บทที่ 17
ริดทำหน้าเบื่อหน่ายน้องชายคลานตามกันมาที่กลายมาเป็นเพื่อนคู่หูอีกสถานะ... ไม่รู้จะแหกปากให้ลั่นไปทำไมกับเรื่องอย่างนี้ ประเดี๋ยวก็เสียการหมดหรอก
“เบาๆ สิไอ้เลื่อง แหม ทำตระหนกไปได้ นักรบอย่างเอ็งกับข้านี้ ยังหวาดหวั่นเรื่องการฆ่าคนอยู่ฤา ครั้งนี้ เราทำเพื่อตอบแทนบุญคุณพี่เดช มันจักไม่สมควรเยี่ยงไร” ริดว่า
“แต่ข้าว่าพี่เดชจักโกรธเคืองเอาหนา คนอย่างพี่เดชมิฆ่าแกงใครง่ายๆ ดอก” เลื่องว่า
“ไอ้...” ริดคิดจะสบถ แต่หยุดเสียก่อนทัน “เราก็อย่าให้พี่เดชรู้สิเอ็ง แลอย่าให้ผู้ใดล่วงรู้ด้วย” ริดว่า
“ตกลงไอ้ริด แต่เอ็งจักทำอันใด ว่ามา” เลื่องว่า
ริดกระซิบเล่าแผนการทั้งหมดที่ข้างหูเลื่อง
“แต่การครั้งนี้ ต้องขออาศัยฝีมือเป่าลูกดอกของเอ็งอีกสักครั้งหนึ่งหนา” ริดสรุป เลื่องพยักหน้ารับ
.....
เสียงสวบสาบที่ดังอยู่ใกล้กระต๊อบ ทำให้มิ่งลืมตาตื่นขึ้นมาทั้งที่หลับไปนานแล้ว เขาหยิบดาบประจำตัวขึ้นมาถือกระชับไว้ในมือ แล้วตะโกนออกไป
“นั่นใคร” มิ่งนึกสงสัย ใครกันนะที่จะมาเยือนยามวิกาลเช่นนี้ ในเมื่อเจ้าคงก็ถูกสั่งห้ามยุ่งเกี่ยวกับเขาไปแล้ว จะเป็นคนอื่นก็คงมิใช่ เพราะไม่เคยมีใครเหยียบย่างเข้ามาที่นี่ตอนกลางคืนเลย หลังจากเสร็จงานในบ้าน เสร็จการฝึกซ้อมมวย ซ้อมอาวุธ ทุกคนก็จะกลับกระต๊อบ กลับเรือนของตัว พักผ่อนเพื่อตื่นขึ้นมาทำกิจวัตรประจำวันในวันใหม่
จะว่าเป็นเดชหรือ ก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเดชขุ่นเคืองใจยิ่งนัก จนไม่ยอมแม้แต่เฉียดกรายเข้าใกล้เขาเลย
หรือจะเป็นแม่ปิ่น แม่หญิงคนกล้าที่เคยเอายามาทาแผลให้เขาในยามค่ำ จนเขาต้องเอ็ดตะโรให้นางออกไปในครั้งหนึ่ง เพราะเกรงเกิดความเสียหาย
“มาทำอันใด ในยามค่ำเช่นนี้” มิ่งว่า เมื่อเห็นปิ่นเปิดประตูเข้ามาเช่นทุกวัน เพียงแต่ในวันนี้นางมาค่ำกว่าที่เคยเป็น
“ก็จักเอายามาทาแผลท่านไงเล่า” นางว่า
“แผลข้าใกล้หายแล้ว กลับไปเถิด แม่ปิ่น ค่ำมืดแล้ว ใครมาเห็นเข้า ท่านจักเสียหาย” มิ่งว่า
“ข้ามิกลัวดอก มิมีใครกล้าพูดเรื่องข้า แม้สักคนหนึ่ง ให้ข้าใส่ยาให้ท่านเถิด”
“ดื้อจริงท่าน” มิ่งว่าพร้อมกับคว้าข้อมือปิ่นที่ถือถาดยาอยู่แล้วดึงออกมานอกกระต๊อบ เมื่อพ้นประตู เขาก็เห็นร่างของนางแฟงยืนลับๆ ล่อๆ อยู่
“แม่แฟง พานายของเจ้ากลับเรือนทีเถิด นางมิควรมาเรือนข้ายามนี้” มิ่งพูดกับนางแฟง
“แลต่อแต่นี้ มิต้องมาใส่ยาแผลข้าที่นี่อีก ข้ามิเป็นไรแล้ว” มิ่งหันมาพูดกับปิ่น ซึ่งยืนหน้านิ่วคิ้วขมวด
“กลับเถิด แม่ปิ่น” นางแฟงทำหน้าพยักเพยิดกับนายสาว
ปิ่นเดินกระทืบเท้า ก่อนจะหันมาทางมิ่ง
“ข้ากลับก็ได้ นี่ข้าเห็นแก่พี่ปรางดอกนะ จึงสู้อุตส่าห์มาคอยใส่ยาให้ท่าน เมื่อท่านมิต้องการ ข้าก็จักมิใส่ใจท่านอีก” ว่าแล้วนางก็โยนถาดยาในมือทิ้งกับพื้น และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ปิ่นมาใส่ยาให้เขาที่กระต๊อบ
.....
มิ่งกระชับดาบในมือแล้วเปิดประตูออกไป
“ใคร” เขาตะโกนถามอีกครั้ง
“ออกมาคุยกันดีๆ อย่ามัวแฝงตัวอยู่เลย”
มิ่งเหลียวซ้ายแลขวาในแสงสลัวรำไร พลันนั้นก็รู้สึกเหมือนโดนมดกัดที่ต้นแขน ก่อนที่หนังตาจะหนักและทรุดลงกับพื้น สติยังไม่ดับวูบโดยพลัน มิ่งจึงได้ยินเสียงสองเสียงคุยกันใกล้ร่างที่นอนเหยียดยาวของเขา
“มันหลับหรือยังวะ ไอ้เลื่อง”
“ไอ้ริด เอ็งก็ดูเอาบ้างซี เหตุอันใด จึงถามข้าทุกเรื่อง”
เพียงเท่านั้น โลกทั้งโลกของมิ่งก็มืดสนิทลง..ริดทรุดกายลงนั่ง พลิกร่างของมิ่งขึ้นดู เห็นดวงตาปิดสนิท คอพับอ่อน จึงบอกเลื่อง
“มันหลับแล้ว” แล้วเขาก็เดินเข้าไปในกระต๊อบ เก็บเสื้อผ้าข้าวของของมิ่งทุกอย่างที่มีใส่ห่อผ้า
“เอ้า พวกเอ็งสี่คน” ริดบอกชายร่างกำยำสี่คนที่เดินมาล้อมร่างของมิ่ง ก่อนจะส่งห่อผ้าให้หนึ่งในสี่คนนั้นรับมาถือไว้
“เอ็งเอาห่อผ้าของมันไปด้วย โยนลงเหวพร้อมกับตัวมัน ใครมาเจอศพ จักได้เสมือนว่ามันหนีไปจากบ้านพ่อครูเอง อย่าให้พลาดเชียวนะพวกเอ็ง”
“นี่ของเอ็ง” เลื่องว่าพร้อมกับส่งถุงผ้าใส่เงินให้ชายคนที่เป็นหัวหน้า “แล้วหวังว่าคงมิแพร่งพรายให้ผู้ใดรู้ เพราะมิเช่นนั้นเราจักเดือดร้อนทั่วกันหมด มิใช่แต่พวกข้าเท่านั้น”
ชายผู้เป็นหัวหน้ารับคำ ก่อนที่จะช่วยกันแบกร่างของมิ่งหายลับเข้าป่าอย่างผู้ชำนาญเส้นทาง แล้วทำตามแผนที่ริดกับเลื่องเป็นผู้กำหนดไว้...
สองในสี่คนนั้น ช่วยกันจับแขนและขาของมิ่งเหวี่ยงอย่างแรง ร่างของมิ่งลอยละลิ่วลงจากเขา ในคืนที่ฟ้ามีจันทร์ส่องสว่างคืนนั้น
.....
เช้านี้เป็นอีกวันที่สาวิตรตื่นขึ้นด้วยความตระหนก หัวใจเต้นโครมครามราวกับจะหลุดออกมานอกอก เขาลุกขึ้นมานั่งตั้งสติ พยายามบอกตัวเองว่า ภาพของมิ่งที่ถูกเหวี่ยงเป็นเพียงความฝัน เป็นมิติแห่งอดีต เขาควรจะชินกับภาพอันชวนหวาดหวั่นเหล่านี้ได้แล้ว เพราะมันก็หลายครั้งผ่านมาแล้ว เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ การเต้นของหัวใจจึงคืนกลับมาเป็นปกติ
สาวิตรมีสิ่งหนึ่งที่ตั้งใจว่าจะทำอยู่ นั่นก็คือ หาทางอธิบายให้ปรางนวลเข้าใจว่า เธอเข้าใจผิดเรื่องเขากับนาถนพิน หลายวันมานี้ เขาพยายามทั้งโทรและส่งไลน์ไปหา แต่เธอไม่รับสายและไม่ตอบไลน์กลับมา ทางเดียวที่เป็นไปได้คือ ให้ธิโมทีเป็นผู้ประสานรอยร้าวให้
บ่ายวันนั้น สาวิตรจึงโทรหาธิโมทีและเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แก่น้องชาย ผู้เป็นเสมือนหนึ่งเพื่อนสนิทได้รับฟัง
“พี่เข็มไม่น่าเข้าใจผิดเลย เรื่องพี่พิน เอาอย่างนี้เดี๋ยวผมอธิบายให้พี่เข็มฟังเอง แต่ว่าพี่วิตรก็ต้องให้เวลาอยู่ตามลำพังกับพี่เข็มบ้าง ไม่ใช่เอาคนอื่นไปด้วย เวลาที่น่าจะโรแมนติกกันสองคนน่ะ ถ้าผมเป็นพี่เข็ม มันก็น่าจะโกรธพี่อยู่เหมือนกัน” ธิโมทีว่า
“ขอบใจมากทิม ที่เตือน รวมถึงที่จะช่วยคุยกับเข็มให้พี่ ได้เรื่องยังไงแล้วติดต่อพี่นะ พี่กำลังคิดอยู่ว่าจะยืมมอเตอร์ไซค์ของยายพินพาเข็มไปเที่ยวกันสองคน เพราะเขาเคยขอไว้” สาวิตรว่า
“ดี แต่เออ พี่เรานี่เปลี่ยนไปเยอะนะ แต่ก่อนไม่เห็นชอบออกกำลังสักเท่าไร เดี๋ยวนี้กลายเป็นคนรักความเร็วไปซะแล้ว” ธิโมทีหยอกเย้า
“เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยนไงล่ะ น้องชาย” สาวิตรตอบ
วันรุ่งขึ้น เมื่อธิโมทีส่งไลน์กลับมาว่าคุยกับปรางนวลให้เรียบร้อยแล้ว และเธอมีทีท่าอ่อนลงมาก สาวิตรก็ตัดสินใจโทรไปหาคนรัก ปลายสายมีสัญญาณว่าโทรติด แต่เงียบ ไม่มีการรับสาย จนสายตัดไปเอง สาวิตรกดโทรไปอีกครั้ง หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยตอบกลับมา
“ค่ะ พี่วิตร” ปรางนวลนั่นเอง เธอยอมรับสายแล้ว
“พี่ขอโทษที่ทำให้เข็มไม่สบายใจเรื่องยายพิน แต่ตอนนี้เข็มคงเข้าใจแล้วนะครับ ขอโทษ ที่ให้เวลาเข็มน้อยลง แล้วพี่จะค่อยๆ เล่าให้ฟังนะครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่วันอาทิตย์นี้ เข็มว่างไหมครับ ถ้าว่าง พี่อยากชวนเข็มขี่รถไปเที่ยวใกล้ๆ กรุงเทพด้วยกัน อย่างพัทยา หาอะไรอร่อยๆ ทานกัน พี่ขอยืมรถยายพินไว้แล้ว เข็มเตรียมตัวนะครับ พี่จะไปรับที่บ้าน” สาวิตรว่า
หากสาวิตรจะมองเห็นได้ ก็คงได้เห็นใบหน้าระบายยิ้มเรื่อๆ ด้วยความสุขของคนปลายสาย แต่กระนั้นก็ยังมีอารมณ์งอนเหลืออยู่บ้างตามประสาหญิง
“พี่วิตรน่าจะมาคุยกับเข็มตรงๆ นะคะ ทำไมต้องไปผ่านทิมด้วย แต่เอาละค่ะ เข็มเข้าใจแล้วเรื่องน้องพิน และต่อไป หวังว่าพี่วิตรคงเป็นพี่วิตรคนเดิมนะคะ อาทิตย์นี้เข็มว่างค่ะ พี่วิตรมารับที่บ้านได้เลย เรื่องไปพัทยา ตกลงค่ะ”
สาวิตรจึงบึ่งมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์คันงามของนาถนพินไปรับปรางนวลถึงบ้านในวันอาทิตย์ตามที่นัดกันไว้แต่เช้ามืด เมื่อไปถึงเขาก็พบว่าเธอเตรียมตัวพร้อม สวมเสื้อการ์ดอย่างเรียบร้อย นุ่งกางเกงยีนส์รัดกุม สวมรองเท้าบู๊ต สนับเข่าและแข้งเช่นเดียวกับเขา สาวิตรส่งหมวกกันน็อคที่ยืมจากนาถนพินให้ เธอรับไปสวม
“เชิญมาเป็นเด็กสก๊อยได้เลยครับ” สาวิตรว่าและผายมือ ปรางนวลยิ้มรับ แต่เธอดูเก้กังเล็กน้อยเพราะไม่เคย สาวิตรจึงบอกให้เธอเหยียบลงไปตรงที่พักเท้า จากนั้นก็สปริงตัวขึ้น และยกขาอีกข้างพาดข้ามเบาะไปวางยังที่วางเท้าอีกด้าน รวมทั้งวางมือทั้งสองข้างลงบนบ่าของเขา เพื่อช่วยในการพยุงตัวขึ้นไปนั่ง ปรางนวลทำตามและขึ้นไปซ้อนท้ายอย่างเรียบร้อย มือสองข้างเกาะลำตัวของสาวิตร
“เชิญเด็กแว้นออกรถได้แล้วค่ะ”
“ครับผม”
สาวิตรขับรถออกไปด้วยความเร็วปานกลาง ปรางนวลดูมีความสุขเป็นพิเศษที่ได้ซ้อนท้ายเขา ทั้งสองไปเที่ยวกันตามสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งในเมืองพัทยาและไม่ลืมแวะเล่นน้ำที่ชายหาดด้วย สาวิตรลงแหวกว่ายเล่นน้ำกับเธอ ประกายแห่งความสุขฉายออกมาอย่างเต็มที่บนดวงหน้างดงามนั้น จนสาวิตรคิดว่า คงยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะเริ่มต้นเล่าเรื่องพิสดารพันลึกที่เกิดขึ้นกับเขาให้เธอได้รับรู้
ทั้งสองออกจากเมืองพัทยากลับเข้ากรุงเทพเมื่อยามใกล้ค่ำ เมื่อออกมาได้ระยะหนึ่ง มือปรางนวลที่นั่งซ้อนท้ายจับลำตัวสาวิตร กลายมาเป็นโอบกอดแนบแน่น ใบหน้าของเธอซบกับแผ่นหลังเขาราวกับจะดูดซับความสุขในช่วงเวลานี้ไว้ สาวิตรเหลียวหลังมองแวบหนึ่ง แล้วปล่อยให้เธอคงอยู่ในท่านั้นต่อไป ด้วยเข้าใจดีว่าเป็นความสุขของคนรัก เขาขับรถไม่เร็วนัก ลมยามค่ำพัดปะทะร่างกายเย็นสบาย แต่ทันใดนั้นเอง...
รถปิ๊กอัพคันหนึ่งที่อยู่เลนตรงข้าม พยายามแซงรถเก๋งที่อยู่ข้างหน้า จึงข้ามเลนมาชนรถของสาวิตรอย่างจัง ร่างของเขาไถลไปตามพื้น แต่ก่อนสติจะดับวูบ สาวิตรเห็นภาพของมิ่งลอยละลิ่วลงเหวชัดเจนในห้วงสำนึก ตามด้วยแสงพวยพุ่งออกมาจากอกเสื้อที่แขวนพระร่วงหลังรางปืน แสงนั้นโอบล้อมครอบคลุมตัวเขาไว้... แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับวูบลง
......
สาวิตรลืมตาขึ้นแล้ว ภาพแรกที่เห็นเป็นใบหน้าเลือนรางของคนสามคน ก่อนที่จะค่อยๆ ชัดเจนขึ้น อาพสิฐ อายุพเยาว์ และนาถนพินนั่นเอง เมื่อมองไปรอบๆ เขาก็รู้ได้ว่า ตัวเองนอนอยู่ในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลแล้ว
“วิตรไม่เป็นไรแล้วนะหลาน” พสิฐพูดขึ้นอย่างดีใจ
สาวิตรพยายามยันกายขึ้นบนเตียง แต่ทำไม่ได้ง่ายนัก ด้วยอาการเจ็บตามเนื้อตัว เขาสำรวจตามร่างกายตนเอง ก็พบว่ามีแผลถลอกตามแขนขา แต่ไม่มากนัก
“ค่อยๆ ลุกนะ ถ้ายังไม่ไหวก็นอนลงก่อนเถอะ” ยุพเยาว์พูดขึ้นบ้าง
“ไม่เป็นไรครับอาเยาว์” สาวิตรยันกายลุกขึ้นนั่งบนเตียงสำเร็จ
“หนูดีใจนะคะที่พี่วิตรไม่ได้เป็นอะไรมาก เรื่องรถของหนู ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวหนูจะส่งซ่อมเอา อย่ากังวลนะคะ หนูห่วงแต่พี่วิตรเท่านั้นค่ะ” นาถนพินว่า
“พี่ต้องขอโทษด้วยนะ พิน แล้วก็ขอบคุณมากที่ไม่โกรธพี่ เออ แล้วเข็มเป็นยังไงมั่งล่ะ”
“พี่เข็ม เอ้อ พี่เข็มอยู่ในไอซียูค่ะ” นาถนพินว่า
สาวิตรตกใจ “มันเกิดอะไรขึ้น"
“กู้ภัยที่มาช่วยชีวิตบอกว่าหมวกกันน็อคพี่เข็มหลุดค่ะ เอ้อ ศีรษะพี่เข็มฟาดพื้น”
“แล้วรถที่ชนล่ะ”
“เขาหนีค่ะ ตอนนี้ตำรวจกำลังไล่ดูกล้องวงจรปิดอยู่” นาถนพินตอบ
“พิน พาพี่ไปเยี่ยมเข็มหน่อยได้ไหม”
“ได้ค่ะ พี่วิตรค่อยๆ ลุกนะคะ”
นาถนพินค่อยๆ ประคองสาวิตรให้ลุกจากเตียง เมื่อเขายืนบนพื้นก็พบว่า ตัวเองยังก้าวเดินได้ดี จึงบอกให้นาถนพินไม่ต้องประคองเขา นาถนพินพาสาวิตรขึ้นลิฟท์ไปยังห้องไอซียู ที่หน้าห้อง พ่อแม่และพี่ต้อม น้องตั้มของปรางนวล อยู่กันครบ ทุกคนมีสีหน้ากังวลใจจนเห็นได้ชัด คุณเนตรนุช แม่ของปรางนวลเห็นสาวิตรเป็นคนแรก เธอจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนักในทันทีที่สาวิตรไปถึง
“ชั้นไม่น่าให้ยายเข็มไปกับเธอเลยจริงๆ นี่ถ้าวันนี้ลูกสาวฉันยอมไปทำบุญกับแม่แทนที่จะไปกับเธอละก็ ยายเข็มคงไม่เป็นอย่างนี้หรอก” คุณเนตรนุชพูดขึ้นอย่างโกรธจัด
สาวิตรรู้สึกสลด
“ค่อยๆ พูดกันเถอะคุณ มันเป็นอุบัติเหตุนะ คงไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้นหรอก” คุณไมตรี พ่อของปรางนวลพูดขึ้น แต่ผู้เป็นภรรยาสะบัดหน้า
“สวัสดีครับ คุณพ่อ คุณแม่” สาวิตรยกมือไหว้พ่อแม่ของปรางนวล คุณไมตรีรับไหว้ แต่คุณเนตรนุชเมินหน้าไปทางอื่นเสีย
“ผมต้องขอโทษคุณพ่อคุณแม่จริงๆ ที่พาเข็มไปเกิดอุบัติเหตุ แต่รถคันนั้นพุ่งมาชนรถผมเองจริงๆ ครับ”
“เอาละ พ่อเข้าใจ” คุณไมตรีว่า
“เข็มเป็นยังไงบ้างครับ”
คุณไมตรีผายมือไปทางห้องที่ประตูมีช่องกระจกอยู่แทนคำตอบ สาวิตรถลันเข้าไป ภาพที่เห็นผ่านประตูคือปรางนวลนอนอยู่บนเตียง มีสายระโยงระยางอยู่เต็มตัวไปหมด
“เข็ม” สาวิตรรำพึง สองมือที่แตะประตูหล่นมาอยู่ข้างกาย เขาคอตกด้วยความเสียใจ
“หมอบอกให้รอดูอาการ 7 วัน อาจจะพ้นวิกฤติหลัง 7 วันนี้” คุณไมตรีพูดต่อ
“ผมจะมาเยี่ยมเข็มทุกวันนะครับ คุณพ่อ”
“ตามสบาย เชิญได้ทุกเวลา” คุณไมตรีว่า
“ไม่ต้องมาดีกว่า ชั้นไม่อยากเห็นหน้า” คุณเนตรนุชพูดไล่หลังมา
“คุณก็” คุณไมตรีปรามผู้เป็นภรรยา
สาวิตรมิได้รับบาดเจ็บมากนัก ผลจากการเอ๊กซเรย์ก็ไม่พบความกระทบกระเทือนใดๆ ที่ภายใน ยกเว้นแผลถลอกและอาการเคล็ดขัดยอกเท่านั้น จึงได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ เขาแวะเวียนมาโรงพยาบาลเพื่อขอเยี่ยมปรางนวลทุกวัน แต่มักได้รับการกีดกันจากคุณเนตรนุชเสมอ หากเธออยู่ตรงนั้น
เวลา 7 วันผ่านไปอย่างเชื่องช้า สาวิตรนับวันรออย่างใจจดใจจ่อ เขาหวังเสมอว่า ปรางนวลจะกลับฟื้นคืนขึ้นมา ใช้ชีวิตได้ปกติตามเดิม หากเธอไม่กลับคืนมา เขาคงรู้สึกผิดต่อเธอไปชั่วชีวิต เพราะแม้เขาจะมิใช่ต้นเหตุ แต่ก็เป็นคนพาเธอไปพบอุบัติเหตุครั้งนี้อย่างปฏิเสธไม่ได้
วันที่ 7 หลังจากเกิดอุบัติเหตุมาถึง นาถนพินขับรถพาเขาไปโรงพยาบาล สาวิตรรีบขึ้นไปที่ห้องไอซียู พบคุณไมตรีอยู่ที่หน้าห้อง ส่วนคุณเนตรนุชนั่งร้องไห้เอากระดาษเช็ดหน้าซับน้ำตาอยู่ โดยมีลูกชายทั้งสองคนคอยปลอบโยนอยู่ข้างๆ
เมื่อได้เห็นภาพนั้น ใจสาวิตรราวกับตกวูบลงไปอยู่กับพื้น เขารีบสาวเท้าเข้าไปหาคุณไมตรี
“เข็มเป็นยังไงบ้างครับ คุณพ่อ”
“ยังไม่ฟื้น หมอตรวจดูหลายอย่างแล้ว ม่านตาก็ไม่ตอบสนอง เป็นไปได้ว่าเข็มจะเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่อย่างนี้” คุณไมตรีตอบ
“เราต้องไม่สิ้นหวังนะครับ คุณพ่อ เข็มจะต้องฟื้น ยังไม่ฟื้นวันนี้ เดี๋ยวก็ต้องฟื้นครับ”
คุณไมตรียังคงนิ่ง
“นะครับ คุณพ่อ ผมจะทำทุกอย่างให้เข็มฟื้นให้ได้ ผมขอเยี่ยมเข็มนะครับ” สาวิตรว่า
“ไม่ได้” เสียงคุณเนตรนุชดังแทรกขึ้นมา
“ชั้นจะไม่ให้เธอพบหรือแตะต้องตัวเข็มอีก เพราะเธอ เธอแท้ๆ ที่ทำให้เข็มเป็นอย่างนี้ ถ้าลูกสาวชั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับเธอ เขาก็ไม่เป็นอย่างนี้หรอก กลับไปซะ แล้วก็ไม่ต้องมาอีก” คุณเนตรนุชพูดเสียงดัง
นาถนพินเห็นท่าไม่ดี จึงจับแขนสาวิตรอย่างจะชวนให้กลับ แล้วบอกว่า
“เรากลับกันก่อนเถอะค่ะ พี่วิตร”
สาวิตรพยักหน้า เพราะเห็นแล้วว่า หากยังอยู่ต่อ ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ มีแต่จะทำให้คุณเนตรนุชโกรธเคืองมากขึ้นเท่านั้น เขาจึงยกมือไหว้ลาคุณไมตรี และกลับออกไปพร้อมกับนาถนพิน
......
สาวิตรนอนพลิกตัวไปมา สมองวิ่งวนอยู่แต่กับเรื่องของปรางนวลจนยากจะข่มตาให้หลับลงไปได้ เขาจะต้องหาทางช่วยเธอให้กลับฟื้นคืนมาให้ได้ ไม่ว่าจะโดยวิธีการใดก็ตาม จะยากเพียงไหนก็ตาม เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น มันเป็นความผิดของเขาแท้ๆ ...
เขาไม่น่าขอคืนดีกับปรางนวล ด้วยวิธีการแบบนี้ จนพาเธอไปพบชะตากรรมนี้เลย
ท่ามกลางความคิดอันวุ่นวายนั้น สาวิตรพยายามข่มใจด้วยคำภาวนา จนทุกอย่างสงบลง เสียงๆ หนึ่งที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้นในความสงบนั้น
“เจ้าอย่าโทษตัวเองให้มากเกินไปเลย จักเป็นทุกข์ไปเปล่าๆ ทั้งหมดมันคือผลแห่งกรรม ถึงอย่างไรมันต้องเกิดตามเหตุแลปัจจัย เจ้ามิใช่คนผิด ผู้ที่ชนเจ้าก็มิใช่ผู้ผิด”
เขาแลหาที่มาของเสียงนั้น แต่ไม่เห็น กระนั้นไม่ว่าเจ้าของเสียงจะเป็นใครก็ตาม หากกล่าวเช่นนี้ ก็คงมิใช่ผู้มาร้ายแน่ๆ คิดแล้วจึงกล้าถามออกไป
“กรรมของปรางนวลหรือครับ”
“ของเจ้าและคู่รักเจ้า ทั้งคู่”
“ขอให้ผมรับทราบได้ไหมครับว่าผมกับเข็มทำกรรมอะไรไว้”
“กรรมของเจ้าคือจับคนโยนลงจากที่สูง แต่โชคดีที่คนผู้นั้นมิได้ถึงแก่ชีวิต ในภาคของไอ้มิ่ง เจ้าได้ชดใช้ไปครั้งหนึ่งแล้ว และยังมีอีกหลายๆ ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว แต่ด้วยความดีของเจ้า บวกกับอานุภาพของพระที่เจ้าแขวนคอ ทำให้เจ้าบาดเจ็บไม่มากนัก”
สาวิตรยกมือไหว้ท่วมหัวอย่างสำนึกในพระคุณ “กราบขอบพระคุณยิ่งครับ แล้วกรรมที่เข็มทำล่ะครับ”
“ถ้าเจ้าอยากรู้นัก ลองอธิษฐานจิตขอให้ได้เห็นดู”
ชายหนุ่มจึงตั้งจิตอธิษฐานขอเห็นกรรมแต่หนหลังของปรางนวล เพียงครู่เดียว ภาพก็ปรากฏขึ้น...
หญิงสาวผู้แต่งกายงดงามนางหนึ่งกำลังโมโหเกรี้ยวกราด มือหยิบข้าวของขว้างปา ขณะนั้นบ่าวของนางพยายามเข้ามาห้าม แต่นางไม่ยอมหยุดและผลักบ่าวผู้นั้นเต็มแรง ร่างของนางบ่าวกลิ้งหลุนๆ ตกบันไดและหัวไปฟาดเข้ากับโอ่งน้ำด้านล่างพอดี จนสิ้นสติ...เขาได้รับรู้ต่อมาว่า นางนั้นนอนหลับโดยไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลยจนสิ้นชีวิตไปในเวลาไม่นาน
เขาเพ่งเข้าไปจนเห็นหน้าชัด นางผู้เป็นนายนั้นคือแม่ปิ่น ส่วนบ่าวนั้นคือนางแฟง!
ปรางนวลคือแม่ปิ่น....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น