บทที่ 8 พบแล้ว...ผู้หญิงในฝัน


บทที่ 8

ภาพของพระองค์ท่านปรากฏในมโนสำนึก ทรงประทับนั่งบนตั่ง วงพระพักตร์เต็มเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาเช่นเคย ยังความผ่อนคลายให้แก่จิตใจเศร้าหมองหดหู่ของสาวิตรหลังรับรู้เรื่องราวในอดีตของตนเองเป็นที่ยิ่ง ใจหนึ่งก็คิดว่า อยากหยุดการล่วงรู้อันแสนพิสดารพันลึกไว้แต่เพียงเท่านี้ เพราะเพียงเริ่มต้น การสูญเสีย ภาพคมดาบที่แทงทะลุร่างผู้ปกป้องเขาอย่างเลือดเย็นต่อหน้าต่อตาก็ทำให้ใจของเขารู้สึกหนักเกินจะรับไหวเสียแล้ว

“เจ้ายังจำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องราวในอดีตต่อไป อย่าเพิ่งเบื่อหน่ายแลเกรงกลัวเลย เพราะเป็นทางเดียวที่จักทำให้เจ้าเข้าใจเรื่องราวทั้งหลาย แล้วทำการใหญ่ได้ ในเมื่อเจ้ามิอาจรำลึกชาติของตนเอง จักรู้ได้เยี่ยงไรว่า จักต้องทำการใดบ้าง” พระองค์ท่านตรัสราวกับแทงทะลุปรุโปร่งลงไปในใจของสาวิตรเฉกเช่นที่เคยเป็นมา จนสาวิตรได้แต่ตอบเสียงอ่อยๆ ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นว่า

“ครับ”

“ในกาลครั้งนั้น คนไทยโดนขอมกุมเหงเช่นนี้ นับร้อยนับพันปี ข้าเองต้องวางตัวประหนึ่งสวามิภักดิ์ต่อผู้เป็นใหญ่แห่งมัน แล้วเร่งรวมกำลังคนไทยขับไล่ การนั้นจักลุล่วงได้ ข้ามิอาจกระทำเพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยไพร่พลชาวไทยผู้มีจิตใจเฉกเช่นเดียวกับข้าแลพี่ข้า เจ้าเองก็เป็นผู้หนึ่ง ข้าจึงต้องติดตามเจ้ามาในกาลนี้”

สาวิตรแหงนหน้าขึ้นมองพระพักตร์ คนอย่างเขานี่นะ จะเป็นนักรบได้ ให้ไปเป็นพ่อครัวในกองทัพคงพอแล้วมั้ง ในใจยังนึกถามถึงผู้ที่ท่านกล่าวว่าเป็น “พี่ข้า” พระองค์ท่านก็แย้มสรวลและตรัสตอบทันที

“พ่อขุนผาเมือง”

บทที่ 7 ตามล่า ตามล้าง


บทที่ 7

สาวิตรนั่งลงในห้องพระ เหยียดขาออกตามสบาย เอนหลังพิงผนังห้อง หลับตาลงเบาๆ อย่างผ่อนคลาย ในที่สุดก็ดำดิ่งลงสู่ห้วงความฝันอันต่อเนื่องจากคืนก่อน..

ขามพามิ่งหนีออกจากหมู่บ้านมาไกลพอสมควรแล้ว ทั้งคู่วิ่งมาตามทางเดินผ่านป่าทึบซึ่งขามชำนาญเส้นทางเป็นอย่างดี ด้วยเดินทางผ่านไปมาอยู่เป็นประจำ แสงแรกของยามเช้าเริ่มสาดส่องลอดผ่านกิ่งไม้ลงมา ทำให้เห็นทางได้ชัดเจน มิ่งซึ่งเหนื่อยล้าจากการเดินทางไปเจียดยาทั้งคืน ขอให้ขามหยุดพักสักครู่หนึ่ง เขาทรุดนั่งลงกับพื้นที่ปกคลุมด้วยใบไม้แห้ง เอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่ และหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน

“เอ็งเหนื่อยจักพักก่อนก็ได้ เราหนีมาไกลโขแล้ว แล้วมันก็คงไม่ได้ตามมาดอก เดี๋ยวข้าจักไปหาน้ำมาให้ ดูท่าเอ็งคงกระหาย” ขามดึงกระบอกไม้ไผ่ที่คล้องไหล่อยู่ให้กระชับขึ้น

“บัดเดี๋ยวก่อนก็ได้พี่ ข้ายังทนได้ พี่จักพาข้าไปหนใด” มิ่งเอ่ยขึ้น

“หมู่บ้านพ่อครูพัน ไปหาพี่สาวของข้า อยู่ที่นั่นพวกเราจักปลอดภัย เพราะลับหูลับตาพวกขอมพอควร พ่อครูท่านเชี่ยวชาญศาสตราวุธ เอ็งก็จักได้เรียนวิชาอาวุธทั้งปวง ยามนี้เรามิอาจอยู่โดยปราศจากเขี้ยวเล็บดอกนะ มิฉะนั้นจักไม่สามารถปกป้องตนเองจากไอ้พวกขอมใจโหดได้” ขามกล่าว

“ข้ามิเข้าใจ เหตุใด มันจึงต้องกระทำทารุณโหดเหี้ยมกับย่ากับน้องข้า ทั้งๆ พวกนางเป็นหญิง หาทางสู้ใดๆ มิได้ ย่าข้าก็ป่วยหนักหนาอยู่เช่นนั้น”

ขามทรุดกายลงนั่งข้างๆ มิ่ง มือจับขาผู้อ่อนวัยกว่าอย่างตั้งใจปลอบโยน

“ข้าเสียใจที่ช่วยย่ากับน้องเอ็งไม่ได้” เขาถอนหายใจ

“เหตุที่เป็นดังนั้น เพราะมันมาแก้แค้น ด้วยสืบรู้ว่าใครฆ่าคนของมัน มันมากันหลายสิบคน ไปที่บ้านปู่เอ็งก่อน พอมันไม่พบปู่เอ็ง ก็เลยฆ่าย่าฆ่าน้องเอ็งเสีย แล้วก็ไล่ฆ่าคนในหมู่บ้านของเรา ที่ตายไปก็มาก ที่สู้ได้เอาตัวรอดได้ก็หนีกระจัดกระจายกันไป ข้ารู้ว่าเอ็งมิอยู่ ก็เพราะพ่อหมอบอกกล่าว”

“แล้วพ่อหมอพ้นภัยฤาไม่”

ขามถอนหายใจอีกครั้ง สีหน้าสลด “พ่อหมอสิ้นชีพเสียแล้ว”

บทที่ 6 โครงการทะลุมิติ


บทที่ 6

รถของปรางนวลเลี้ยวมาจอดหน้าบ้านของพสิฐเกือบจะพร้อมๆ กับรถของศาสตราจารย์วิรุฬห์ สาวิตรเห็นจึงเดินจากบ้านเขามาต้อนรับคนรัก ปรางนวลเปิดประตูลงมาจากรถแล้ว พร้อมส่งยิ้มกว้างเมื่อเห็นเขา

“เข็ม บ้านพี่อยู่หลังนั้นนะ ไม่ใช่หลังนี้ แต่ไม่เป็นไร จะจอดรถไว้ที่นี่ก็ได้” เขาพูด

“ค่ะ พี่วิตร”

สายตาของสาวิตรเหลือบไปเห็นศาสตราจารย์วิรุฬห์ที่ลงจากรถมาแล้วเช่นกัน

“สวัสดีครับอาวิรุฬห์” สาวิตรยกมือไหว้ ศาสตราจารย์วิรุฬห์รับไหว้ผู้อ่อนวัยกว่า

“วันนี้อาขอมากินข้าวฝีมือพี่เยาว์ตามที่เคยบอกไว้น่ะ แล้วจะเล่าเรื่องโครงการให้ฟังด้วย”

“ครับ เดี๋ยวผมก็จะไปกินข้าวด้วย เข็ม นี่อาวิรุฬห์ น้องอาเยาว์ เป็นศาสตราจารย์ อาวิรุฬห์ครับ นี่เข็ม เพื่อนผม เพิ่งกลับจากออสเตรเลียมาด้วยกัน” สาวิตรแนะนำ

“เพื่อน” หรือ? ปรางนวลรู้สึกแปลกๆ กับการแนะนำตัวเธอของสาวิตร ความใกล้ชิดกัน ดูแลกันตลอดหลายปีที่ผ่านมาสรุปแล้วความสัมพันธ์นี้เรียกว่าเพื่อนหรือ แต่เธอก็ยังยิ้มและยกมือไหว้ศาสตราจารย์วิรุฬห์อย่างนอบน้อม พร้อมกับบอกตัวเองว่าอย่าคิดมากไปเลย สาวิตรดีกับเธอตลอดมา

บทที่ 5 Back to the past

 


บทที่ 5

เพียงครู่หนึ่งอาการหนังตาหนัก จิตเข้าสมาธิก็เริ่มจางคลาย เมื่อกลับมารู้สึกตัวเต็มที่อีกครั้ง สาวิตรก็จับดาบเล่มนั้นร่ายรำต่อ มันช่างเหมาะมือเสียจริงๆ ลีลาท่าทางร่ายรำก็คล่องแคล่วราวกับคุ้นเคยมาเนิ่นนาน เขารู้สึกแปลกๆ กับตัวเอง จากคนที่ไม่ชอบเล่นกีฬา ไม่ชอบออกกำลังกาย ยามนี้เหมือนเขาจะชอบฟันดาบขึ้นมาเฉยๆ และรู้สึกว่าตัวเองฟันดาบเป็นและคล่องด้วย หนทางพิสูจน์ความรู้สึกนี้ว่ามันจริงหรือเปล่าก็มีอยู่ทางเดียว...

ไปขอทดลองประดาบกับอาพสิฐ นักดาบเก่า ให้มันรู้กันไปเลยว่าเขาใช้ดาบเป็นหรือไม่

สาวิตรนำดาบไปวางคืนไว้บนแท่น พลางคิดต่อว่า เขาจะรับรู้เรื่องราวในอดีตที่ชวนให้งวยงงของตัวเองได้อย่างไร และจะพบหญิงสาวนักดาบคนนั้นได้อย่างไร หญิงสาวแสนงามคนนั้น พอเริ่มนึกถึง ใจก็เหมือนจะโหยหาขึ้นมาทันที ขอให้ได้พบเธอคนนั้นเถิด ถึงแม้จะเป็นแค่ภาพฝันอันจับต้องไม่ได้ก็ยังดี

ทางเดียวที่จะรู้ได้ก็น่าจะเป็นการทำสมาธิ ทำจิตให้นิ่งสินะ นั่นเป็นสิ่งที่เคยได้รับรู้มา..

พอคิดเช่นนั้น สาวิตรก็นั่งขัดสมาธิตรงหน้าหิ้งพระ ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้ายอย่างที่เคยได้รับการอบรมมาจากวัดไทย เขาพยายามกำหนดลมหายใจเข้าออกไปเรื่อยๆ แล้วภาพเริ่มปรากฏในดวงจิต แต่เป็นเพียงภาพวูบๆ ไหวๆ ที่จับความใดๆ ไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น สาวิตรจึงออกจากสมาธิพร้อมกับถอนหายใจ วันนี้คงทำไม่สำเร็จ แต่เขาต้องพยายามต่อ เพราะคิดว่ามันเป็นเพียงกุญแจดอกเดียวที่จะไขประตูความลับทั้งมวลออกมาให้รู้ได้

“วันนี้ไปนอนก่อนดีกว่า” เขาบอกกับตัวเองแล้วก็ก้มลงกราบพระ 5 ครั้ง จากนั้นก็กลับเข้าห้องนอนและหลับสนิทไปจนรุ่งเช้า

วันรุ่งขึ้น สาวิตรไปที่บ้านอาพสิฐแต่เช้า พบแต่อุ๊ แม่บ้านสาวกำลังง่วนอยู่กับการจัดจานชาม กาแฟ สำหรับอาหารมื้อแรกของวัน เธอยิ้มกว้างทันทีที่เห็นสาวิตร

“ตื่นเช้าจัง คุณวิตร วันนี้มีข้าวต้มปลานะคะ ทานได้ไหม ถ้าคุณวิตรอยากรับอย่างอื่นเพิ่มอย่างไส้กรอก ไข่ดาว หนูจัดให้ได้ค่ะ”

“ไม่ละครับ ข้าวต้มดีแล้ว” ชายหนุ่มตอบ ตาเหลือบไปเห็นอาพสิฐเดินลงมาที่โต๊ะอาหาร เป็นคนแรกของวันนี้

“สวัสดีตอนเช้าครับ อา ผมขอถามอะไรหน่อย ตอนนี้คุณอายังฟันดาบอยู่หรือเปล่าครับ” สาวิตรยิงคำถามทันทีแบบไม่ให้เสียเวลา เมื่ออาเขานั่งเก้าอี้เรียบร้อย

“ยังฟันอยู่ เมื่อ 5 วันก่อน ยังไปเรียกเหงื่อกับอาเกื้ออยู่เลย” พสิฐหมายถึงเพื่อนสนิทคนหนึ่งของเขา

“งั้นผมขอความรู้จากคุณอาหน่อยได้ไหมครับ ขอเป็นเย็นนี้เลย เอาภาคปฏิบัติของจริงเลยนะครับ”

“ได้สิ ยินดีเลย งั้นเย็นนี้มาเจอกันที่สนามนะ” พสิฐรับคำ แม้จะรู้สึกแปลกๆ เพราะหลานชายของเขา แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยเห็นสนใจเรื่องฟันดาบเลย เท่าที่ได้รู้จักกันมาเป็นเวลานานหลายปี

บทที่ 4 ดาบปริศนา



บทที่ 4

นาถนพินดูเปลี่ยนแปลงไปมิใช่น้อย จากเด็กสาวร่างอวบไม่ค่อยสนใจแต่งตัวเมื่อก่อน กลายเป็นสาวร่างบาง แต่งตัวทันสมัย เมื่อสาวิตรเข็นรถเข็นกระเป๋าเข้าไปใกล้ เธอก็เปลี่ยนจากโบกมือเป็นยกมือไหว้ สาวิตรรับไหว้ แล้วก็ไหว้อาพสิฐที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่ข้างๆ ด้วย

“สวัสดีครับ อา” สาวิตรทักทายผู้เป็นอา

“หวัดดี หลาน วันนี้อาเยาว์เขาไม่ได้มาด้วยนะ เขาอยู่บ้าน เตรียมทำกับข้าวต้อนรับหลานเต็มที่ อาเลยพลอยได้กินไปด้วย นานๆ เขาจะจัดหนักอย่างนี้สักที” อาพสิฐพูดถึงภรรยาพร้อมกับหัวเราะ

พสิฐนั้นตื่นเต้นดีใจมากที่หลานชายจะกลับมาเมืองไทย เพราะถือว่าที่ตนเองมีฐานะอย่างที่เป็นอยู่นี้ก็เพราะพิพรรธน์ พี่ชายของตนเป็นผู้สนับสนุนช่วยเหลือทุกอย่าง ในเมื่อตัวเองไม่มีโอกาสดูแลพี่ชาย ก็ขอดูแลลูกของพี่ชายนี่แหละเป็นการตอบแทน ดังนั้น เมื่อรู้ว่าหลานชายจะกลับมาอยู่บ้านเกิด ก็รีบกุลีกุจอจัดบ้าน เตรียมไว้ให้หลานชายได้อยู่อย่างสบาย ขณะที่ผู้เป็นภรรยาก็เตรียมอาหารมื้อใหญ่เอาไว้ต้อนรับ

“ผมก็คิดถึงฝีมืออาเยาว์อยู่ครับ แค่อาพูดผมก็หิวแล้ว” สาวิตรตอบแล้วก็แนะนำให้ปรางนวลรู้จักอาของเขา เธอไหว้อย่างนอบน้อม

“สวัสดีค่ะ คุณอา”

“สวัสดีจ้ะ” พสิฐมองความอ่อนน้อมของปรางนวลอย่างชื่นชม พอจะรู้มาบ้างว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นใคร เพราะนาถนพินเคยพูดให้ฟังอยู่

บทที่ 3 The same sun


บทที่ 3

“ผมเชื่อสนิทแล้วครับว่าเป็นท่านจริงๆ ” สาวิตรพูดออกมาดังๆ เมื่อกลับเข้าห้องนอนและปิดประตูตามหลัง เขากวาดตามองไปรอบห้อง เผื่อจะได้พบ “ท่าน” อีกครั้งในยามนี้

เงียบ ไม่มีเสียงตอบใดๆ เลย....

“ผมอยากพบท่านมากครับ ให้ผมพบได้ไหม” ทุกสิ่งยังคงนิ่งสนิทเหมือนเดิม สาวิตรทรุดกายนั่งที่โต๊ะ คิดว่าจะทำอย่างไรดี จึงจะได้คุยกับ “ท่าน” เพื่อให้กระจ่างชัดมากขึ้น ในเรื่องที่พบเจอตอนเย็น แต่เมื่อไม่มีคำตอบ เขาจึงเปิดโน้ตบุ๊คและเข้าไปค้นหาอ่านเรื่องราวของ “พ่อขุนบางกลางหาว” ต่ออย่างกระหายใคร่รู้เต็มที่ หัวข้อที่ขึ้นมามีแต่ “พ่อขุนศรีอินทราทิตย์”

“พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรสุโขทัยหรือราชวงศ์พระร่วง พระนามเดิม คือ พ่อขุนบางกลางหาว แห่งเมืองบางยาง พระองค์ทรงร่วมกับ พระสหาย พ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด ช่วยกันรวบรวมคนไทย ยึดเมืองสุโขทัยจากขอมสบาดโขลญลำพง ซึ่งเข้าครอบครองเมืองสุโขทัยอยู่ขณะนั้นจนเป็นผลสำเร็จ และตั้งเมืองสุโขทัยเป็นราชธานี พ่อขุนบางกลางหาวทรงได้รับการสถาปนาจากพ่อขุนผาเมืองขึ้นเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ทรงมีพระมเหสี พระนามว่าพระนางเสือง ซึ่งเป็นพระขนิษฐาของพ่อขุนผาเมือง มีพระราชโอรสที่ครองราชย์ต่อจากพระองค์อยู่ ๒ พระองค์ คือ พ่อขุนบานเมือง และพ่อขุนรามคำแหงมหาราช

.......พระราชกรณียกิจ.......

๑.ทรงก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัยโดยพระองค์ทรงรวบรวมผู้คน ยึดอำนาจจากขอมเป็นผลสำเร็จ และทรงสถาปนาอาณาจักรสุโขทัยเป็นราชธานี ทำให้คนไทยมีอิสรภาพ โดยไม่ตกอยู่ภายใต้ของอาณาจักรขอมต่อไป


๒. ทำศึกสงครามเพื่อป้องกันและขยายอาณาเขต ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดได้นำกองทัพเข้ามารุกรานเมืองตาก ซึ่งเป็นเมืองชายแดนของอาณาจักรสุโขทัย พ่อขุนศรีอินทราทิตย์พร้อมด้วยพ่อขุนรามคำแหง พระราชโอรสองค์เล็ก ทรงยกทัพเข้าสู้รบจนได้รับชัยชนะ ทำให้อาณาจักรสุโขทัยได้เมืองตากกลับคืนมา”

......

เขาอ่านได้เพียงนั้น บรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไป

“ท่าน” เขาดีใจที่ได้พบเห็นพระองค์อีกครั้ง ร่างสูงสง่านั้นประทับนั่งอยู่ แย้มพระสรวลอย่างเมตตาเช่นเคย

บทที่ 2 พ่อขุนบางกลางหาว

 



บทที่ 2

บุรุษลึกลับแต่งตัวแปลก ไม่เหมือนคนในยุคนี้ ก้าวเดินเข้ามาหาเขา สาวิตรถอยหลังด้วยความตระหนก เหลียวมองรอบตัว..เอ๊ะ นี่มันที่ไหนกัน มีแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า ไม่ใช่ห้องนอนของเขาแน่นอน สิ่งของที่คุ้นตาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไม่มีเลยสักชิ้น

บุรุษผู้นั้นยิ้มอ่อนๆ ให้ ใบหน้าเข้มกลับดูอ่อนโยนอย่างประหลาด

“เจ้าจะกลัวข้าไปไย ข้ามิได้มีความประสงค์ร้ายใดๆ ต่อเจ้าเลย” เขากล่าว

สาวิตรจึงหยุดถอยและยืนประจัญหน้ากับบุรุษผู้นั้น

“ท่านคือ...” สาวิตรถามออกไป

“พ่อขุนบางกลางหาวที่เจ้ากำลังคิดถึงอยู่ไงเล่า แลเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกเรียกขานว่าพระร่วง เจ้าเคยเห็นข้าแล้วนี่หนา ข้าเองเคยบอกเจ้าแล้วว่าข้าคือผู้ใด”

สาวิตรงุนงงหนัก ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าจะได้เผชิญหน้ากับคนในอดีตอย่างไม่คาดคิดเลยสักนิด

บทที่ 1 พระร่วง



           สาวิตรเปิดเปลือกตาขึ้น หัวใจยังคงเต้นระส่ำ ความรู้สึกตระหนกยังคงอยู่จนรู้สึกได้ แต่ภาพการรบอันดุเดือดหายไปแล้ว กลายเป็นห้องนอนของเขาตามเดิม  กีตาร์ยังคงอยู่มุมห้อง โทรทัศน์ที่ปลายเท้า ตู้เสื้อผ้าสีขาว โต๊ะเขียนหนังสือที่ค่อนข้างรก พู่กันกับอุปกรณ์วาดภาพในกล่อง รวมถึงม่านหน้าต่างสีขาวสะบัดพลิ้วไหวตามแรงลม

          ที่ไม่เหมือนทุกวันคือ แสงแดดแจ่มจ้า ส่องลอดม่านเข้ามาแล้ว

          สายแล้วหรือนี่ สาวิตรหยีตาแล้วดีดตัวขึ้นจากเตียงนอนอย่างฉับพลัน

          “ไม่ต้องรีบตื่นก็ได้พี่” เสียงน้องชายลูกครึ่งต่างมารดา-ธิโมที ที่เข้ามานั่งเงียบๆ ข้างเตียงเอ่ยขึ้น

          “วันนี้วันหยุดของพี่ไง”

          “เออ จริง” สาวิตรทิ้งตัวกลับลงไปอย่างเดิม ใจยังไม่หายเต้นระรัว ราวกับตัวเขาอยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง จนต้องเอามือทาบอก ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียว ถูกรุมล้อมด้วยนักดาบถึง 4 คน เธอจะสู้ไหวหรือ นึกแล้วก็ขัดใจขึ้นมาไม่น้อย ที่ตัวเองมิได้เห็นภาพเหตุการณ์จนถึงตอนสุดท้าย

          ธิโมทีคงสังเกตเห็นอาการของพี่ชาย เลยถามขึ้นว่า


          “ตะกี้พี่ฝันไปหรือ มีอะไรหรือเปล่า เล่าให้ฟังหน่อยสิ ดูท่าทางพี่เหมือนคิดหนักจังเลย”

          สาวิตรจึงเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในฝันให้น้องชายฟัง ตั้งแต่ภาพสตรีร่างแบบบางคนเดิมที่เคยเห็น และบอกเล่าให้ผู้เป็นน้องฟังมาแล้ว การรบพุ่งที่เธอคนนั้นตกอยู่ในวงล้อม แต่ไม่ได้บอกเล่าถึงชายชื่อยาวที่เขาจำได้แม่นว่า “พ่อขุนบางกลางหาว”

          “โอ้โฮ พี่กินอะไรก่อนนอนนี่ ถึงได้ฝันเป็นเรื่องราวได้ขนาดนี้” ธิโมทีพูดขึ้นอย่างแปลกใจที่ผู้เป็นพี่ชายฝันได้ราวประสบกับเรื่องจริง ทั้งที่ไม่น่าจะมีมูลเหตุใด ทำให้ฝันได้แบบนั้นเลย 

          “มันคงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องกินนะ ก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมถึงฝัน แต่ก็ไม่อยากฝันแบบนี้หรอก มันน่ากลัวเกิน ผู้หญิงคนนั้นน่าจะสู้ผู้ชายตั้ง 4 คนไม่ไหว” สาวิตรตอบตามความรู้สึก ยกมือลูบผมที่ยังยุ่งเหยิงอยู่
ธิโมทีพยักหน้า 

          “ให้ผมฝันแบบนี้มั่งก็เอานะ ตื่นเต้นดี วันหลังคงต้องมาขอหัดกับพี่บ้างแล้ว เพราะผมนี่หลับเมื่อไหร่ เหมือนโลกมันหายทั้งโลกเลย” ธิโมทีพูดขำๆ  

         “เออ แล้วถ้าฝันเป็นเลขเมื่อไรบอกนะ จะได้เอาไปเล่นล็อตโต คนไทยฝันเห็นตัวเลขเก่งไม่ใช่เหรอ” ธิโมทีหัวเราะ สาวิตรได้แต่ยิ้ม

บทนำ ผู้หญิงในฝัน


บทนำ

สาวิตรฝันอีกแล้ว..ฝันซ้ำๆ ซากๆ ที่ไม่เคยรู้สึกเบื่อ หากแต่ให้ความสุขลึกๆ ภายในและอยากฝันต่อเสมอมา

ผู้หญิงคนนั้น คนที่ปรากฏกายในความฝันครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนแรกดูรางเลือนเหมือนยืนอยู่ในม่านหมอก แต่นานไป ภาพนั้นก็ชัดเจนขึ้น เธอมีเรือนร่างบางระหง ผิวขาวนวล ผมดำขลับเกล้ามวย พันไว้ด้วยมาลัยดอกมะลิสีขาว ยามร่างที่นุ่งผ้าซิ่นยาวกรอมเท้าเยื้องย่างนั้น ช่างดูนุ่มนวลอย่างประหลาด

บางครั้งเธออยู่ท่ามกลางไม้ใหญ่เขียวชอุ่ม บางครั้งด้านหลังของเธอเป็นวัดโบราณที่ดูไม่คุ้นตา..

นี่เขาฝันถึงผู้หญิงคนหนึ่งและเมืองไทยบ้านเกิด ตอนที่หลับอยู่ ณ แดนไกลถึงนครซิดนีย์ ออสเตรเลียเลยหรือ..สาวิตรเคยคิด

หลายครั้งเขาเห็นดวงหน้านั้นถนัด ดวงหน้าเรียวรูปไข่ ที่ริมฝีปากอิ่มสีชมพูเรื่อๆ ดูเหมือนจะส่งยิ้มให้เขา จนดวงตาดำใหญ่เป็นประกายระยิบระยับ

เธอคือใครกันหนอ...แม้นเธอเป็นเพียงภาพฝัน แต่ก็เป็นความฝันที่ทำให้เขาไม่อยากตื่นขึ้นมาในหลายครั้ง

วันนี้เธอดูแปลกไป ผมที่เคยเกล้ามวยกลางศีรษะ ถูกรวบเป็นมวยกลมไว้ด้านหลัง ผ้าซิ่นยาวกลับกลายเป็นโจงกระเบนทะมัดทะแมง อกอิ่มพันไว้ด้วยผ้าแบบตะเบงมาน มือเรียวบางกำดาบไว้ทั้งสองมือ

ทันใดนั้น แขนเรียวทั้งสองข้างนั้นก็ตวัดดาบขึ้น พร้อมเยื้องย่าง สะบัดซ้ายขวาหน้าหลัง เป็นท่วงท่าเข้มแข็งทว่านุ่มนวลไปพร้อมๆ กัน

งามเหลือเกิน...เขาจ้องภาพนั้นอย่างไม่วางตา นี่คือการรำดาบสินะ.. แต่ทันใด ภาพที่เห็นกลับแปรเปลี่ยนเป็นอีกภาพ ราวหนังเปลี่ยนฉาก ท่ามกลางฝุ่นคละคลุ้ง ผู้คนจำนวนหนึ่งประดาบกันราวเอาเป็นเอาตาย ประกายไฟวาบขึ้นจากคมดาบกระทบกันเป็นระยะ ทุกสิ่งดูสับสนวุ่นวาย หญิงงามคนนั้นกำลังตกอยู่ในวงล้อมของชายฉกรรจ์ถึง 4 คน เธอยกดาบขึ้นรับการฟาดฟันอย่างไม่ปรานีของชายทั้งสี่ พร้อมกับถอยหลังไปเรื่อยๆ เธอกำลังเพลี่ยงพล้ำและอ่อนล้าเต็มทีแล้ว..

สาวิตรรู้สึกใจเต้นระทึก อยากช่วยเธอให้รอดพ้นเหลือเกิน ทำอย่างไรดีหนอ แล้วเขาก็เห็นภาพชายคนหนึ่งถือดาบตรงดิ่งไปยังกลุ่มคนทั้งสี่ที่กำลังรุมฟาดฟันผู้หญิงคนนั้น

เมื่อเห็นหน้าถนัด...นั่นมันตัวเขาเองนี่ ตัวเขาจริงๆ แต่ยังไม่ทันที่จะได้จัดการกับเหล่าหมาหมู่ ภาพนั้นก็จางคลายไปอีก กลับเป็นภาพใหม่ปรากฏขึ้นมา

ชายใบหน้าคมเข้ม ร่างสูงสง่าคนหนึ่งปรากฎกายขึ้น เขาสวมเสื้อ นุ่งผ้าโจงกระเบนทับกางเกง สวมกำไลต้นแขนและข้อมือ เกล้าผมสูง สวมกรอบตรงหน้าผาก

ชายคนนั้นมองตรงมาที่เขา

“ท่าน...” เขาอุทานออกมาได้เพียงนั้น

“ท่าน ท่าน ท่านเป็นใครหรือ” สาวิตรระล่ำระลัก

“เราชื่อ..พ่อขุนบางกลางหาว” ร่างสูงสง่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท ทว่าน่าเกรงขาม

นั่นคือคำตอบที่ได้รับ ก่อนภาพนั้นจะค่อยๆ เลือนหายไป

“กลับมาก่อน กลับมา ได้โปรด ได้โปรดช่วยนางด้วย...” สาวิตรพยายามตะโกนออกไป แต่ทุกสิ่งมีแต่ความว่างเปล่า เงียบสนิท

พ่อขุนบางกลางหาว...ใครกันหรือ ชื่อแปลกจัง เขารำพึงอยู่ในความเงียบนั้น