อนซึ่งเป็นทั้งเพื่อนใหม่และเพื่อนเก่าของเขาทั้งสามคนอยู่ในฐานะที่จะมาทำงานของศาสตราจารย์วิรุฬห์ได้โดยไม่ต้องพะวงเรื่องการทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างน้อยๆ ก็ในขณะนี้ เตชินนั้น บิดาและมารดาเสียชีวิตหมดแล้ว เขาและพี่น้องได้รับส่วนแบ่งมรดกเป็นที่ดินและตึกแถว บ้านเช่า แยกกันไปเรียบร้อย ก็ได้ค่าเช่านี้แหละ เป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน

ส่วนฤทธีและเรืองชัย เป็นหนุ่มเชื้อสายจีน ที่บ้านมีธุรกิจโรงงานประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีพ่อแม่และพี่ๆ ดูแลอยู่ ทั้งสองคนขอเวลามาทำงานกับศาสตราจารย์วิรุฬห์สักพักหนึ่ง แล้วค่อยไปช่วยธุรกิจครอบครัว ซึ่งทางบ้านก็ไม่ขัดข้อง

ครอบครัวของเตชิน ฤทธีและเรืองชัย มีบ้านอยู่ใกล้กัน จึงรักใคร่สนิทสนมกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ต่างคนต่างเรียนคนละมหาวิทยาลัยแต่เลือกเรียนในวิชาเดียวกัน เตชินเป็นคนแรกที่ได้พบกับศาสตราจารย์วิรุฬห์ที่มาบรรยายพิเศษในมหาวิทยาลัย ช่วงแวะกลับมาเมืองไทย ก่อนจะกลายเป็นศิษย์อาจารย์ที่สนิทกันเหมือนญาติ แล้วนำพาฤทธีและเรืองชัยเข้ามาอยู่ร่วมขบวนการด้วย

เวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน มิมีสิ่งใดยืนยงเที่ยงแท้ จากครูดาบและนักดาบฝีมือดีในกาลก่อน กลายมาเป็นนักวิทยาศาสตร์ในกาลนี้…

บทที่ 22 จากศัตรูสู่มิตร


บทที่ 22

วินาทีนี้ มิ่งควรจะตื่นเต้น เพราะมันเป็นครั้งแรกที่จะได้สู้รบกับศัตรูตัวจริง หลังจากฝึกฝนกับคู่ซ้อมมานาน เช่นเดียวกับทิมและเพ็ง แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบมิทันได้ตั้งตัว ทำให้เขาไม่มีโอกาสที่จะรู้สึกเช่นนั้นเลย นึกอย่างเดียวว่า ต้องป้องกันพระองค์ท่านให้ปลอดภัยเท่านั้น ชายหนุ่มรีบร้องบอกทหารองครักษ์ของท่านพ่อขุน

“พี่สุ่น ป้องกันท่านให้ดีเถิด มิต้องเป็นห่วงพวกข้า”

เสียงพระองค์ท่านตรัสกลับมาว่า

“จับเป็นพวกมันให้ได้ เจ้ามิ่ง ข้าอยากรู้นักว่ามันเป็นผู้ใดกัน”

มิ่ง ทิมและเพ็ง ขยับตัวมาหันหลังชนกัน อยู่ด้านหน้าท่านพ่อขุนอย่างพร้อมเป็นเกราะป้องกันภัยให้เต็มที่ ขณะที่นายสุ่นรีบกันท่านพ่อขุนออกไปเสียจากที่ตรงนั้น

บทที่ 21 พบพ่อขุนบางกลางหาว


บทที่ 21

เพ็งเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ จึงถามขึ้นเมื่อเห็นมิ่งยังคงนิ่งเฉย

“เหตุอันใดพี่ปิ่นจึงใส่ใจพี่เช่นนี้ ตอนนางนำของมาฝากให้พี่ ข้านี้งวยงงหนัก”

“ข้าเองก็มิอยากให้นางมาสนใจใยดีอันใดกับข้าดอก แต่ห้ามแล้ว มิเคยฟัง นี่ถ้าข้ารับกับมือนางเอง ข้าคงคืนนางไปแล้ว”

สาวน้อยจ้องหน้ามิ่ง พร้อมกับทำตาเจ้าเล่ห์

“รึว่า พี่ข้าจะได้ครองทั้งสองนาง ทั้งพี่แลน้อง หนุ่มทั้งบางคงอิจฉาพี่จนพากันตายหมดแน่ ทั้งสองนางงามออกปานนั้น”

พูดไม่พูดเปล่า ยังหัวเราะคิกคักอีกต่างหาก มิ่งถอนใจ

บทที่ 20 ศัตรูที่มิอยากก่อ

 



บทที่ 20

วันเดินทางย้ายที่พำนักมาถึง พ่อครูพันพามิ่งเดินทางลัดเลาะชายป่า ไปถึงบ้านพ่อครูอิน พร้อมกับศิษย์อีกสองคนที่ให้ไปเป็นเพื่อนยามเดินทางกลับ พ่อครูอินเป็นชายวัยใกล้เคียงกับพ่อครูพัน แก่กว่าเพียงไม่มากนัก แต่สีหน้าท่าทางและแววตาบอกความใจดีจนมิ่งรู้สึกได้ ทันทีที่เห็นพ่อครูพัน พ่อครูอินก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจ

“เป็นอย่างไรเล่าท่าน มิมาเรือนข้าเสียนาน เห็นทีเย็นนี้ ต้องให้อยู่กินข้าวกับข้า แล้วก็คุยกันสักคืนให้หายคิดถึง ค่อยกลับวันพรุ่ง” พ่อครูอินว่า

“ยินดีเลยท่าน ข้าก็คิดถึงฝีมือกับข้าวของพี่พุ่มอยู่ คงต้องขอฝากท้องที่บ้านท่านสักมื้อสองมื้อ” พ่อครูพันตอบ

ผู้ที่ถูกเอ่ยถึงก้าวเข้ามาพร้อมบ่าวที่ยกผลไม้ปอกแล้วใส่ถาดมาให้พ่อครูอิน

“แม่พุ่ม น้องชายของท่านมาเยี่ยมแลจักค้างคืนที่นี่ วานพี่สาวช่วยทำเครื่องคาวหวานถูกปากเป็นมื้อเย็นสักหน่อยเถิด บ่นว่าคิดถึงน้ำมือของพี่นัก” พ่อครูอินว่า

มิ่งได้รับรู้ตอนนั้นว่า ที่แท้แล้วพ่อครูอิน มีศักดิ์เป็นพี่เขยของพ่อครูพัน

แม่พุ่มสั่งบ่าวให้ไปจัดผลไม้เพิ่มขึ้นเพื่อรับรองพ่อครูพันและผู้ที่มาด้วย ก่อนจะหันไปพูดกับพ่อครูพัน

“หายหน้าไปนานนะเจ้า ที่มาเยี่ยมเยียนนี่เพราะอยากกินกระนั้นรึ ถ้าเช่นนั้น บัดเดี๋ยวข้าจักเตรียมให้กินอิ่ม จนเดินมิไหว ต้องคลานกลับเรือนเลยทีเดียว”

พ่อครูพันกับพ่อครูอินหัวเราะพร้อมกัน

บทที่ 19 ข้ากลับมาแล้ว


บทที่ 19

มิ่งงวยงงกับสิ่งที่ท่านคุรุเฒ่าพูด

“ท่านหมายความเยี่ยงไร”

“ข้าได้พบคนมากมาย ทั้งนักรบมีฝีมือ ทั้งจอมปราชญ์ ทั้งชาวบ้านชาวเมือง มิมีผู้ใดเลยที่มิปรารถนาครอบครองดาบเล่มนี้ มีเพียงเจ้านี่แล แต่ดาบถูกกำหนดมาว่า ผู้มิมีความปรารถนา ย่อมได้ ดาบนี้จึงเป็นของเจ้า”

“จักสมควรฤาท่าน ข้าจักทำสิ่งใดได้ กับดาบที่ล้ำค่ายิ่งนี้” มิ่งว่า

“สมควรแล้ว เจ้าอย่าเพิ่งปรามาสตนเองไป ดาบนี้มาพร้อมหน้าที่อันสำคัญ ซึ่งเจ้าจักได้ล่วงรู้ เมื่อเวลามาถึง ครานั้นเจ้าจักได้รู้ว่าเจ้าทำสิ่งใดได้ แต่มันหาใช่เพื่อความสุขสบายส่วนตัวเจ้า เจ้ายินดีที่จักครอบครองดาบนี้ฤาไม่”

มิ่งเพ่งพินิจดาบในมืออีกครั้ง

“ถ้าท่านเห็นสมควร ข้าก็ยินดีรับไว้”

ท่านคุรุเฒ่ายิ้มอย่างพอใจ เช่นเดียวกับพ่อขุนบางกลางหาว ก่อนที่ท่านคุรุจะรับดาบจากมือมิ่งมารักษาไว้ก่อน

“ข้าจักรอเวลาที่เจ้าจักมาร่วมรบในกองทัพของข้า เจ้ามิ่ง อีกมินานแล้ว” ท่านพ่อขุนบางกลางหาวกล่าวขึ้น “แต่เพลานี้ข้าต้องไปก่อน รักษาตัวให้ดีนะเจ้า” พูดแล้วก็ตบบ่าของมิ่ง

“ข้าจักรักษาตัว แลฝึกอาวุธให้ดีที่สุด เพื่อเข้าร่วมกองทัพของท่าน”

“ท่านคุรุ แล้วข้าจักกลับมาเยี่ยมท่านใหม่ คงอีกมินานจากนี้” พระองค์ท่านหันไปกล่าวลาท่านคุรุ

“การเตรียมการของท่านเป็นเยี่ยงไร” ท่านคุรุเฒ่าถาม

“ข้าหารือการรบกับท่านผาเมืองตลอดเวลา แต่เราต้องทำกันเป็นการลับ ด้วยต้องระวังหูตาของฝ่ายขอม ยิ่งท่านผาเมือง ยิ่งต้องคอยปิดบังมิให้นางสิงขรเทวีรับรู้ มิเช่นนั้น ความลับจะตกถึงบ้านเมืองของนาง มันจะเสียการ แน่ชัดว่า กษัตริย์ขอมต้องการให้ท่านผาเมืองเป็นใหญ่ แต่ก็ใหญ่ภายใต้อำนาจขอม จึงยกนางสิงขรเทวี ธิดาให้เป็นชายา แลช่วยเป็นหูตาคอยส่งข่าวสารให้ เราจึงประมาทมิได้เลยแม้แต่น้อย”

ท่านคุรุพยักหน้ารับรู้

บทที่ 18 ท่านคุรุเฒ่า



บทที่ 18

ปรางนวลคือปิ่นหรือ...สาวิตรรำพึง นี่เราเข้าใจผิดมาเสียนาน คิดว่าเธอคือ “แม่ปราง” คนที่เขาเฝ้าฝันถึง ด้วยความที่เธอเป็นคนรัก ด้วยความละม้ายคล้ายคลึง เขาได้ทราบความจริงวันนี้เอง แต่ไม่ว่าเขาจะไปผูกพันกับแม่ปิ่นได้อย่างไร หรือแม้ปรางนวลจะมิใช่แม่ปราง เขาก็จะต้องช่วยเธอให้ฟื้นขึ้นกลับมาเป็นเช่นเดิมให้ได้

“ให้ผมทำกุศลช่วยปรางนวลได้ไหมครับ ถึงจะต้องบวช ผมก็ยอม ขออย่างเดียว ให้เธอฟื้นกลับมาเป็นปกติเท่านั้น ได้ไหมครับ” สาวิตรถาม

“ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น มันสมควรด้วยเหตุด้วยผลแล้ว เพราะคนรักของเจ้าไปทำเขาไว้ จึงต้องรับผลแห่งกรรม เจ้าหวังจักช่วยแต่คนของเจ้า แล้วผู้ที่ถูกคนของเจ้ากระทำเล่า มันสมควรแล้วฤา”

“ถ้าผมบวชแล้วอุทิศส่วนกุศลให้แม่แฟง ให้เขายอมยกโทษให้ละครับ”

“เจตนามันคือการช่วยคนของเจ้าอยู่ดี คิดว่าเขาจักยอมรับฤา มันมิได้เหมือนกับการเป็นหนี้ แล้วเอาเงินให้เจ้าหนี้ บอกให้เลิกๆ ไปเสีย อย่ามาตามเอาเรื่องเอาราว เจ้ามิได้สำนึกเข้าใจในสิ่งที่คนของเจ้ากระทำกับเขาว่ามันเจ็บปวดเพียงไหน คนของเจ้าที่นอนหมดสติอยู่ยามนี้ ก็มิได้สำนึกเข้าใจ เมื่อผู้กระทำยังมิสำนึกเข้าใจ ก็อย่าหวังว่าผู้ถูกกระทำจักยอมอภัยฤาอโหสิกรรมให้เลย อีกอย่างหนึ่ง เจ้าคิดแต่เพียงเอาความเป็นพระทางกายไปชดใช้เขา มิใช่ความเป็นพระทางใจ มันชดใช้กันมิได้ดอก”

“ความเป็นพระทางใจคืออะไรครับ”

บทที่ 17 มันคือชะตากรรม


บทที่ 17

ริดทำหน้าเบื่อหน่ายน้องชายคลานตามกันมาที่กลายมาเป็นเพื่อนคู่หูอีกสถานะ... ไม่รู้จะแหกปากให้ลั่นไปทำไมกับเรื่องอย่างนี้ ประเดี๋ยวก็เสียการหมดหรอก

“เบาๆ สิไอ้เลื่อง แหม ทำตระหนกไปได้ นักรบอย่างเอ็งกับข้านี้ ยังหวาดหวั่นเรื่องการฆ่าคนอยู่ฤา ครั้งนี้ เราทำเพื่อตอบแทนบุญคุณพี่เดช มันจักไม่สมควรเยี่ยงไร” ริดว่า

“แต่ข้าว่าพี่เดชจักโกรธเคืองเอาหนา คนอย่างพี่เดชมิฆ่าแกงใครง่ายๆ ดอก” เลื่องว่า

“ไอ้...” ริดคิดจะสบถ แต่หยุดเสียก่อนทัน “เราก็อย่าให้พี่เดชรู้สิเอ็ง แลอย่าให้ผู้ใดล่วงรู้ด้วย” ริดว่า

“ตกลงไอ้ริด แต่เอ็งจักทำอันใด ว่ามา” เลื่องว่า

ริดกระซิบเล่าแผนการทั้งหมดที่ข้างหูเลื่อง

“แต่การครั้งนี้ ต้องขออาศัยฝีมือเป่าลูกดอกของเอ็งอีกสักครั้งหนึ่งหนา” ริดสรุป เลื่องพยักหน้ารับ

บทที่ 16 พี่วิตรเปลี่ยนไป


บทที่ 16

เช้าวันหยุดสุดสัปดาห์มาถึง สาวิตร ปรางนวล และนาถนพินมุ่งหน้าสู่หัวหิน โดยสาวิตรเป็นคนขับรถ ปรางนวลนั่งเคียงข้าง ส่วนนาถนพินนั่งด้านหลัง เธอบ่นระบายเรื่องงาน แทบจะตั้งแต่ขึ้นรถของปรางนวล ที่ขับมารับสาวิตรกับนาถนพินถึงบ้าน

“ตั้งแต่เจ๊วี กรรมการผู้จัดการคนใหม่มานี่ พวกหนูนี่ทำงานยังกะไถนาเลยค่ะ พี่เข็ม” นาถนพินว่า

“ยังไงหรือ” ปรางนวลถามกลับ ในใจนั้นทำใจได้แล้วที่ทริปนี้จะมีบุคคลที่สามอย่างนาถนพินร่วมทางไปด้วย อย่างน้อยเธอก็มีศักดิ์เป็นน้องสาวิตร ทำความคุ้นเคยกันไว้ก็ดี เพราะวันข้างหน้าคงต้องเกี่ยวดองเป็นญาติกันค่อนข้างแน่

“แกหายใจเป็นงานน่ะค่ะ ทุกเวลานาทีเป็นงานไปหมด ไม่มีเว้น ตอนเที่ยงพักทานข้าว เพื่อนหนูที่เป็นเลขาแกตักข้าวเข้าปากได้แค่ 2 ช้อน แกโทรมาตามงานละ หนูก็เหมือนกัน ตอนเลิกงาน บางทีหนูขับรถออกจากออฟฟิศแล้ว แกโทรมาสั่งงานเสียนี่ หนูอยู่กลางถนน ต้องค่อยๆ หาที่จอด แล้วโน้ตตามที่แกบอก เพราะแกสั่งทีน่ะ เป็นขบวนเลยค่ะ ไม่ใช่เรื่องเดียว ตั้งมืดตั้งดึกแล้ว เราจะติดต่องานกับใครก็ไม่ได้แล้ว จริงๆ จะส่งเมล์หรือไลน์มาก็ได้ แต่แกไม่ยอม ต้องเดี๋ยวนั้น” นาถนพินว่า

“ที่พีคกว่านั้นนะคะ เพื่อนหนูอีกคนทำงานจนต้องไปนอนให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล แกก็โทรมาจิกเสียนี่ ทำนองสำออย ยังไงยังงั้นเลยค่ะ แหม แค่นี้ต้องเข้าโรงพยาบาลด้วย โธ่ ก็พวกหนูไม่ได้เงินเดือนเป็นแสนๆ นี่คะ จะได้มีตังค์ซื้อโสม ซื้อถั่งเช่ากิน แล้วทำงานเป็นควายเหล็กได้อย่างแก”

สาวิตรกับปรางนวลหัวเราะในความช่างเปรียบ ช่างเสียดสีของนาถนพิน

บทที่ 15 ฤาเราต้องพรากกัน


บทที่ 15

ริดกับเลื่องออกมาดูร่างเจ้าคงที่หลับไม่รู้เรื่องอยู่ที่พื้น ‘สิ้นฤทธิ์ง่ายจริงหนา ไอ้เด็กสาระแน’ ริดนึกสะใจ แล้วค่อยๆ ย่อง เดินไปมองลงไปที่ท่าน้ำ ภาพที่เห็นคือร่างของคนสองคนนั่งอิงกันอยู่เบื้องล่าง

“ผู้ชายนั่นแล ไอ้มิ่งแน่ ผู้หญิงเอ็งดูทีสิ มันผู้ใดกัน” ริดกระซิบ

เลื่องเพ่งมองลงไปสักครู่ แล้วบอกว่า “หากมิใช่แม่ปิ่น ก็แม่ปรางเป็นแน่แท้”

“หา” ริดร้องขึ้น เลื่องต้องรีบเอามือปิดปาก “เบาๆ หน่อยเอ็ง บัดเดี๋ยวมันได้ยินจะเสียการ”

“แต่ข้าว่า แม่ปรางมากกว่านะเอ็ง” เลื่องพูดต่อ

ริดลองเพ่งมองอีกครั้ง

“ข้าก็ว่า แม่ปราง มิได้การแล้ว เราต้องรีบไปบอกพี่เดช”

บทที่ 14 รักเข้าใจในรัก


บทที่ 14

เจ้าคงวิ่งตื๋อไปยังเรือนพ่อครูพัน มันตรงไปที่ใต้หน้าต่างห้องนอนของปราง แล้วเรียกด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก เพียงแค่พอได้ยินเท่านั้น

“พี่ปราง”

คืนนี้ปรางยังไม่เข้านอน เพราะใจเป็นห่วงมิ่ง ซึ่งต้องมาเจ็บตัวเพราะความอยากรู้อยากลองของนาง เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเจ้าคง นางก็ลุกขึ้นมามองตรงหน้าต่าง

“มีอันใดฤา เจ้าคง”

“พี่มิ่งเป็นไข้หนักจนเพ้อแล้วหนา พี่รีบไปดูพี่มิ่งทีเถิด” เจ้าคงตอบ

“รอข้าสักเดี๋ยว จักตามไปดูนายมิ่งให้” นางร้องตอบอย่างไม่มีอิดเอื้อน

ปรางห่มคลุมร่างกายให้เรียบร้อยมิดชิดขึ้น แล้วลงจากเรือนตามเจ้าคงไปที่กระต๊อบของมิ่ง เมื่อไปถึง นางทรุดกายลง เอามือแตะหน้าผากและตามตัวของมิ่ง

“ตัวร้อนเป็นไฟเลย” นางว่าอย่างตกใจ อาการไข้ของมิ่งมิใช่น้อยๆ เสียแล้ว

มีเสียงครางจากร่างที่ยังนอนนิ่งอยู่

บทที่ 13 หัวใจที่สับสน



บทที่ 13

“แม่ปราง”

มิ่งอุทานอย่างตกใจพร้อมกับลุกขึ้นยืน แสงจันทร์และแสงไต้วับแวม ส่องให้เห็นว่าในมือนางถือกระทงใบตองที่บรรจุดอกมะลิซ้อนไว้เต็ม กลิ่นหอมเย็นของมันอบอวลชื่นใจ ปรางเอากระทงดอกมะลิวางที่ศาลาด้านบน ก่อนจะเดินลงไปทรุดตัวนั่งที่บันไดท่าน้ำ

“ตกใจมากกระนั้นฤาที่เห็นข้า” นางว่า

“เอ้อ...” มิ่งอึกอัก หัวใจเริ่มเต้นแรง

“นี่คงนึกว่าข้าเป็นผีสางสินะ จึงตกใจเยี่ยงนั้น”

ในแสงวับแวมนั้น มิ่งยังพอจะแลเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าปรางและทีท่าที่ดูผ่อนคลาย ไม่ขึงขังจริงจัง เหมือนยามที่นางฝึกวิชาอาวุธให้เขา

“เอ้อ..” มิ่งยังคงอึกอัก หัวใจดูเหมือนจะเต้นแรงขึ้นกว่าเดิม

“กลายเป็นคนใบ้ไปแล้วฤา เหตุอันใดจึงไม่นั่งลงเล่า” นางพูดต่อ ทำให้มิ่งต้องนั่งลงที่อีกด้านของขั้นบันได กะให้มีระยะห่างจากนาง ไม่ใกล้ชิดเกินไปนัก

บทที่ 12 คนใกล้...ที่ไกลห่าง

บทที่ 12

“เอ็งมิได้ถือสาอันใดที่นางเป็นหญิงแลอ่อนวัยกว่าเอ็งนะ” พ่อครูพันถามย้ำ

“ข้ามิคิดเลย แม่ปรางมีบุญคุณกับข้าล้นฟ้า นางช่วยชีวิตข้าไว้ หนำซ้ำนางนั้นมีฝีมือเป็นเลิศ เพราะได้รับถ่ายทอดจากพ่อครูมา ข้าเห็นว่า มิมีอันใดเลยที่ข้าจักไหว้นาง ยกนางเป็นครูของข้ามิได้”

พ่อครูพันยิ้ม “ดีมากไอ้มิ่ง คิดเห็นเช่นนี้แล เอ็งจักเรียนวิชาทั้งหลายได้ง่ายแลมากมายนัก เพราะใจเอ็งมิมีเดียดฉันท์ดั่งตุ่มที่น้ำพร่อง ย่อมรองรับน้ำฝนได้มาก”

ศิษย์หลายคนมองหน้ากัน เดชยิ้ม แต่ริดกับเลื่องไม่สบอารมณ์นัก

มิ่งขยับไปเบื้องหน้าปราง แต่นางพูดขึ้นว่า

“พ่อ ขอให้พ่อรับพานจากนายมิ่งเถิด ข้าเพียงแต่ช่วยพ่อดูแลเขาเท่านั้น พ่อต่างหากที่เป็นครูของเขาโดยแท้”

พ่อครูพันเห็นลูกสาวอิดออด จึงว่า “หากแม่ปรางมิสะดวกใจ พ่อจักรับพานของไอ้มิ่งเอง แต่พ่ออยากให้เจ้าเป็นครูสอนมัน เพื่อฝึกตัวเจ้าเป็นครู ถ่ายทอดวิชาศาสตราวุธให้ผู้อื่นต่อไปนะ”

บทที่ 11 เธอมีเจ้าของ

 


บทที่ 11

เสียงริดเล่าเรื่องต่อ "เมื่อบ่าย ข้าสองคนเอาผ้าใหม่ไปให้มันที่ท่า เห็นมันแฝงตัวแอบดูแม่ปรางอาบน้ำ ทีท่าจะคิดทำบัดสีกับนาง พี่เดช พ่อครู"

ใจมิ่งที่แอบแฝงเงามืดฟังอยู่ตกไปอยู่ที่ฝ่าเท้า

"พ่อครูสมควรปรามมันไว้ก่อนนะขอรับ ไอ้นี่ท่าทางไว้ใจมิได้" เลื่องพูดขึ้นบ้าง

ยังไม่ทันที่พ่อครูจะเอ่ยอันใด เสียงเล็กๆ ที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น ก่อนร่างระหงงามจะก้าวลงบันไดเรือนมา

"พี่ริด พี่เลื่อง ข้าบอกพี่แล้วฤามิใช่ พ่อมอบนายมิ่งให้ข้าดูแล เรื่องนี้ข้าจักจัดการของข้าเอง"

ร่างงามทรุดกายลงนั่งในวงสนทนา

"มีเรื่องอันใดฤา แม่ปราง" เดชพูดขึ้น

"นายมิ่งลงอาบน้ำ เพลาเดียวกับข้าที่ท่าของพวกผู้ชายเพียงนี้เอง" นางว่า

"เขามิได้ล่วงล้ำไปท่าของผู้หญิง หากเขาไป มื้อเย็นคงมิได้ลอยหน้ามานั่งกินข้าวอยู่ดอก พี่ริด พี่เลื่องมิต้องห่วงข้าให้เกินควร"

พ่อครูหัวเราะ

"ไอ้ริด ไอ้เลื่อง นี่เอ็งมิรู้จักลูกสาวข้าฤา หากไอ้มิ่งมันคิดทำบัดสีละก็ นางคงฟาดปากมันจนกินข้าวร้อนมิได้ไปชั่วชีวิตเป็นแน่ ฤามิเช่นนั้นก็หัวแบะจนฝนยาใส่ไม่ทันนั่นแล"

"โธ่ พ่อครู" เลื่องรำพึงได้เพียงนั้น

บทที่ 10 กินรีเล่นน้ำ


บทที่ 10

สาวิตรเข้าไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำเสร็จเรียบร้อย เมื่อออกมา เสียงโทรศัพท์ผ่านไลน์ก็ดังขึ้น เขาหยิบมือถือขึ้นดู ธิโมทีนั่นเอง ที่ผ่านมา น้องชายของเขาส่งข้อความมาทักทายอยู่ตลอด วันนี้คงมีอะไรพิเศษ ถึงได้กดโทรมาหาเขา

“เป็นอย่างไรบ้างครับ” เจ้าน้องชายทำเสียงสนุกสนานทักทายมาในสาย

“สบายดีทุกอย่าง ไม่มีอะไร” เขาตอบ

“มีสิครับ ฝันไปถึงไหนแล้วครับ” สาวิตรหัวเราะ เรื่องนี้เอง ถึงเขาข้ามประเทศกลับมาอยู่เมืองไทยแล้ว ธิโมทีก็ยังมาตามทวงให้เล่าเรื่องนี้อยู่

“อืม จะเริ่มต้นอย่างไรดีล่ะ” เขาว่า

“ยังไงก็ได้ ตามที่อยากเล่า”

“พี่ได้เห็นอดีตของตัวเองนิดหนึ่งแล้ว ในตอนที่เห็น พี่มีชื่อว่ามิ่ง” แล้วเรื่องราวต่างๆ จากความฝันก็พรั่งพรูจากปากสาวิตร เรื่องชีวิตรันทดของมิ่ง เรื่องสาวงามที่ชื่อปราง เรื่องบ้านพ่อครูพัน และเรื่องพ่อขุนบางกลางหาว..

“พี่เห็นท่านชัดจนวาดรูปท่านออกมาได้แล้วนะ อยากเห็นไหม เดี๋ยวส่งไปให้ดู”

บทที่ 9 ณ เรือนพ่อครูพัน


บทที่ 9

ยามนี้สาวิตรมีแต่เฝ้าคอยเวลาค่ำคืนให้มาถึง และรีบปิดไฟเข้านอนโดยไว เพื่อจะย้อนกลับสู่อดีต ไปพบคนที่รอคอยมานาน จนนาถนพินล้อเลียนอยู่บ่อยๆ ว่า “เป็นเด็กอนามัยเสียจริง พี่เรา”

“แหม เป็นคนรุ่นใหม่ยังไงคะ โซเชียลไม่สน ยูทูปไม่ดู ปิดไฟนอนแต่หัวค่ำลูกเดียว ไม่โทรไปคุยกับพี่เข็มบ้างเหรอ ตอนกลางคืนน่ะ เดี๋ยวพี่เขาเหงาแย่เลย” พูดแล้วก็ยิ้มจนตาหยี

“ไม่ต้องหรอก เข็มเขานอนหัวค่ำเหมือนกัน ต้องนอนให้ได้แปดชั่วโมงขึ้นไปน่ะ ตื่นขึ้นมาจะได้สดชื่น เขารักษาสุขภาพมากอยู่นะ” สาวิตรตอบผู้เป็นญาติ

แต่ที่จริงหลายคืนแล้วที่ปรางนวลพยายามโทรมาหาเขา หากสัญญาณปลายสายบอกว่า ทางโน้นปิดเครื่องไปแล้ว

ปรางนวลวางสายอย่างหงุดหงิด ทำไมนะเวลาที่เธออยากคุยกับสาวิตรตอนค่ำ ถึงไม่เคยมีโอกาสเลย เหตุใดสาวิตรถึงเปลี่ยนแปลงไปมากมายขนาดนี้ สมัยอยู่ซิดนีย์ บางคืนยังโทรคุยกันเป็นชั่วโมง พอมาอยู่ที่นี่ เขาอยากพักผ่อนหรือเธอหมดความสำคัญสำหรับเขาแล้วกันแน่