บทที่ 18 ท่านคุรุเฒ่า



บทที่ 18

ปรางนวลคือปิ่นหรือ...สาวิตรรำพึง นี่เราเข้าใจผิดมาเสียนาน คิดว่าเธอคือ “แม่ปราง” คนที่เขาเฝ้าฝันถึง ด้วยความที่เธอเป็นคนรัก ด้วยความละม้ายคล้ายคลึง เขาได้ทราบความจริงวันนี้เอง แต่ไม่ว่าเขาจะไปผูกพันกับแม่ปิ่นได้อย่างไร หรือแม้ปรางนวลจะมิใช่แม่ปราง เขาก็จะต้องช่วยเธอให้ฟื้นขึ้นกลับมาเป็นเช่นเดิมให้ได้

“ให้ผมทำกุศลช่วยปรางนวลได้ไหมครับ ถึงจะต้องบวช ผมก็ยอม ขออย่างเดียว ให้เธอฟื้นกลับมาเป็นปกติเท่านั้น ได้ไหมครับ” สาวิตรถาม

“ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น มันสมควรด้วยเหตุด้วยผลแล้ว เพราะคนรักของเจ้าไปทำเขาไว้ จึงต้องรับผลแห่งกรรม เจ้าหวังจักช่วยแต่คนของเจ้า แล้วผู้ที่ถูกคนของเจ้ากระทำเล่า มันสมควรแล้วฤา”

“ถ้าผมบวชแล้วอุทิศส่วนกุศลให้แม่แฟง ให้เขายอมยกโทษให้ละครับ”

“เจตนามันคือการช่วยคนของเจ้าอยู่ดี คิดว่าเขาจักยอมรับฤา มันมิได้เหมือนกับการเป็นหนี้ แล้วเอาเงินให้เจ้าหนี้ บอกให้เลิกๆ ไปเสีย อย่ามาตามเอาเรื่องเอาราว เจ้ามิได้สำนึกเข้าใจในสิ่งที่คนของเจ้ากระทำกับเขาว่ามันเจ็บปวดเพียงไหน คนของเจ้าที่นอนหมดสติอยู่ยามนี้ ก็มิได้สำนึกเข้าใจ เมื่อผู้กระทำยังมิสำนึกเข้าใจ ก็อย่าหวังว่าผู้ถูกกระทำจักยอมอภัยฤาอโหสิกรรมให้เลย อีกอย่างหนึ่ง เจ้าคิดแต่เพียงเอาความเป็นพระทางกายไปชดใช้เขา มิใช่ความเป็นพระทางใจ มันชดใช้กันมิได้ดอก”

“ความเป็นพระทางใจคืออะไรครับ”


“คือใจที่หมดความทุกข์เศร้า กังวล โกรธเคือง แต่หากยอมรับได้ว่า มันคือสิ่งที่ต้องเป็นไป เป็นธรรมดาน่ะซีเจ้า เรียกอีกอย่างว่าใจที่วางได้นั่นแล หมายรวมถึงใจที่ไม่หวั่นไหวต่อความสุข ความพอใจด้วย พระที่แท้จริงคือพระทางใจเช่นนี้”

สาวิตรยอมรับกับตัวเองว่า เขายัง “วาง” ไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ มันช่างยากเย็นมากเหลือเกิน

“แล้วผมควรทำยังไงดีครับ”

“มิต้องทำสิ่งใดเลย ปลงใจเสียว่า มันคือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น แลเกิดขึ้นแล้ว อย่าโทษใคร แม้แต่ตัวเจ้าเอง วันหนึ่ง หากคนรักของเจ้าสำนึกแลยอมรับได้ว่า ทุกสิ่งที่เกิด มันเป็นผลจากสิ่งที่เขาทำไว้เอง ผู้ถูกกระทำเขาอาจอโหสิให้ได้”

สาวิตรนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพูดว่า “แต่อย่างไร ผมจะหมั่นทำกุศลอุทิศให้แม่แฟงกับปรางนวลนะครับ”

“ดี กระทำเถิด กุศลให้ผลเป็นสุขทั้งผู้ให้แลผู้รับเสมอ”

“ผมกราบขอบพระคุณท่านมากครับที่ช่วยให้คำตอบผม เอ้อ ขออภัยนะครับ ขอผมทราบสักนิดได้ไหม ว่าท่านผู้ชี้ทางสว่างให้ผมครั้งนี้ ท่านเป็นใครครับ” ชายหนุ่มถามขึ้น เสียงนั้นตอบมาว่า

“ใครๆ ขนานนามข้าว่า คุรุเฒ่า เราพบกันแล้ว แลจักได้พบกันอีก” ...

เพียงเท่านี้ ทุกสิ่งก็กลับคืนสู่ความเงียบสนิท

……


นาถนพินนำเรื่องที่พบเจอที่โรงพยาบาลไปเล่าให้กับผู้เป็นพ่อฟัง เขารู้สึกวิตกกังวลกับหลานชาย ยิ่งเมื่อเห็นสาวิตรดูเงียบขรึมลง พสิฐก็บังเกิดความเป็นห่วง จนต้องโทรไปหาศาสตราจารย์วิรุฬห์ ด้วยหวังว่าการเดินทางเปลี่ยนสถานที่ไปกับฝ่ายนั้นคงจะช่วยให้จิตใจของผู้เป็นหลานผ่อนคลายลงได้บ้าง

“วิรุฬห์ นายมาชวนตาวิตรไปทำโครงการกับนายดูอีกสักครั้งก็ดีนะ” พสิฐเปรยขึ้น

“ทำไมหรือ ผมละสนใจเขา แต่ชวนหลายครั้งแล้ว ก็ไม่เห็นเขาตกลงใจเสียที” ศาสตราจารย์วิรุฬห์ตอบ

“ก็เรื่องที่เกิดกับหนูเข็มน่ะแหละ ตาวิตรไม่สบายใจเลย จะไปเยี่ยมหนูเข็มที่โรงพยาบาล ทางบ้านเขาก็กีดกันทุกอย่าง ชั้นก็เลยคิดว่า น่าจะให้ตาวิตรนี่ออกไปเปิดหูเปิดตา ศึกษาเรียนรู้อะไรกับนายสักพัก เผื่อจะสบายใจขึ้นบ้าง”

“ได้ ถ้างั้นพรุ่งนี้ตอนเย็น ผมไปบ้านพี่นะ จะลองชวนดูอีกครั้ง ถ้าคุยกับเขาแล้วเขาตกลงนี่ ผมจะดีใจมาก เพราะเท่าที่ดู เขาเป็นคนที่ใช่มากๆ เลย แต่ถ้าเขาไม่ตกลง พี่คงต้องมองหาหนทางอื่นแล้วล่ะ แต่ผมยินดีช่วยนะ” ศาสตราจารย์วิรุฬห์ว่า

..........

สาวิตรเดินไปที่บ้านของพสิฐเพื่อรับประทานอาหารเย็นตามปกติ แต่วันนี้เมื่อไปเกือบถึงโต๊ะอาหาร เขาต้องชะงัก เมื่อเห็นศาสตราจารย์วิรุฬห์มากับคนสามคนที่เขาระลึกรู้ได้คลับคล้ายคลับคลาว่า นี่คือคู่แค้นเก่าในอดีต...

เดช ริดและเลื่อง!...ริดกับเลื่อง ผู้มุ่งร้ายสังหารเขา แทบไม่คาดคิดเลยว่าจะเจอคนทั้งสามในภาคปัจจุบันที่นี่ และนี่คงเป็นครั้งแรก ที่สาวิตรคิดว่า จำคนในอดีตที่เคยเกี่ยวข้องด้วยได้อย่างค่อนข้างแม่นยำ

อาพสิฐเห็นเขาเป็นคนแรก จึงทักขึ้นว่า

“หยุดยืนตรงนั้นทำไมล่ะ ตาวิตร เข้ามาสิ วันนี้วิรุฬห์เขามาพร้อมกับลูกศิษย์และทีมงานเขาสามคน ไม่ต้องแปลกใจไปหรอก”

แปลก แปลกสิ คนทั้งสามที่เคยแค้นเขานั่นไม่มีทีท่าเป็นศัตรูเลย แต่มองเขาอย่างคนไม่เคยรู้จักกันคนหนึ่ง หรือเขาลืมอดีตไปแล้ว จริงสิ คนทั่วไป มักรำลึกอดีตของตนเองไม่ได้เป็นธรรมดา เมื่อคิดอย่างนี้ สาวิตรจึงเบาใจขึ้นและเดินไปนั่งร่วมโต๊ะกับทุกคนตามปกติ

“มา อาจะแนะนำให้รู้จัก” ศาสตราจารย์วิรุฬห์ว่า

“นี่เตชิน ฤทธีและเรืองชัย เขาจะไปศึกษาและค้นหาประตูมิติกับอาด้วยที่อยุธยา เราร่วมกันสร้างเครื่องมือตรวจหาประตูมิติใกล้สำเร็จแล้ว และกำลังจะไปทดลองทำงานกัน สามคนนี้นอกจากเขาจะจบทางด้านฟิสิกส์แล้ว เขายังปฏิบัติสมาธิด้วย ดังนั้นเขาจึงเข้าใจทั้งมิติทางวัตถุและมิติทางจิต..ส่วนนี่ก็ สาวิตร หลานคุณพสิฐ ไปอยู่ซิดนีย์ตั้งแต่เด็กๆ เพิ่งกลับมาเมืองไทยไม่นานนี้เอง”

ทั้งสามคนยิ้มน้อยๆ ให้สาวิตร เตชินเป็นคนพูดออกมาว่า

“ยินดีที่รู้จักครับ คุณสาวิตร”

“เช่นกันครับ คุณเตชิน และถ้าเดาไม่ผิด คุณฤทธีกับคุณเรืองชัยเป็นพี่น้องกันใช่ไหมครับ” สาวิตรว่า

“เอ รู้ได้ยังไงนี่ คุณมีญาน หรือว่าหน้าเราสองคนมันเหมือนกันเกินไป ผมว่าเราหล่อกันคนละแบบแล้วนะ ใช่ครับ ผมเป็นพี่ เรืองชัยที่หล่อน้อยกว่าผมหลุดลุ่ยนั่น เป็นน้องชาย แต่เราห่างกันแค่ปีเดียว” ฤทธีพูดยิ้มๆ

นั่นปะไร สาวิตรคิด มาถึงภพนี้ก็ยังอุตส่าห์เป็นพี่น้องกันอีก น่าจะรักผูกพันกันจริงๆ เขาจะจำได้เพราะอะไร ยังไม่รู้ แต่ที่รู้ก็คือ ริดกับเลื่องนี่แหละ ช่างเลือดเย็นกับเขาอย่างที่สุด ภาพที่ทั้งสองคนไปที่กระต๊อบของมิ่ง ภาพที่มิ่งถูกจับโยนลงเหว ปรากฏในห้วงความคิดอีกครั้ง มันน่าแค้นใจเสียจริงๆ

“คิดเองเออเองตลอดนะ คุณฤทธิ์” เรืองชัยว่าพร้อมส่ายหน้า “คุณวิตรอย่าไปเชื่อเขานะครับ แข่งกันจีบสาวนี่ เขาแพ้ผมมาหลายครั้งแล้ว”

ทุกคนยิ้มกับการพูดเล่นหัวของสองคนพี่น้อง

“เกรงใจผู้ใหญ่กันมั่งพวกนาย...อย่าถือสาสองคนนี่เลยนะครับ คุณวิตร ชอบพูดอะไรเรื่อยเปื่อยตลอด” เตชินว่า

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจคนมีอารมณ์ขัน” สาวิตรว่า แต่ใจมิได้รู้สึกขันไปด้วย

“ที่ผมกล้าพูดเล่นกับคุณวิตรนี่ เพราะผมรู้สึกคุ้นกับคุณมากๆ เหมือนเคยเจอกันมาก่อนที่ไหนก็ไม่รู้” ฤทธีว่า

“นั่นสิ ผมก็รู้สึกว่าคุ้นกับคุณมากเหมือนกัน” เรืองชัยกล่าวขึ้นบ้าง

เอาแล้วซี อย่าจำได้ว่าเคยชังขนาดจะฆ่ากันลงก็แล้วกัน สาวิตรคิด ถ้าจำได้ เขาคงลำบากแน่ บางทีอาจจะแก้แค้นกลับให้มั่งก็ได้

“เอ คงไม่มั้งครับ เราอยู่กันคนละประเทศเลย” สาวิตรตอบ

นาถนพินกับยุพเยาว์เพิ่งออกมานั่งที่โต๊ะกับทุกคน

“ลุยเลยจ้ะ อย่าเพิ่งคุยกัน เดี๋ยวกับข้าวจะชืดเสียหมด อุตส่าห์จัดเต็มมาให้อร่อย มันจะไม่อร่อยก็เพราะเอาแต่คุยนี่แหละ เชิญได้เลยทุกคน” ยุพเยาว์ว่า

บทสนทนาอย่างจริงจังจึงเริ่มขึ้นหลังจากที่การรับประทานอาหารเสร็จสิ้นแล้ว

“วิตร อีกไม่นาน อาจะไปทำโครงการของอาแล้วนะ วิตรจะไปกับอาไหม” ศาสตราจารย์วิรุฬห์ว่า

“ไปเถอะนะวิตร อาว่าวิตรจะได้ประสบการณ์ที่หาจากที่ไหนไม่ได้เลยล่ะ” พสิฐรีบกล่าวเสริม

“นั่นสิคะ พี่ ถ้าไม่ติดทำงาน หนูไปด้วยแล้ว นี่ก็กะว่าเสาร์ อาทิตย์ จะตามไปแจม เพราะอยุธยาใกล้แค่นี้เอง พี่วิตรไปเถอะค่ะ ถ้าเจออะไรสนุกๆ ก็มาเล่าให้หนูฟังมั่ง” นาถนพินช่วยสนับสนุน

สาวิตรได้ฟังแล้วนิ่งคิด ใจของเขาเริ่มเอนเอียงในทางที่จะไปกับศาสตราจารย์วิรุฬห์แล้ว เพราะอยู่ทางนี้ก็มีแต่ความกังวล แถมยังไม่สามารถช่วยอะไรปรางนวลได้เลย แม้แต่การไปเยี่ยม ถ้าได้ออกไปทำอะไรไกลบ้านเสียบ้าง ความรู้สึกของเขาอาจจะดีขึ้นได้ แต่สาวิตรยังไม่ทันได้ตอบ เขาก็ได้ยินเสียงในห้วงสำนึก

“ตอบตกลงได้แล้ว อีกมินานเจ้าจักต้องกลับคืนอดีตแล้ว ในเพลาแห่งการขับไล่ขอมออกจากสุโขทัย”

กลับไปอดีตหรือ..แล้วมิ่งล่ะ..แล้วต้องไปอยู่ร่วมกับสามคนนี่นะ จะไหวหรือ

"จักอย่างไร เจ้าก็ต้องไป อย่ามัวแต่ลังเลใจอันใดอยู่เลย" เสียงในห้วงสำนึกดังขึ้นอีกครั้ง

ดีเหมือนกัน..จะเป็นอย่างไรก็ช่างเถิด อีกด้านหนึ่ง จิตใจของเขาโหยหาอยากพบปรางในความเป็นจริง มิใช่แค่ภาพฝันเหลือเกิน สาวิตรจึงตัดสินใจบอกกับศาสตราจารย์วิรุฬห์ไปว่า

"ผมไปครับ ถ้าคุณอาจะเปลี่ยนเป็นไปที่สุโขทัย"

ศาสตราจารย์วิรุฬห์อึ้ง เพราะหลายครั้ง ความรู้สึกภายในบอกให้เริ่มต้นที่สุโขทัยก่อนจริงๆ หากแต่เขาได้ไปเยือนอยุธยาหลายครั้ง จนเกิดความประทับใจในโบราณสถานและเบื้องหลังของซากอิฐซากปูนเหล่านั้น จึงคิดเริ่มต้นที่เมืองเก่าแห่งนี้ และเลือกที่จะปฏิเสธความรู้สึกลึกๆ ของตัวเองเสมอมา

"ทำไมละหลาน" เขาถาม

สาวิตรตัดสินใจบอกความจริงที่เขาเคยไม่อยากบอกใครนัก

"เป็นกระแสรับสั่งมาจากพระองค์ท่านครับ" สาวิตรพูดก่อนที่จะเปิดภาพในโทรศัพท์ของตนให้ชม ทุกคนรับโทรศัพท์จากสาวิตรแล้วส่งต่อเวียนกันไป กระแสบางอย่างแผ่ซ่านไปในวงสนทนานั้น จนทุกคนรู้สึกได้

"ภาพนี้ผมวาดเองจากจิตที่มองเห็นครับ" สาวิตรว่า

"โอย ขนลุกเลยนี่" ยุพเยาว์พูดขึ้น

“เพิ่งรู้นะว่าคนสมัยใหม่อย่างหลานจะสนใจเรื่องปฏิบัติทางจิตมากขนาดนี้” พสิฐกล่าวขึ้นบ้าง

ศาสตราจารย์วิรุฬห์ตกตะลึง เพราะเคยฝันเห็นท่านผู้นี้มาแล้ว แต่ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด จึงถามสาวิตรออกไปว่า

"ใครกันหรือ"

"ท่านเคยบอกผมว่า ท่านคือพ่อขุนบางกลางหาวครับ" สาวิตรตอบ

"ผมได้รับสื่อจากท่านตลอดมา ว่าผมมีบางอย่างต้องทำที่นั่น และอาจจะหมายรวมถึงเราทุกคนในที่นี้ด้วย" สาวิตรพูดต่อ

"นั่นนะสิ จิตผมก็บอกว่าต้องเริ่มที่สุโขทัย ผมบอกอาจารย์แล้ว แต่อาจารย์ก็ไม่ยอมเชื่อสักที" เตชินว่าก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นแตะหน้าผากอย่างแสดงความเคารพ

"ผมเลือกสุโขทัยด้วย" ฤทธียกมือขึ้น

"ผมด้วย" เรืองชัยว่า

"ตอนนี้เราก็เลือกสุโขทัยกัน 4 เสียงแล้ว ตามหลักประชาธิปไตย อาจารย์เป็นเสียงเดียว ต้องทำตามเสียงส่วนมากแล้วครับ แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องที่พักนะครับ ผมมีเพื่อนรุ่นน้องทำรีสอร์ทที่นั่น บรรยากาศดี สงบแล้วก็สวยงามมาก จะได้ช่วยกิจการมันด้วย" เตชินกล่าว

"ดีเลย วิตรจะได้ไปเยี่ยมสถานที่ที่เคยอยู่มาสมัยเด็กๆ ด้วย" พสิฐกล่าวขึ้น

"ตกลง งั้นเราไปสุโขทัยกัน" หัวขบวนอย่างศาสตราจารย์วิรุฬห์ยอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้งในที่สุด

.................

มิ่งฟื้นแล้ว จากอาการสลบไสลอันยาวนาน

"นี่ที่ไหนกันฤา" มิ่งคิด หลังลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่ามิใช่กระต๊อบหลังน้อยในอาณาบริเวณของพ่อครูพันที่เขาเคยซุกกายนอน แต่เป็นกระต๊อบหลังใหญ่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาพยายามขยับกาย แต่มันก็ช่างยากเย็น ด้วยความปวดร้าวที่วิ่งแล่นขึ้นทั่วร่าง จนต้องทิ้งตัวลงกับแคร่อีกครั้ง

ผู้เฒ่าผมและเคราขาวท่านหนึ่ง เดินเข้ามาหาเขาที่นอนเหยียดยาวอยู่

"ฟื้นแล้วฤา มิต้องแปลกใจอันใด ที่นี่เป็นเรือนข้าเอง" ท่านว่า

"ท่านช่วยข้าไว้..."

"มิใช่ข้าดอก แต่เป็น.." ท่านเหลียวไปมองบุรุษผู้หนึ่งที่ตอนนี้ก้าวเข้ามาสมทบ

"ท่านพ่อขุนบางกลางหาว" มิ่งตกตะลึง เมื่อเห็นบุรุษผู้สง่างามถนัด เขาจำได้ดีเพราะเคยพบท่านมาแล้วที่บ้านพ่อครูพัน มิ่งยกมือไหว้ทั้งที่ยังคงนอนอยู่

"ข้ากับคนของข้า ไปพบเจ้าค้างอยู่บนกิ่งไม้ในเหว ก็เลยพามาหาท่านคุรุเฒ่า เพราะใกล้ที่พักท่าน มันเกิดอันใดขึ้นกับเจ้ากัน แต่ดูเหมือนข้ากับเจ้าเคยพบกันแล้ว ใช่ฤาไม่" พ่อขุนกล่าว

"ใช่ขอรับ ข้าชื่อมิ่ง เป็นศิษย์พ่อครูพัน ท่านคงเคยเห็นข้าที่เรือนพ่อครูขอรับ"

"มิ่งฤา เจ้านี่เอง แม่จูกับแม่ใจเล่าให้ข้าฟังแล้ว เรื่องเจ้ากับแม่ปราง น่าเห็นใจเจ้าทั้งสองยิ่งนัก แต่มันเกิดเหตุอันใดขึ้น เจ้าถึงตกลงไปในเหวนั้น" พระองค์ท่านกล่าว

"ข้าจำได้ว่า มีคนมาที่เรือนข้ายามค่ำ ข้าออกไปแล จู่ๆ ก็สิ้นสติลงไป จำได้แต่เพียงว่า ก่อนข้าจักหลับ ข้าได้ยินเสียงพี่ริด พี่เลื่อง แล้วก็มิรับรู้อันใดอีกเลย จนมาฟื้นคืนขึ้นที่นี่" มิ่งเล่าเรื่องราวให้ฟัง

"เจ้านี่มีรอยลูกดอกอาบยาที่ต้นแขน พวกมันต้องยิงเจ้าให้สิ้นสติ แล้วพามาทิ้งเหว พร้อมข้าวของของเจ้า เสมือนว่าเจ้าหนีมาตกเหวตายเอง" ท่านคุรุเฒ่ากล่าว

มิ่งคลำห่อผ้าที่ถูกเก็บมาวางอยู่ข้างตัว

"ข้าก็คิดเช่นนั้น พี่ริดพี่เลื่องแค้นข้ามาก เพราะข้าเองเป็นเหตุให้ผู้มีบุญคุณของเขาคือพี่เดชทุกข์ใจหนัก เอ้อ เรื่องแม่ปราง"

"ถ้าเช่นนั้น ข้าในฐานะพ่อเมือง พึงควรไต่สวนชำระความ เพื่อธำรงความยุติธรรมเอาไว้ การหมายฆ่ากันเยี่ยงนี้เป็นความผิดนัก ข้าจักกลับไปไต่สวนไอ้สองคนนั่นให้แก่เจ้า"

“ธำรงความยุติธรรมฤา ยุติธรรมก็คือการยุติด้วยธรรม หมายถึงการยุติกรรม” ท่านคุรุเฒ่าว่า “เหตุครั้งนี้ มันเกิดแต่กรรมของไอ้มิ่งที่ต้องชดใช้ ท่านพ่อขุนอย่าต่อกรรมให้ยาวนานอีกต่อไปเลย ให้มันจบลง ณ บัดนี้เถิด”

“ถ้าท่านกล่าวเช่นนี้ ข้าก็จักยับยั้งเรื่องไว้เพียงนี้” ท่านพ่อขุนตรัสตอบ

“ดีแล้วท่าน”

“ส่วนเจ้า ไอ้มิ่ง ก็อย่าเคียดแค้นผู้กระทำต่อเจ้า อย่าต่อกรรม จักเป็นผลดีกับเจ้าต่อไป แลเจ้าอาจต้องขอบคุณมันด้วยที่เป็นเหตุให้เจ้าได้มาถึงที่นี่” ท่านคุรุว่า ก่อนจะเดินออกไปนอกกระต๊อบเพื่อหยิบยาต้มถ้วยหนึ่งซึ่งควันขึ้นบางๆ ส่งให้มิ่ง

“ดื่มเสียเจ้า”

มิ่งพยายามยันกายลุกขึ้นอีกครั้ง แต่ความเจ็บร้าวตามร่างกายทำให้เขาต้องทิ้งตัวลงเช่นเดิม ท่านพ่อขุนจึงลงนั่งบนแคร่ที่เขานอนอยู่แล้วพยุงร่างของเขาขึ้นนั่ง

"ค่อยๆ ลุกเถิดเจ้า" พระองค์ท่านว่า

“ขอบพระคุณท่านยิ่ง”

มิ่งซึ่งลุกขึ้นนั่งแล้วรับถ้วยยาจากท่านคุรุเฒ่ามาดื่ม ยานั้นกลิ่นหอมและรสชาติดียิ่ง พลันที่ยานั้นตกถึงท้อง ความอบอุ่นก็ดูเหมือนจะแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย และเพียงชั่วครู่หนึ่ง อาการเจ็บร้าวก็ดูเหมือนจะเบาบางลงถนัด มิ่งลองคลำดูตามร่างกายและแขนขา มันมิได้รู้สึกเจ็บหนักหนาสาหัสเช่นคราวแรกอีกแล้ว

มิ่งยกมือไหว้ท่านคุรุเฒ่าอย่างขอบพระคุณท่วมท้น

"ยาของท่านช่างวิเศษยิ่งนัก ข้ามิรู้จะขอบพระคุณท่านเยี่ยงไรดี"

"มิต้องดอกเจ้า เรื่องเล็กน้อย ต่อแต่นี้เจ้าอยู่ที่นี่ ดื่มยานี่ต่ออีกสักเจ็ดวัน ก็จักหายสนิท"

มิ่งหันมาทางท่านพ่อขุนซึ่งประทับยืนอยู่พร้อมกับพนมมือไหว้

“ข้าต้องกราบขอบพระคุณท่าน หากมิมีท่าน ชีวิตข้าคงดับสูญ นับว่าชีวิตข้าเป็นหนี้ท่านโดยแท้ ข้ายินดีตอบแทนพระคุณของท่านทุกอย่าง แม้นว่าจักยากลำบากสักเพียงใด”

พระองค์ท่านยิ้ม

“สิ่งที่ข้าจะให้เจ้าตอบแทนมีเพียงสิ่งเดียว คือการช่วยบำบัดทุกข์ให้ผู้คน นั่นคือการขับไล่พวกขอม ให้เราพ้นการถูกกดขี่กุมเหง พ้นการเป็นทาสผู้อื่นบนแผ่นดินของเราเอง เจ้าจักตอบแทนข้าได้ฤาไม่”

“ข้ายินดียิ่ง เพราะข้าได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว ข้าเองก็ได้รู้รสความทารุณที่มันทำไว้แก่ย่า แก่น้อง แก่พี่ขามแลลูกกับเมียพี่ขาม ข้าขอให้คำสัตย์ จักร่วมรบกับท่านอย่างถวายชีวิต แม้นชีวิตข้าดับสิ้น ก็ยังจักกลับมา เพื่อยังความเป็นไทแลความสุขให้แก่พวกเราตามประสงค์ของท่านให้จงได้”

สายลมภายนอกพัดต้องแมกไม้ดังกราวใหญ่ ราวกับรับรู้ เป็นพยานให้แก่การกล่าวคำสัตย์ของมิ่ง

“ดี นี่เป็นสัจจะของเจ้าแล้วนะ ขอให้ทุกสิ่งจงเป็นเช่นนั้น” พระองค์ท่านกล่าว

“ข้ามีสิ่งหนึ่งจักให้เจ้าชม หากเจ้ามีวาสนา ภารกิจของข้าก็คงเสร็จสิ้นอีกครั้ง” ท่านคุรุเฒ่ากล่าวขึ้นบ้าง ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องด้านหลัง และประคองดาบเล่มหนึ่งด้วยสองมือเดินกลับออกมาส่งให้มิ่ง มิ่งรับไว้อย่างแปลกใจ แต่เมื่อได้สัมผัสดาบนั้น ความงดงามของลวดลายบนฝักกลับดึงดูดใจเขายิ่งนัก ยิ่งเมื่อดึงดาบออกมา คมดาบที่เป็นประกายวาววับและมีตัวอักขระสลักอยู่ ดูช่างมีมนตราอย่างประหลาด

“ดาบนี้เป็นดาบศักดิ์สิทธิ์ ยามรบจักมีอานุภาพมาก ผู้ได้ครอบครองจักมิรู้แพ้ ยามสงบ ดาบนี้เป็นดาบช่วยชีวิต แลมีความลับในดาบนี้อีกมากนัก ผู้ครอบครองต้องค้นหามันด้วยตัวของตัวเอง เจ้ามิ่ง เจ้ารู้สึกเช่นใด”

“ดาบนี้งดงามนัก ท่านคุรุ แลเมื่อมีอานุภาพมาก มิว่าใครก็คงอยากครอบครอง ข้าเองก็ต้องใจยิ่ง”

“ถ้าเจ้าได้ครอบครองดาบนี้เล่า”

“ข้ามิใช่ผู้สมควรครอบครองดอก เพราะข้านี้อ่อนด้อยเรื่องฝีมือการรบ ปัญญาข้าก็น้อย แลมิได้ทำหน้าที่อันสำคัญ ดาบนี้สมควรแก่ผู้ที่ยอมสละตน นำการรบเพื่อความสุขของหมู่ชนต่างหาก มิใช่ข้าแม้แต่น้อย” ว่าแล้วก็มองที่พ่อขุนบางกลางหาว

พระองค์ท่านยิ้ม

“ข้ารู้จักดาบนี้ดี แต่ข้ามิใช่เจ้าของดอก เจ้ามิต้องมองมาที่ข้า”

“เจ้ามิต้องการมันนะ” ท่านคุรุเฒ่าถามย้ำ

“เช่นนั้นท่าน” มิ่งยืนยัน

ท่านคุรุเฒ่าหัวเราะ

“ข้าตามหาอยู่นาน ที่สุดก็พบผู้ครอบครองสักที”

……..

13 กันยายน 2566
 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น