บทที่ 19 ข้ากลับมาแล้ว


บทที่ 19

มิ่งงวยงงกับสิ่งที่ท่านคุรุเฒ่าพูด

“ท่านหมายความเยี่ยงไร”

“ข้าได้พบคนมากมาย ทั้งนักรบมีฝีมือ ทั้งจอมปราชญ์ ทั้งชาวบ้านชาวเมือง มิมีผู้ใดเลยที่มิปรารถนาครอบครองดาบเล่มนี้ มีเพียงเจ้านี่แล แต่ดาบถูกกำหนดมาว่า ผู้มิมีความปรารถนา ย่อมได้ ดาบนี้จึงเป็นของเจ้า”

“จักสมควรฤาท่าน ข้าจักทำสิ่งใดได้ กับดาบที่ล้ำค่ายิ่งนี้” มิ่งว่า

“สมควรแล้ว เจ้าอย่าเพิ่งปรามาสตนเองไป ดาบนี้มาพร้อมหน้าที่อันสำคัญ ซึ่งเจ้าจักได้ล่วงรู้ เมื่อเวลามาถึง ครานั้นเจ้าจักได้รู้ว่าเจ้าทำสิ่งใดได้ แต่มันหาใช่เพื่อความสุขสบายส่วนตัวเจ้า เจ้ายินดีที่จักครอบครองดาบนี้ฤาไม่”

มิ่งเพ่งพินิจดาบในมืออีกครั้ง

“ถ้าท่านเห็นสมควร ข้าก็ยินดีรับไว้”

ท่านคุรุเฒ่ายิ้มอย่างพอใจ เช่นเดียวกับพ่อขุนบางกลางหาว ก่อนที่ท่านคุรุจะรับดาบจากมือมิ่งมารักษาไว้ก่อน

“ข้าจักรอเวลาที่เจ้าจักมาร่วมรบในกองทัพของข้า เจ้ามิ่ง อีกมินานแล้ว” ท่านพ่อขุนบางกลางหาวกล่าวขึ้น “แต่เพลานี้ข้าต้องไปก่อน รักษาตัวให้ดีนะเจ้า” พูดแล้วก็ตบบ่าของมิ่ง

“ข้าจักรักษาตัว แลฝึกอาวุธให้ดีที่สุด เพื่อเข้าร่วมกองทัพของท่าน”

“ท่านคุรุ แล้วข้าจักกลับมาเยี่ยมท่านใหม่ คงอีกมินานจากนี้” พระองค์ท่านหันไปกล่าวลาท่านคุรุ

“การเตรียมการของท่านเป็นเยี่ยงไร” ท่านคุรุเฒ่าถาม

“ข้าหารือการรบกับท่านผาเมืองตลอดเวลา แต่เราต้องทำกันเป็นการลับ ด้วยต้องระวังหูตาของฝ่ายขอม ยิ่งท่านผาเมือง ยิ่งต้องคอยปิดบังมิให้นางสิงขรเทวีรับรู้ มิเช่นนั้น ความลับจะตกถึงบ้านเมืองของนาง มันจะเสียการ แน่ชัดว่า กษัตริย์ขอมต้องการให้ท่านผาเมืองเป็นใหญ่ แต่ก็ใหญ่ภายใต้อำนาจขอม จึงยกนางสิงขรเทวี ธิดาให้เป็นชายา แลช่วยเป็นหูตาคอยส่งข่าวสารให้ เราจึงประมาทมิได้เลยแม้แต่น้อย”

ท่านคุรุพยักหน้ารับรู้


“ไม่ว่าจักเกิดเหตุการณ์ใด ฤาจักทำการใด ข้าขอให้ท่านแลท่านผาเมือง ทำการได้สำเร็จ ขอให้มีชัยชนะข้าศึกโดยง่าย” ท่านคุรุยกมือข้างขวาขึ้นให้พร

พระองค์ท่านกราบลงเบื้องหน้าท่านคุรุอย่างนอบน้อม

“นับเป็นพรอันประเสริฐนัก ข้าขอน้อมรับพรที่ท่านให้แด่ข้าแลท่านผาเมืองนี้ด้วยใจ เพราะชัยชนะแห่งเราทั้งสอง ย่อมหมายถึง แผ่นดินแห่งความสุขของเผ่าไทจักบังเกิดได้เสียที เพลานี้ข้าขอลาท่านก่อน”

ท่านคุรุเฒ่าพยักหน้า “เชิญเถิดท่าน”

มิ่งมองตามร่างสูงสง่าที่เดินจากไปด้วยความเคารพรัก

“เจ้ามิ่ง” ท่านคุรุเฒ่าพูดขึ้น

“ขอรับ”

“เจ็ดวันที่เจ้าพักฟื้นที่นี่ ข้าจักสอนการฝึกจิตให้มีกำลังให้แก่เจ้า กลับไปจักได้เรียนวิชาคาถาอาคมได้ง่าย แลมีจิตที่กล้าแข็ง”

“ข้ายินดียิ่ง ท่านคุรุ”

เมื่อครบ 7 วัน ของการดื่มยาเป็นประจำทุกวัน อาการเจ็บปวดของมิ่งก็หายดีเป็นปกติ พร้อมๆ กับที่สามารถทำสมาธิเข้าฌานได้ตามที่ท่านคุรุถ่ายทอดให้ สายของวันรุ่งขึ้น ท่านเรียกมิ่งไปพบเพื่อมอบดาบที่มิ่งได้สิทธิ์ครอบครองให้

“วันนี้แล้ว เจ้าจักต้องกลับไปยังที่ที่เจ้าจากมา รับดาบนี่ไปเสีย”

มิ่งนิ่งคิด หากให้กลับไปบ้านพ่อครูพัน เขาคงอยู่ด้วยความทุกข์ใจ พ่อครูแม้มิเคยลงโทษ แต่ก็มิได้เมตตาเอ็นดูเขาอย่างเดิม เดชซึ่งเคยเป็นมิตรและพี่ชายที่ดี ก็โกรธเขาถึงขีดสุด จนหมางเมินกันไป ริดกับเลื่องเล่า ก็จ้องแต่จะทำร้าย ส่วนแม่ปราง แม้จะรักและผูกพันสักเพียงใด ก็ยากนักที่จะได้อยู่เคียงกันอีก คิดแล้วจึงตอบท่านคุรุไปว่า

“ให้ข้าอยู่ดูแลรับใช้ท่านที่นี่ได้ฤาไม่”

“มิได้ดอก” ท่านว่า “เจ้าต้องไปมีชีวิตของเจ้า ข้าก็รู้ว่าเจ้าทุกข์ แต่อย่าคิดหนีมัน จงเผชิญหน้ามันเสีย แล้วเจ้าจักได้เห็นว่า เจ้าจักผ่านมันไปได้เยี่ยงไร กลับไปเสีย เรียนวิชาอาวุธให้คล่อง ให้ครบถ้วน ข้าจักให้พรพิเศษแก่เจ้า พนมมือขึ้น ตั้งจิตให้ดีๆ”

มิ่งพนมมืออย่างว่าง่าย ท่านคุรุเฒ่าประคองดาบขึ้นด้วยสองมือ

“เจ้าจักเจนจบวิชาใดก็ตามในภพนี้ เมื่อเจ้าได้กลับมาพบแลสัมผัสดาบนี้อีกในทุกภพทุกชาติ ขอให้เจ้าเชื่อมต่อกับสรรพวิชาของเจ้าได้ในทันที”

กระแสอุ่นๆ วิ่งจากดาบมายังกายมิ่งจนซ่านไปทั่ว เขาเหลือบตาขึ้นมองท่านคุรุเฒ่าอย่างมีคำถาม ท่านยิ้ม

“พรที่ข้าให้นี้จักเป็นคุณแก่เจ้าในกาลต่อไป”

มิ่งจึงไม่ถามในสิ่งที่ตนเองนึกสงสัย แต่ตั้งคำถามใหม่ว่า

“แล้วข้าจักได้พบท่านอีกฤาไม่”

“ผู้ที่พบข้าได้เสมอมีแต่ท่านพ่อขุนเท่านั้น ส่วนเจ้า หากมีวาระ ก็คงได้พบกับข้าอีก อ้อ สำหรับดาบนี้มีอีกอย่างหนึ่ง...”

ท่านคุรุเฒ่ากล่าวเพียงนั้น แล้วดาบในมือก็หายไปในทันตา มิ่งตกตะลึง แต่เพียงชั่วอึดใจ ดาบนั้นก็กลับคืนมาอยู่ในมือท่านคุรุเฒ่าตามเดิม...มันเป็นไปได้อย่างไร

“ดาบนี้ เจ้าสามารถกำหนดจิตให้หายลับตาได้ แลเรียกคืนมาได้ เจ้าฝึกจิตมาแล้ว ลองทำดู” ว่าแล้วท่านก็ส่งดาบนั้นให้มิ่งประคองไว้ด้วยสองมือ เขาลองกำหนดจิต นึกให้ดาบหายไป ดาบนั้นก็หายไปเช่นเดียวกับยามที่อยู่กับท่านคุรุเฒ่า มิ่งรู้สึกตื่นเต้น

ท่านคุรุเฒ่ายิ้ม “คราวนี้ลองเรียกดาบกลับคืนมาซิเจ้า”

มิ่งลองกำหนดจิตเรียกดาบกลับ ดาบก็มาอยู่ในมือเช่นเดิม เขายิ้มอย่างดีใจ

“ข้าทำได้แล้ว” เขาหยุดพิจารณานิดหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “แต่ข้าคิดว่า ดาบล้ำค่านี้มิควรรักษาไว้ที่ตนเองตลอดเวลา ดังนั้น ข้าจักขอเรียกมาใช้แต่เฉพาะยามจำเป็นเท่านั้น”

มิ่งมองท่านคุรุเฒ่าอย่างขอความเห็น

“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้าเถิด” ท่านว่า มิ่งจึงกำหนดจิตให้ดาบนั้นหายไป

“มีอีกอย่างหนึ่ง เมื่อได้ครอบครองดาบนี้แล้ว เจ้าจักไม่พ่ายแพ้ผู้ใด มีอย่างเดียวที่เจ้าไม่อาจเอาชนะ”

“อันใดฤาขอรับ” มิ่งถาม

“กรรมของเจ้าเอง นั่นแลเป็นสิ่งเดียวที่เจ้าจักต้องยอม” ท่านหยุดนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “เพลานี้ สมควรแก่เวลาที่เจ้าจักต้องไปแล้ว ออกเดินทางเถิด”

กล่าวแล้วก็ลุกขึ้นเดินนำหน้ามิ่งไต่ขึ้นหุบเขา จนมาถึงเบื้องบน

“ข้าส่งเจ้าแค่นี้ละนะ เจ้าคงกลับไปเองได้แล้ว”

มิ่งทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้น กราบลงที่เท้าของท่าน

“ข้าจักไม่ลืมบุญคุณของท่านเลย ขอบพระคุณที่ชุบชีวิตใหม่ให้ข้าอีกครั้ง และมอบดาบล้ำค่าให้แก่ข้า”

“นั่นเป็นเพราะเจ้าคือผู้ครอบครองที่ถูกต้องต่างหาก แลหากเจ้าคิดถึงบุญคุณข้า จงอย่าผูกโกรธผู้ที่ทำร้ายเจ้าในครานี้ มันจักเป็นผลดีแก่เจ้าต่อไป โกรธได้ เพราะมันทำกับเจ้าสาหัสนัก แต่จงอย่าผูกโกรธ เข้าใจที่ข้าพูดฤาไม่”

“ท่านหมายความว่า มิให้ข้าผูกพยาบาท แก้แค้นคนทั้งสองนั่น...”

“ถูกต้องแล้วเจ้า ให้อภัยมันไปเสีย อย่าไปเอาเรื่องเอาราวอันใดกับมัน”

“ข้าจักจดจำคำท่านไว้”

ท่านคุรุเฒ่ายิ้มพร้อมกับผายมือ

“ไปเถิด ขอให้ปลอดจากภัยทั้งมวล”

มิ่งจึงลุกขึ้นและเดินจากมา แต่เพียงไม่กี่ก้าว เมื่อเขาหันหลังไปมอง กลับไม่มีแม้เงาของท่านคุรุเฒ่าเลยแม้แต่น้อย

……

เมื่อตื่นขึ้นจากความฝันแล้ว สาวิตรก็หยิบดาบในห้องพระขึ้นพิจารณา..ใช่แล้ว ดาบเล่มนี้เอง เล่มเดียวกับที่มิ่งได้ครอบครอง เขาเข้าใจแล้วว่า ทำไมเพียงจับดาบนี้ เขาจึงรู้วิชาดาบขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่อักขระบนดาบเล่า สาวิตรลูบไล้อักขระนั้น เขาล่วงรู้ในจิตขึ้นมาว่า จำเป็นต้องถอดความหมายอักขระนั้นให้ออก เพื่อการสำคัญในอนาคต แต่ทำอย่างไร จึงจะเข้าถึงความหมายได้หนอ

……

อาณาบริเวณเรือนพ่อครูพันวันนี้เงียบงันนัก มิ่งพยายามแลหาผู้คน แต่ไม่เห็นผู้ใด จึงคิดเดินตรงไปยังลานบ้าน ระหว่างทาง เจอเจ้าคงกำลังขนผักเข้าโรงครัวพอดี มันฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจยิ่ง

“พี่มิ่ง หายไปไหนมาตั้งหลายวัน พ่อครูให้ข้ากับพวกพี่ๆ ตามหา ข้าก็เป็นห่วง นึกว่าพี่ถูกเสือสางที่ไหนมาคาบไปกินซะแล้ว ที่แทัก็ออกเที่ยว ใช่ฤาไม่”

มิ่งไม่ตอบ แต่ถามกลับไปว่า

“เหตุใดวันนี้จึงเงียบนัก ผู้คนไปไหนกันฤา”

“เขาไปรวมกันอยู่ตรงหน้าเรือนพ่อครูโน่น ฟังพ่อครูท่านให้โอวาท วันนี้ พี่เดช พี่ริด พี่เลื่องกับอีกหลายคนจักไปบางยางกันแล้ว”

มิ่งรู้สึกร้อนใจขึ้นมาโดยพลัน

“แล้วแม่ปรางเล่า ไปด้วยฤาไม่”

“พี่ปรางมิได้ไปด้วยดอก นางมิยอมไป แม่บอกข้าหนา ว่านางดื้อดึงจนพ่อครูต้องปล่อย พ่อครูก็เยี่ยงนี่แหละ บังคับผู้ใดได้หมด ยกเว้นลูกสาวตนเองสองคน” เจ้าคงนินทาแถมท้าย

เขารู้สึกโล่งอกที่แม่ปรางยังอยู่ แต่ก็รีบเดินไปจากเจ้าคง ทิ้งให้มันตะโกนไล่หลังอย่างงวยงง

“จักรีบไปไหนละพี่ ไม่บอกให้รู้สักคำรึ ว่าไปที่ใดมา รู้งี้ไม่เป็นห่วงก็ดีดอก” เจ้าคงเกาหัวแกรก

มิ่งสาวเท้าเดินจนใกล้ถึงลานหน้าเรือนพ่อครูพัน ซึ่งยามนี้นั่งอยู่บนแคร่ มีเหล่าลูกศิษย์รายล้อมอยู่บนพื้น ด้านหน้านั้น เดช ริด เลื่องอยู่กันครบ ริดหันมาเห็นเขาเป็นคนแรก สีหน้าเรียบเฉยเปลี่ยนเป็นตกใจสุดขีดทันที แล้วก็แอบสะกิดเลื่องให้หันมาดู

“เอ็งดูนั่นสิ มันผีหรือคนวะ” ริดกระซิบข้างหูเลื่อง พยักเพยิดให้มองมาที่มิ่ง

เลื่องตระหนกไม่แพ้กัน “ฉิบหายแล้วเอ็ง คนแน่ มิใช่ผี” แล้วทั้งคู่ก็ก้มหน้างุดลงด้วยความรู้สึกเสียวสันหลัง

มิ่งรู้สึกสะใจที่เห็นอาการหวาดกลัว โดยฉับพลันของคนทั้งคู่ พร้อมๆ กับความรู้สึกโกรธที่พลุ่งขึ้นมาจับใจ

“ใครฉิบหาย ไอ้เลื่อง ไอ้ริดรึ” พ่อครูได้ยินคำอุทานของเลื่องพอดี ขณะที่กำลังคุยกับศิษย์คนหนึ่ง เลื่องถึงกับสะดุ้ง

“มิได้ขอรับพ่อครู ดาบไอ้ริดมันทิ่มสีข้างข้า เลยด่ามัน มิมีอันใดขอรับ” เลื่องแก้ตัวไปแบบน้ำขุ่นๆ

“เอ้า พวกเอ็งแยกย้ายกันไปทำอะไรได้แล้ว”

พ่อครูบอกกล่าวแก่ศิษย์ที่นั่งชุมนุมอยู่ ทุกคนจึงลุกขึ้นเดินจากไป เหลือแต่เดช ริดและเลื่อง จังหวะนั้นพ่อครูพันหันมาเห็นมิ่งพอดี

“อ้าว ไอ้มิ่ง เอ็งไปอยู่ไหนมา รู้ฤาไม่ เขาตามหาเอ็งกันจนอ่อนใจ”

บนเรือนนั้น พลันที่ปรางได้ยินชื่อมิ่งแว่วมาเข้าหู นางก็รีบลุกขึ้นมาแฝงตัวมองอยู่ตรงหน้าต่าง และทันทีที่เห็นมิ่ง น้ำตาแห่งความปิติก็เอ่อล้น นางดีใจอย่างบอกไม่ถูกที่มิ่งกลับคืนมาแล้ว หลังจากกระวนกระวายใจอยู่หลายวัน เมื่อรับทราบเรื่องการหายตัวไปของมิ่ง จากเจ้าคงที่วิ่งกระหืดกระหอบมาบอก

มิ่งทรุดกายลงกราบพ่อครูพัน เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็แลเห็นดวงหน้าเรียบเฉยของเดช กับริดและเลื่องที่เอาแต่ก้มหน้าลงดินทั้งคู่ เดชเห็นมิ่ง จึงลุกขึ้นหมายเดินออกไป

“ข้าขอตัวก่อนนะ ท่านอา”

พ่อครูพยักหน้าแทนคำตอบด้วยเข้าใจความรู้สึก เดชจึงเดินไปจากที่นั้น ริดกับเลื่องเห็นดังนั้น จึงขยับตัวลุกขึ้นจะตามไปบ้าง

“เอ็งสองคนมิต้องไป นั่งอยู่นี่แหละ ตัวติดกับพ่อเดชจริงนะ” พ่อครูว่า ริดกับเลื่องจึงจำใจนั่งลงตามเดิม

“ไปอยู่ที่ใดมา ไอ้มิ่ง” พ่อครูถามย้ำ

“ข้า…” สายตามิ่งจับไปที่ริดกับเลื่องที่ดูจะหนาวๆ ร้อนๆ หนักขึ้นอีก และขยับตัวอย่างไม่เป็นสุข แต่คำสั่งสุดท้ายของท่านคุรุเฒ่าดังแว่วเข้ามาในหู มิ่งจึงหักห้ามอารมณ์ความรู้สึกและกล่าวตอบไปว่า

“ข้าออกจากกระต๊อบตอนดึก แล้วเดินไปทางภูเขาด้านโน้น ทางมืดมาก ข้าจึงตกเหว สิ้นสติไป พอดีมีชาวบ้านคนหนึ่งช่วยไว้ แลพาตัวข้าไปให้ท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่งรักษาจนหาย พอหายดีแล้ว ข้าจึงกลับมานี่แล พ่อครู”

ริดกับเลื่องเงยหน้าขึ้นมองมิ่งอย่างแปลกใจที่ไม่ได้เล่าความจริงที่เกิดขึ้น

“นี่เอ็งคงคับอกคับใจจนคิดหนีจากเรือนข้าเลยสิ มันเป็นความผิดของเอ็งโดยแท้ มิใช่ผู้ใด เอ็งก่อขึ้นมาเองนะ แล้วเอ็งจักกลับมาทำไมเล่า” พ่อครูว่า

“ข้าจักขอเรียนวิชาอาวุธให้ครบถ้วนขอรับ”

“ข้างวยงงกับเอ็งยิ่งนัก ไอ้มิ่ง ว่าเอ็งอยากจักอยู่ฤาอยากจักไปกันแน่”

“ขอขมา พ่อครู ข้าขออยู่ขอรับ”

“แต่ข้าคิดไว้แล้ว ว่าจักมิให้เอ็งอยู่เรือนข้าต่อไปดอก”

มิ่งตกตะลึงในคำของพ่อครูเช่นเดียวกับปรางที่ลอบฟังอยู่

“พ่อเดชจักไปบางยางแล้ว แต่แม่ปรางยังอยู่เรือน ข้าเห็นสมควรจักให้เจ้าไปร่ำเรียนต่อกับพ่อครูอิน ที่ข้ายังปรานี ก็เพราะได้ลงแรงฝึกฝนเจ้าขึ้นเป็นกำลังในการทำศึกแล้ว ก็สมควรได้ทำหน้าที่ เพราะกำลังผู้คนเป็นสิ่งจำเป็น แต่เจ้าก็หาสมควรอยู่เรือนข้าต่อไปไม่ เจ้าจักว่าเยี่ยงไร”

“แล้วแต่พ่อครูจักเห็นสมควรเถิดขอรับ”

“เช่นนั้น เจ้าไปเตรียมตัวเถิด อีกมินาน ข้าจักไปเยี่ยมพ่ออิน แลนำพาเจ้าไปฝากไว้ที่นั้น”

มิ่งได้แต่รับคำอย่างแผ่วเบา ด้วยความรู้สึกกล้ำกลืน “ขอรับ” ยามนั้นสายตาของเขาเหลือบแลขึ้นไปเห็นปรางตรงหน้าต่างพอดี แม้จักไกลกัน แต่สายตาของคนทั้งคู่ก็ยังถ่ายทอดความรักอาลัยอันท่วมท้นหัวใจส่งถึงกันได้

แม่ปรางเอ๋ย ยากนักแลัว ที่เราจักได้อยู่เคียงกันอีก…

…..

เดช ริด และเลื่อง พากันกราบลาพ่อครูและมุ่งหน้าสู่เมืองบางยาง มิ่งเองก็ลุกออกมาเดินกลับกระต๊อบที่พักของตน ระหว่างทางเขาต้องชะงัก เพราะปิ่นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ทำสีหน้ายิ้มยั่ว มิ่งได้แต่ทำเฉย

“หายหน้าไปตั้งหลายวัน จักไม่ทักทายข้าบ้างสักคำฤา”

มิ่งไม่ตอบและเดินหลีกนางไป นางยังคงพูดไล่หลังมิ่งว่า

“ข้านี้มันน่ารังเกียจนักรึ ท่านจึงมิอยากแม้แต่จะพูดกับข้า” สำเนียงมีแววตัดพ้อ

“มิได้” มิ่งว่าพร้อมกับหันมาประจัญหน้ากับนาง “ท่านเป็นหญิงงาม งามอย่างหาใครเทียมได้ยาก แลเอื้อเฟื้อข้าดียิ่ง ยามข้าเจ็บ ข้าต้องขอบคุณ”

ปิ่นยิ้มออก

“แต่ท่านอาจเดือดร้อน หากมาอยู่ใกล้กับข้า ดังนั้น พึงอยู่ให้ห่างข้าเถิด” มิ่งพูดแล้วก็เดินจากไป

อารมณ์ที่เริ่มจะดีของปิ่นแปรเปลี่ยนฉับพลัน

“ห่วงข้าฤาห่วงพี่ปรางกัน จะครองคู่กับพี่ปราง ก็หามีหนทางไม่ ไยจึงมิตัดใจเสีย” มิ่งชะงัก “จำไว้เถิด ข้าจักทำให้ท่านห่วงข้าให้จงได้”

เขาส่ายหน้าในความกล้าเกินหญิงของปิ่นและก้าวเท้าออกเดินต่อ นางยังคงพูดต่อ

“เรือนพ่อครูอินมิได้ไกลนักดอก หากท่านไปแล้ว หวังว่าจักกลับมาเยือนที่นี่บ้าง”

มิ่งยังคงไม่ตอบ ทิ้งให้ปิ่นยืนเกรี้ยวกราดขัดใจอยู่ตรงนั้นเอง

……

นางแฟงช่วยขนสำรับกับข้าวมื้อเย็นที่คนบนเรือนกินอิ่มแล้ว มาเก็บล้างในครัวเช่นทุกวัน วันนี้นางต้องแปลกใจ เมื่อมิ่งเดินมาหยุดตรงหน้านาง และขอให้เดินตามมายังที่ที่คนไม่พลุกพล่าน

“แม่แฟงสงเคราะห์ข้าสักหน่อยได้ฤาไม่” มิ่งพูดขึ้น

“จักให้ข้าช่วยอันใด” นางว่าและเหลือบสายตาที่แฝงด้วยความเศร้าอยู่เป็นนิจขึ้นมองมิ่งอย่างสงสัย

“ช่วยแจ้งแม่ปราง ให้หาทางลงมาพบข้าที่ใต้ต้นพิกุลหลังโรงครัวทีเถิด ข้าจักรออยู่ แต่อย่าให้แม่ปิ่นรู้นะ”

“เอ้อ..” นางแฟงอึกอัก เกรงทั้งอาญาของพ่อครูและอิทธิฤทธิ์ของแม่ปิ่น นายสาว

“สงเคราะห์ข้าเถิด ข้ามิรู้จักพึ่งผู้ใดได้ นอกจากแม่แฟง”

นางเหลือบมองหน้าของมิ่ง เห็นเต็มไปด้วยความทุกข์ร้อน จึงอดใจอ่อนมิได้

“ข้าช่วยท่านก็ได้ แต่หากมีเหตุอันใดเกิดขึ้น จงอย่าเอ่ยถึงข้านะ” นางว่า

“ตกลง ข้าขอบใจเจ้ามาก แม่แฟง” สีหน้ามิ่งดูผ่อนคลายขึ้น

มิ่งจึงไปยืนรอใต้ต้นพิกุล ซึ่งเป็นจุดที่ลับตา และยามนี้ผู้คนก็หายจากโรงครัว ไปพักผ่อนตามเรือนกันแล้ว เดช ริดและเลื่องก็จากบ้านพ่อครูไปแล้ว มิ่งจึงลดความหวาดหวั่นในใจลงไปได้มาก

เขารออยู่เพียงครู่หนึ่ง ปรางก็เดินลงมาตามที่นางแฟงไปบอกให้ทราบ พร้อมกับคอยระแวดระวังสายตาคนไปตลอดทาง ทันทีที่เห็นเงาร่างของมิ่งในแสงสลัว นางก็รีบตรงเข้าไปหาทันที พร้อมกับโผเข้าสู่อ้อมกอดของมิ่ง ซึ่งโอบนางไว้แน่นด้วยความคิดถึงจนท่วมท้นหัวใจ

“ข้าคิดถึงท่านยิ่งนักแม่ปราง รู้ฤาไม่ ชีวิตข้าเกือบดับสูญไปแล้ว มิคิดเลยว่าจักได้กลับมาพบหน้าท่านอีก”

ปรางตกใจ ผละออกจากอ้อมแขน เพื่อมองหน้าคนรักให้ชัดๆ

“เกิดอะไรขึ้นฤา พี่มิ่ง”

“พี่ริด พี่เลื่อง เป่าลูกดอกให้ข้าสิ้นสติ แล้วนำข้าไปทิ้งเหว ท่านพ่อขุนผ่านไปทางนั้นพบเข้า จึงช่วยข้าไว้ แลพาไปพบท่านคุรุเฒ่า ข้าได้ดื่มยาของท่านจนหายดี จึงกลับมาที่นี่”

น้ำตาของปรางไหลริน

“โธ่เอ๋ย พี่มิ่ง”

มิ่งใช้นิ้วปาดน้ำตาที่สองข้างแก้มของคนรัก

“อย่าร้องไห้เลย ข้ามิอยากเห็นท่านเศร้าใจแม้แต่น้อย เมื่อข้าจักต้องจากไป ขอให้ได้เห็นรอยยิ้มของท่านอีกสักครั้งหนึ่งเถิด”

ปรางจึงยิ้มให้มิ่ง แต่ก็เป็นยิ้มที่เศร้าเต็มที… สายลมพัดกรูเกรียว พาเอาดอกและใบพิกุลร่วงหล่นกราวรอบตัว มิ่งเอานิ้วค่อยๆ เขี่ยผมยาวสยายของปรางให้พ้นสองข้างแก้มนวล อย่างปรารถนาจะมองดวงหน้างามนั้นให้เต็มตาก่อนจากลาไป

“บ้านพ่อครูอินมิได้ไกลดอก พี่มิ่ง แต่พ่อประสงค์มิให้ข้าได้อยู่ร่วมกับท่าน ยากนักแล้วที่เราจักได้พบกัน ตัวข้าเองก็มิอาจออกไปภายนอกได้อีก พ่อสั่งให้พี่ขาบคุมข้าเกือบตลอดเวลาด้วย แม้แต่ยามนี้ ข้าต้องแกล้งบอกว่าปวดท้อง จึงลงมาที่นี่ได้”

มิ่งโอบกระชับร่างบางกลับเข้ามาอีกครั้ง “อดทนนะ หากบ้านพ่อครูอินมิไกล ข้าก็จักกลับมาหาทางพบท่านให้จงได้ จงรอเถิด แม่ปราง”

“ข้าก็จักรอพี่เสมอ จักมิยอมตามความต้องการของพ่อฤาผู้ใดเป็นอันขาด แม้พ่อจักต้องโกรธเกลียดข้าสักเท่าใดก็ตาม”

เสียงย่ำใบไม้กรอบแกรบดังขึ้นไม่ไกลนัก มิ่งประทับจูบที่หน้าผากของปรางอย่างดูดดื่ม

“ท่านรีบกลับไปเถิด มิปลอดภัยสำหรับเราเสียแล้ว” มิ่งว่า

ปรางจึงผละออกจากอกของมิ่ง ทั้งสองสบตากันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะจำยอมจากกันด้วยความอาลัยจนสุดกลั้น

“นั่นใครน่ะ” เสียงของผู้เฝ้ายามค่ำนี้ดังขึ้น เขาเดินตรงเข้ามาบริเวณหลังโรงครัว แล้วก็ต้องงวยงงหนัก เพราะปราศจากเงาตะคุ่มๆ ของร่างสองร่างที่มองเห็นแต่ไกลเมื่อสักครู่ที่แล้ว

“นี่ข้าตาฝาดดอกรึ มิเห็นมีผู้ใดสักคน”


15 ก.ย.2566


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น