บทที่ 4 ดาบปริศนา



บทที่ 4

นาถนพินดูเปลี่ยนแปลงไปมิใช่น้อย จากเด็กสาวร่างอวบไม่ค่อยสนใจแต่งตัวเมื่อก่อน กลายเป็นสาวร่างบาง แต่งตัวทันสมัย เมื่อสาวิตรเข็นรถเข็นกระเป๋าเข้าไปใกล้ เธอก็เปลี่ยนจากโบกมือเป็นยกมือไหว้ สาวิตรรับไหว้ แล้วก็ไหว้อาพสิฐที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่ข้างๆ ด้วย

“สวัสดีครับ อา” สาวิตรทักทายผู้เป็นอา

“หวัดดี หลาน วันนี้อาเยาว์เขาไม่ได้มาด้วยนะ เขาอยู่บ้าน เตรียมทำกับข้าวต้อนรับหลานเต็มที่ อาเลยพลอยได้กินไปด้วย นานๆ เขาจะจัดหนักอย่างนี้สักที” อาพสิฐพูดถึงภรรยาพร้อมกับหัวเราะ

พสิฐนั้นตื่นเต้นดีใจมากที่หลานชายจะกลับมาเมืองไทย เพราะถือว่าที่ตนเองมีฐานะอย่างที่เป็นอยู่นี้ก็เพราะพิพรรธน์ พี่ชายของตนเป็นผู้สนับสนุนช่วยเหลือทุกอย่าง ในเมื่อตัวเองไม่มีโอกาสดูแลพี่ชาย ก็ขอดูแลลูกของพี่ชายนี่แหละเป็นการตอบแทน ดังนั้น เมื่อรู้ว่าหลานชายจะกลับมาอยู่บ้านเกิด ก็รีบกุลีกุจอจัดบ้าน เตรียมไว้ให้หลานชายได้อยู่อย่างสบาย ขณะที่ผู้เป็นภรรยาก็เตรียมอาหารมื้อใหญ่เอาไว้ต้อนรับ

“ผมก็คิดถึงฝีมืออาเยาว์อยู่ครับ แค่อาพูดผมก็หิวแล้ว” สาวิตรตอบแล้วก็แนะนำให้ปรางนวลรู้จักอาของเขา เธอไหว้อย่างนอบน้อม

“สวัสดีค่ะ คุณอา”

“สวัสดีจ้ะ” พสิฐมองความอ่อนน้อมของปรางนวลอย่างชื่นชม พอจะรู้มาบ้างว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นใคร เพราะนาถนพินเคยพูดให้ฟังอยู่


“พิน นี่พี่เข็มไง ที่เคยเห็นในเฟซบุ๊คพี่น่ะ เข็ม นี่น้องพิน ลูกอาพสิฐ” สาวิตรแนะนำให้น้องสาวและคนรักได้รู้จักกัน

นาถนพินยกมือไหว้ปรางนวลก่อน พลางนึกในใจว่าแฟนพี่วิตรนี่ตัวจริงสวยกว่าในรูปอีกแฮะ ปรางนวลรับไหว้พร้อมกับยิ้มให้

“ยินดีรู้จักน้องสาวพี่วิตรค่ะ” ปรางนวลตอบ นึกในใจเช่นกันว่า นาถนพินนี่ดูเท่ไม่เบาเลยทีเดียว

“เข็มขอตัวไปหาคุณพ่อ คุณแม่ก่อนนะคะ คุณอา น้องพิน”

“ตามสบายจ้ะ” อาพสิฐตอบ

สาวิตรเดินตามปรางนวลไปยังจุดที่พ่อกับแม่และพี่ชาย น้องชายเธอยืนอยู่ เธอแนะนำให้รู้จักคุณพ่อ คุณแม่ พี่ต้อมและน้องตั้มที่มารับกันอย่างพร้อมหน้า คุณเนตรนุช แม่ของปรางนวล มองดูร่างสูง ท่าทางสุภาพ ผิวขาวแต่ใบหน้าเข้มเกลี้ยงเกลาของคู่รักลูกสาวด้วยความพึงพอใจอย่างเงียบๆ

“เข็มเขาเล่าเรื่องวิตรให้แม่ฟังตลอดแหละ ดีใจนะที่ได้เจอกัน วันไหนว่างๆ จะให้เข็มเขาชวนไปเที่ยวที่บ้านนะ”

“ขอบพระคุณครับ คุณแม่” สาวิตรตอบ

สาวิตรร่ำลาทุกคนกลับบ้าน แยกตัวออกมาขึ้นรถ เขานั่งในรถเคียงข้างนาถนพินซึ่งเป็นคนขับ ด้านหลังมีอาพสิฐนั่งอยู่ เขาทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ตึกสูงเสียดฟ้าดูราวกับจะแย่งกันผุดขึ้นมา มีให้เห็นเกือบตลอดทาง จนสาวิตรอดเปรยขึ้นไม่ได้

“พี่ไม่ได้กลับไทยแค่ 3-4 ปีเอง เปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้เลยนะ นี่ถ้าให้พี่กลับบ้านเอง มีหวังกลับไม่ถูกแน่”

“ใช่ค่ะ เปลี่ยนไปมากเลย แม้แต่แถวบ้านเรา เดี๋ยวใกล้ถึงพี่วิตรก็จะได้เห็นค่ะ ที่ดินหลายแปลง เจ้าของขายไปแล้ว บางแปลงก็สร้างตึกสูงๆ แล้ว ถึงพี่วิตรมาใกล้บ้าน บางทีก็อาจจะเข้าบ้านไม่ถูกก็ได้” นาถนพินตอบ

“แต่บ้านเรายังเหมือนเดิมนะ” อาพสิฐเสริม “ต้นไม้ที่พี่พรรธน์ปลูกไว้ยังอยู่เกือบหมด อาปลูกเพิ่มด้วย เพราะชอบอยู่แบบร่มๆ ครึ้มๆ เดี๋ยวนี้เมืองไทยอากาศร้อนมากด้วย ถ้าไม่มีต้นไม้คงไม่ไหว”

รถของนาถนพินถึงหน้าประตูใหญ่ ที่มีเถาไม้เลื้อยปกคลุมครึ้ม รั้วเหล็กโปร่งมีต้นไทรเกาหลีเป็นแนวทึบบดบังสายตา จริงอย่างที่อาของเขาว่า ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม บ้านริมน้ำในจังหวัดนนทบุรีที่เขากลับมาเยี่ยมเยือนบ่อยหลังนี้ ยังคงร่มรื่นด้วยไม้ใหญ่นานาชนิด ทั้งต้นมะม่วง และไม้ผลอีกหลายอย่าง ต้นโมกและไม้ดอกอีกมากมาย โอบล้อมสนามหญ้าที่ตัดอย่างเรียบร้อย ต้นจามจุรีใหญ่ยังคงอยู่ที่เดิม คั่นระหว่างบ้านของพ่อกับบ้านของอาพสิฐที่ปลูกอยู่บนผืนดินเดียวกัน

นาถนพินจอดรถที่หน้าบ้านของพ่อสาวิตร แม่บ้านสาวสองคนยืนสงบเสงี่ยมคอยอยู่แล้ว อาพสิฐคงจ้างเธอมาไม่นาน สาวิตรคิด เพราะมาครั้งก่อนยังไม่เคยเห็นหน้าเลย เธอกุลีกุจอมายกสัมภาระของสาวิตรที่หลังรถทันที

“หนูยกขึ้นไปข้างบนเลยนะคะ” หนึ่งในสองสาวกล่าวขึ้น ก่อนที่ทั้งสองคนจะช่วยกันยกกระเป๋าออกจากท้ายรถ

“ไม่ต้องหรอก วางไว้ข้างหน้าบ้านนั่นแหละ เดี๋ยวผมมาจัดการเอง มันหนักครับ ผู้หญิงยกขึ้นข้างบนลำบาก” สาวิตรตอบ

แม่บ้านสาวรุ่นยิ้มอย่างพอใจ มองเจ้านายคนใหม่ แล้วนึกในใจว่า “หล่อเข้มยังกะพระเอกละครแล้วยังใจดีอีก อย่างนี้ล่ะ จะบริการให้สุดชีวิตเลย”

“ไปบ้านอาก่อนนะ ให้แม่ยายพินเห็นหน้าสักหน่อย”

“ครับ” เขาตอบ

สาวิตรเดินตามนาถนพินและอาพสิฐเพื่อไปพบอายุพเยาว์ หญิงวัยกลางคนยิ้มอย่างดีใจเมื่อเห็นหลานชายที่ไม่เห็นกันหลายปีมาประนมมือไหว้

“ไหว้พระเถอะหลาน แหม ไม่เจอกันนาน ตัวยังเท่าเดิม ดูสิ อาน้ำหนักขึ้นอีกบาน เข่าไม่ค่อยดีเลยตอนนี้ เดี๋ยวไปอาบน้ำอาบท่าพักผ่อนเสียก่อนนะ เย็นนี้มากินข้าวด้วยกัน รับรองอ้วนขึ้นหลายโลแน่วันนี้”

ชายวัยกลางคนๆ หนึ่งที่นั่งคุยอยู่กับอายุพเยาว์หันหลังมามองเขา พอดีกับที่อาพสิฐกับนาถนพินเดินเข้ามาสบทบในบ้าน

“อ้าว วิรุฬห์ วันนี้ลมเฮอริเคนที่ไหนหอบนายมานี่” อาพสิฐทักขึ้น

“ลมเฮอริเคนจากอเมริกาเลย ที่หอบมาถึงนี่เพราะพี่สาวที่เคารพสั่ง เอาของมาส่งตามออเดอร์น่ะ...ที่จริงเขาห้ามบอกพี่พสิฐนะ ว่าซื้อของอีกแล้ว แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ผมมากินข้าวเขาบ่อย ก็เลยซื้อมาให้เอง จ่ายเป็นค่าข้าวเขาซะหน่อย” ชายที่ชื่อวิรุฬห์ตอบ

“แหม เผากันซึ่งๆ หน้า” อายุพเยาว์ตอบ “ถ้าอย่างนั้น มากินให้บ่อยกว่าเดิมก็ได้ อยากกินอะไรสั่งได้ด้วย แต่ต้องหาของฝากมาจ่ายค่าข้าวให้คุ้มนะ ไม่คุ้มเจอด่า”

ผู้สูงวัยทั้งสามคนหัวเราะขึ้นพร้อมกัน

“น้าซื้อช็อคโกแลตมาฝากพินเป็นหีบๆ เลยนะ กินให้มันอ้วนไปเลย ตอนนี้ผอมตัวนิดเดียว” วิรุฬห์หันมาพูดกับนาถนพินบ้าง

“ขอบคุณค่ะ น้า ที่ไม่ลืมของโปรดของหนู แต่ยังไงก็ขอไม่อ้วนดีกว่านะคะ กินแล้วออกกำลังค่ะ” นาถนพินตอบและยกมือไหว้ผู้เป็นน้า

“เย็นนี้นายอยู่กินข้าวด้วยกันซะเลยสิ เยาว์เขาทำกับข้าวไว้เลี้ยงตาวิตรเยอะเลย เลี้ยงนายด้วยคงยังไหว ช่วยกินหน่อยนะ เดี๋ยวเหลือเททิ้ง” อาพสิฐพูดขึ้น

“แหม คุณพี่เขยที่เคารพ เห็นผมเป็นหน่วยเก็บขยะไปซะแล้ว” วิรุฬห์ตอบ แล้วชายทั้งสองก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน

“เออ นี่ แนะนำให้รู้จักกันซะเลย วิตร นี่อาวิรุฬห์ น้องชายอาเยาว์ ที่วิตรไม่ค่อยเจอน่ะ เพราะพี่แกไปตกถังข้าวสาร เอ๊ย ข้าวสาลีอยู่เมืองนอก ไปแต่งงานกับมหาเศรษฐีแหม่มน่ะ ตอนนี้เป็นหม้ายอยู่คนเดียว แล้วก็ที่เห็นตัวผอมๆ เล็กๆ นี่ ความจริงไม่เล็กนะ แกเป็นศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยที่สหรัฐโน่น แล้วตอนนี้น่ะ กำลังคิดทำการทดลองโปรเจคท์อะไรสักอย่างในเมืองไทยนี่แหละ โครงการอะไร ต้องฟังจากปากเขาเอง อาก็ยังไม่รู้รายละเอียด วิรุฬห์ นี่ลูกพี่พรรธน์ ตาวิตร ไปอยู่ซิดนีย์เสียแต่ยังเล็ก ตอนนี้เรียนจบ จะกลับมาลงหลักปักฐานที่เมืองไทยแล้ว”

สาวิตรยกมือไหว้ อีกฝ่ายก็รับ สายตาหลังแว่นของศาสตราจารย์วิรุฬห์กวาดมองสาวิตรอย่างพินิจพิเคราะห์ ด้วยความชื่นชมในหน้าตาท่าทาง และนึกอยากชวนให้มาร่วมโครงการทดลองของเขาขึ้นมาในทันที

“ถ้ายังไม่ได้ทำงานตอนนี้ มาทำอะไรสนุกๆ กับอาก่อนก็ได้นะ ไว้จะคุยรายละเอียดให้ฟัง อาว่าวิตรนี่เหมาะมากเลย สายตาอาไม่พลาดหรอก” ศาสตราจารย์วิรุฬห์พูด

“ขอบคุณครับ” สาวิตรตอบแล้วยิ้ม แปลกใจอยู่บ้างที่ศาสตราจารย์วิรุฬห์หยิบยื่นข้อเสนอให้ง่ายอย่างนี้ แต่ก็ยังไม่นึกอยากถามรายละเอียด

“งั้นเย็นนี้กินข้าว นายก็คุยให้วิตรฟังเลยสิ จะได้ขอฟังด้วยคน อยากรู้เหมือนกันแหละว่าโครงการอะไร โครงการสร้างหุ่นยนต์สาวๆ ไว้ให้เป็นเพื่อนรู้ใจหนุ่มๆ หรือเปล่า” พสิฐเอ่ย

“แหม ถ้าทำโครงการนั้นจริงๆ ผมขอพี่เป็นหนูทดลองคนแรกเลย แต่หลบพี่เยาว์ให้ทันหน่อยนะ”

ชายสูงวัยหัวเราะขึ้นพร้อมกัน ยุพเยาว์ค้อนควัก “คิดเก่งแต่เรื่องอย่างนี้แหละ”

“วันนี้คงขอตัวก่อน ผมมีธุระ แต่วันหลังผมจะขอมากินข้าวและเล่าให้ฟังแน่” ศาสตราจารย์วิรุฬห์พูดต่อและลุกขึ้นเตรียมตัวกลับ

“วันหลังอามาคุยให้ฟังนะหลานชาย” เขาหันมาบอกกับสาวิตรก่อนออกจากบ้านไป


ศาสตราจารย์วิรุฬห์ขับรถกลับออกไปแล้ว สาวิตรเดินกลับไปที่บ้านของพ่อ เขากวาดตามองไปรอบๆ บ้านหลังเดิมดูเก่าลงบ้างตามกาลเวลา แต่บริเวณรายรอบดูสะอาดตา ต้นไม้ตัดแต่งอย่างเรียบร้อย มีกระถางต้นไม้ใหม่ๆ เพิ่มมาตั้งหลายใบ ฝีมือของอาพสิฐนั่นเอง ต้นแก้วริมหน้าต่างยังคงอยู่ที่เดิม แต่ยามนี้ไร้ดอกขาวสะพรั่ง สาวิตรจำได้ว่า หลายครั้งที่กลับมาเยี่ยมเมืองไทย ดอกแก้วออกดอกพราวเต็มต้น ส่งกลิ่นโชยหอมตลบอบอวลทั่วบริเวณ เขารู้สึกชอบสีขาวสะอาดตาและกลิ่นหอมเย็นนั้น แต่เจ้าธิโมทีน้องชายกลับบอก

“ดอกอะไรน่ะ สวยดีหรอก แต่กลิ่นเหม็นจัง” เป็นงั้นไป เขานึกขำเจ้าน้องชายขึ้นมา

ถัดจากต้นแก้วเป็นกอมะลิที่เวลานี้ออกดอกสะพรั่ง ยามนั้นเอง เขานึกถึงมาลัยดอกมะลิที่พันอยู่บนมวยผมของสาวในฝัน...เขาถอนหายใจ ความรู้สึกอยากพบเธอผู้นั้นพลุ่งขึ้นมาในใจอีกอย่างช่วยไม่ได้

สาวิตรเดินเข้าบ้าน ทุกซอกทุกมุมดูสะอาดตา โซฟาตัวเก่าได้รับการเช็ดถูจนเป็นมัน เขาขนสัมภาระขึ้นไปห้องนอนชั้นบน ห้องเดิมที่เขาเคยมานอนค้างกับพ่อและธิโมทีทุกคราวที่กลับเมืองไทย ทั้งห้องได้รับการตกแต่งใหม่ โทรทัศน์และเครื่องเสียงพร้อม ที่ยังคงเดิมก็คือภาพของพ่อแม่และตัวเขาที่ติดอยู่บนผนังหัวนอน สาวิตรคิดถึงบุพการีทั้งสองขึ้นมาฉับพลันโดยเฉพาะผู้เป็นมารดา

“แม่ครับ แม่อยู่ที่ไหนก็ตาม ผมกลับมาอยู่เมืองไทยแล้ว ขอโอกาสให้ผมได้พบแม่ด้วยนะครับ” สาวิตรนึก

สาวิตรเดินไปสำรวจห้องอื่นต่อ ชั้นบนของบ้านนี้มี 3 ห้อง ห้องแรกคือห้องที่เขาจะใช้พัก อีกห้องเป็นห้องนอนที่ปิดไว้เฉยๆ ไม่ได้จัดแต่ง ส่วนห้องที่ 3 เป็นห้องที่พ่อไม่ค่อยได้เปิดและเขาก็ไม่เคยสนใจด้วย เพราะทุกครั้งที่กลับมา สาวิตรคิดถึงแต่การไปเที่ยวเล่นตามประสาเด็กเท่านั้น

ขณะนี้เขานึกอยากเห็นห้องนี้ขึ้นมา แต่ห้องนี้ล็อคและมีกุญแจคล้องอยู่ เขาจึงหยิบกุญแจที่อยู่ในลิ้นชักโต๊ะในห้องนอนมาไขดู เมื่อเปิดประตูได้ ภาพที่เห็นคือห้องนี้กว้างทีเดียว แต่มีฝุ่นจับหนา พระพุทธรูปหลายองค์วางลดหลั่นกันบนโต๊ะหมู่ด้านใน ที่โต๊ะเตี้ยๆ หน้าหิ้งพระมีดาบเล่มหนึ่งวางอยู่บนแท่นวาง สาวิตรรู้สึกสะดุดตากับดาบเล่มนี้ขึ้นมาทันที เขาเข้าไปใกล้และเพ่งดู จึงเห็นว่าปลอกดาบและฝักดาบดูเหมือนหุ้มด้วยเงิน สลักเสลาเป็นรูปเทวดาสลับกับลวดลายงดงาม คล้ายกับที่เคยเห็นจากภาพจำหลักบนปราสาทหินในหนังสือ ขนาดของดาบก็ดูเหมาะมือทีเดียว

สาวิตรคุกเข่านั่งลงกับพื้น เอื้อมมือไปจะจับดาบ แต่แล้วก็ต้องชะงัก เพราะเสียงที่ดังขึ้นเบื้องหลัง

“เอ่อ คุณวิตรคะ” แม่บ้านสาวคนเดิมที่รู้แล้วว่าชื่ออุ๊ ร้องทักขึ้น

“มีอะไรหรือ” เขาหันไปตามเสียงนั้น

“คุณพสิฐให้หนูมาดูน่ะค่ะ ว่าคุณวิตรมีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า นี่คุณวิตรจะใช้ห้องนี้หรือคะ หนูยังไม่ได้ทำความสะอาดเลย เพราะคุณพสิฐไม่ได้สั่งเอาไว้”

“งั้นก็ดีเลย ช่วยทำความสะอาดห้องนี้ให้ทีนะ ได้ไหม มีงานอะไรต้องทำหรือเปล่า”

“ไม่มีค่ะ เดี๋ยวหนูไปตามพี่ข้าวฟ่างมาช่วยอีกคน”

“ขอบคุณมากครับ เดี๋ยวผมขอตัวไปอาบน้ำแล้วพักสักแป๊บนึง เย็นค่อยไปกินข้าวบ้านโน้น”

สาวิตรพูดจบก็เดินออกมา ทิ้งให้แม่บ้านสาวแอบยิ้มคนเดียว คนอะไร นอกจากหน้าตาหล่อปิ๊งแล้ว พูดจายังไม่มีการถือเนื้อถือตัวอีกด้วย


สาวิตรหลับไปเพราะความเพลีย แต่ในความหลับไหลนั้น ภาพต่างๆ ทยอยผ่านเข้ามาในความฝันมากมาย ภาพหมู่บ้านที่ไฟลุกโชน ภาพคนกลุ่มใหญ่ฟันดาบ รวมถึงใช้อาวุธหลากชนิดรบพุ่งกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ภาพกองทัพช้าง กองทัพม้า และภาพตัวเขาเองถือดาบเล่มหนึ่งอยู่ในมือ...

“ดาบในห้องพระเล่มนั้นหรือ น่าจะใช่นะ” สาวิตรรำพึงกับตัวเองเมื่อลืมตาตื่นขึ้นและนึกถึงภาพดาบที่เห็นในฝัน…เขายังคิดต่อ เหตุการณ์เหล่านี้ละหรือ คือสิ่งที่เขาจะต้องเผชิญต่อไปในอนาคต เอ้อ ไม่ใช่สินะ ในอดีตต่างหาก มันน่างุนงงกับชีวิตไหม

เย็นวันนั้นที่โต๊ะอาหาร ซึ่งมีตัวเขา อาพสิฐ อายุพเยาว์และนาถนพินอยู่กันพร้อมหน้า หลังจากจัดการกับอาหารมื้ออลังการและคุยเรื่องสัพเพเหระ ตามประสาคนที่ไม่ได้เจอกันนานแล้ว สาวิตรจึงถามอาพสิฐถึงดาบเล่มที่อยู่ในห้อง

“เมื่อบ่ายผมไปสำรวจห้องข้างบนที่ปิดอยู่ เห็นดาบเก่าเล่มหนึ่ง คุณอาพอจะทราบไหมครับ ว่าพ่อเอามาจากไหน”

“ดาบเล่มนั้นน่ะหรือ ถ้าจำไม่ผิด พี่พรรธน์น่าจะซื้อมาจากพ่อค้าที่สุโขทัยนะ ดูเหมือนชาวบ้านจะขุดดินแล้วบังเอิญไปเจอนี่แหละ แต่ก่อนพี่พรรธน์ชอบสะสมดาบ สะสมอาวุธ สะสมพระเก่าๆ ไว้เยอะเลย ทีนี้ตอนจะไปออสเตรเลีย เขาก็เอามายกให้อาบ้าง ให้เพื่อนๆ เขาบ้าง เก็บไว้แค่เล่มเดียว คือเล่มที่วิตรเห็นนั่นแหละ อาก็ชอบพวกดาบพวกอาวุธนะ วิตรก็รู้ว่าอาน่ะ นักดาบเก่า ถ้าอยากดู เดี๋ยวอาพาขึ้นไปดูข้างบน ยังเก็บไว้ครบทุกชิ้น ไม่เคยคิดขายให้ใครเลย” อาพสิฐบอก

“วันนี้คงยังครับ ไว้วันหลังผมจะขอดู”

“ห้องนั้นน่ะ อาไม่ได้ให้คนเข้าไปทำความสะอาด เพราะเห็นมีพระเก่ามีค่าอยู่แล้วก็ไม่ได้ใช้ ถ้าวิตรจะใช้ละก็ เดี๋ยวอาให้คนไปทำให้”

“ผมให้อุ๊กับข้าวฟ่างไปทำเรียบร้อยแล้วครับอา” สาวิตรตอบ

หลังอาหารเย็น เมื่อสาวิตรกลับมาที่บ้าน ความดึงดูดของดาบเล่มนั้นทำให้เขากลับไปที่ห้องพระอีกครั้ง..แม่บ้านสองสาวทำงานดีจริงๆ เขาคิด เพราะนอกจากห้องจะถูกปัดกวาดเช็ดถูจนเกลี้ยงเกลาไร้ฝุ่นแล้ว ดาบที่อยู่บนโต๊ะเล็กนั้น เธอยังเช็ดถูเสียสะอาดจนความงามของมันเปล่งประกายเป็นมันวาวอีกด้วย

“เห็นทีต้องให้รางวัล” สาวิตรนึก

เขาทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้น “สวยจริงๆ” เขารำพึงในใจ

สาวิตรเอื้อมมือไปแตะและลูบปลอกดาบอย่างพึงพอใจ ก่อนจะยกขึ้นและบรรจงถอดปลอกออก ใบดาบที่เห็นขาวแวววับไร้สนิม หนาที่โคน จากนั้นเรียวขนานลาดแบนไปทางปลายแล้วขยายกว้างออก ที่ปลายสุดของใบดาบโค้งงอนขึ้นเล็กน้อย ด้ามดาบแอ่นงอขึ้น รูปร่างของดาบจึงเป็นรูปโค้งอย่างเหมาะเจาะงดงาม และมีอักขระโบราณสลักเสลาอยู่

สาวิตรไล่สายตามองจากโคนถึงปลายดาบด้วยความรู้สึกผูกพันอย่างประหลาด

ทันใดนั้นเอง ใบดาบที่ขาววาววับ ก็เปล่งแสงนวลสว่างจนสาวิตรต้องหรี่ตา มันเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้หนังตาเขารู้สึกหนักจนลืมไม่ขึ้น จิตรู้สึกเหมือนดิ่งลงสู่สมาธิอย่างฉับพลัน แล้วร่างเขาก็ลุกขึ้นยืนแบบตัวเองไม่ได้บังคับ มือทั้งสองร่ายรำเพลงดาบอย่างคล่องแคล่ว ราวกับถูกดาบนั้นจูงไป โดยที่มิใช่ตัวเขาเป็นผู้ควบคุม เช่นเดียวกับสองเท้าที่ก้าวขยับไปตามท่วงท่าของมือ ในความรู้สึกตัวที่ยังมีอยู่นั้น เขารู้สึกเหมือนกำลังทำสิ่งที่ตัวเองคุ้นเคย เปี่ยมด้วยความฮึกเหิมอย่างเต็มหัวใจ

มันเป็นไปได้อย่างไรกัน เขารู้สึกงุนงงกับตัวเอง

“เป็นไปได้สิ เจ้าทำได้แล้ว” น้ำเสียงที่คุ้นเคยเหมือนจะดังมาจากที่ใดที่หนึ่งเข้าสู่ห้วงสำนึก...


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น