บทที่ 5
เพียงครู่หนึ่งอาการหนังตาหนัก จิตเข้าสมาธิก็เริ่มจางคลาย เมื่อกลับมารู้สึกตัวเต็มที่อีกครั้ง สาวิตรก็จับดาบเล่มนั้นร่ายรำต่อ มันช่างเหมาะมือเสียจริงๆ ลีลาท่าทางร่ายรำก็คล่องแคล่วราวกับคุ้นเคยมาเนิ่นนาน เขารู้สึกแปลกๆ กับตัวเอง จากคนที่ไม่ชอบเล่นกีฬา ไม่ชอบออกกำลังกาย ยามนี้เหมือนเขาจะชอบฟันดาบขึ้นมาเฉยๆ และรู้สึกว่าตัวเองฟันดาบเป็นและคล่องด้วย หนทางพิสูจน์ความรู้สึกนี้ว่ามันจริงหรือเปล่าก็มีอยู่ทางเดียว...
ไปขอทดลองประดาบกับอาพสิฐ นักดาบเก่า ให้มันรู้กันไปเลยว่าเขาใช้ดาบเป็นหรือไม่
สาวิตรนำดาบไปวางคืนไว้บนแท่น พลางคิดต่อว่า เขาจะรับรู้เรื่องราวในอดีตที่ชวนให้งวยงงของตัวเองได้อย่างไร และจะพบหญิงสาวนักดาบคนนั้นได้อย่างไร หญิงสาวแสนงามคนนั้น พอเริ่มนึกถึง ใจก็เหมือนจะโหยหาขึ้นมาทันที ขอให้ได้พบเธอคนนั้นเถิด ถึงแม้จะเป็นแค่ภาพฝันอันจับต้องไม่ได้ก็ยังดี
ทางเดียวที่จะรู้ได้ก็น่าจะเป็นการทำสมาธิ ทำจิตให้นิ่งสินะ นั่นเป็นสิ่งที่เคยได้รับรู้มา..
พอคิดเช่นนั้น สาวิตรก็นั่งขัดสมาธิตรงหน้าหิ้งพระ ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้ายอย่างที่เคยได้รับการอบรมมาจากวัดไทย เขาพยายามกำหนดลมหายใจเข้าออกไปเรื่อยๆ แล้วภาพเริ่มปรากฏในดวงจิต แต่เป็นเพียงภาพวูบๆ ไหวๆ ที่จับความใดๆ ไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น สาวิตรจึงออกจากสมาธิพร้อมกับถอนหายใจ วันนี้คงทำไม่สำเร็จ แต่เขาต้องพยายามต่อ เพราะคิดว่ามันเป็นเพียงกุญแจดอกเดียวที่จะไขประตูความลับทั้งมวลออกมาให้รู้ได้
“วันนี้ไปนอนก่อนดีกว่า” เขาบอกกับตัวเองแล้วก็ก้มลงกราบพระ 5 ครั้ง จากนั้นก็กลับเข้าห้องนอนและหลับสนิทไปจนรุ่งเช้า
วันรุ่งขึ้น สาวิตรไปที่บ้านอาพสิฐแต่เช้า พบแต่อุ๊ แม่บ้านสาวกำลังง่วนอยู่กับการจัดจานชาม กาแฟ สำหรับอาหารมื้อแรกของวัน เธอยิ้มกว้างทันทีที่เห็นสาวิตร
“ตื่นเช้าจัง คุณวิตร วันนี้มีข้าวต้มปลานะคะ ทานได้ไหม ถ้าคุณวิตรอยากรับอย่างอื่นเพิ่มอย่างไส้กรอก ไข่ดาว หนูจัดให้ได้ค่ะ”
“ไม่ละครับ ข้าวต้มดีแล้ว” ชายหนุ่มตอบ ตาเหลือบไปเห็นอาพสิฐเดินลงมาที่โต๊ะอาหาร เป็นคนแรกของวันนี้
“สวัสดีตอนเช้าครับ อา ผมขอถามอะไรหน่อย ตอนนี้คุณอายังฟันดาบอยู่หรือเปล่าครับ” สาวิตรยิงคำถามทันทีแบบไม่ให้เสียเวลา เมื่ออาเขานั่งเก้าอี้เรียบร้อย
“ยังฟันอยู่ เมื่อ 5 วันก่อน ยังไปเรียกเหงื่อกับอาเกื้ออยู่เลย” พสิฐหมายถึงเพื่อนสนิทคนหนึ่งของเขา
“งั้นผมขอความรู้จากคุณอาหน่อยได้ไหมครับ ขอเป็นเย็นนี้เลย เอาภาคปฏิบัติของจริงเลยนะครับ”
“ได้สิ ยินดีเลย งั้นเย็นนี้มาเจอกันที่สนามนะ” พสิฐรับคำ แม้จะรู้สึกแปลกๆ เพราะหลานชายของเขา แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยเห็นสนใจเรื่องฟันดาบเลย เท่าที่ได้รู้จักกันมาเป็นเวลานานหลายปี
“ขอบพระคุณครับ อา”
ตกกลางวันของวันนั้น สาวิตรเรียกรถแท้กซี่ให้ไปส่งที่บ้านของปรางนวลในย่านสุขุมวิท เพื่อกินข้าวกลางวันกับครอบครัวคนรัก วันนี้ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า ทั้งคุณไมตรี คุณเนตรนุช และพี่ต้อม น้องตั้มของปรางนวล อาหารมื้อนั้นอร่อยล้ำสมจริงอย่างที่ปรางนวลเคยบอกไว้ ทุกคนก็ต้อนรับขับสู้เขาเป็นอย่างดี แต่ที่สาวิตรอึดอัดบ้างก็คือ ตอนที่ถูกคุณเนตรนุชซักไซ้ไล่เลียงจนเหมือนกำลังสอบสัมภาษณ์เข้าทำงาน แต่นั่นก็เป็นเพราะความรักหวงแหนบุตรสาวเพียงคนเดียว จนต้องตรวจสอบ “ผู้ที่กำลังคุยกับลูกสาว” ให้แน่ชัด รอบด้านเสียก่อนว่าคือคนที่ใช่ สำหรับแก้วตาดวงใจของเธอหรือเปล่า
“จบกราฟฟิก ดีไซน์มาแล้ว วิตรจะทำอะไรต่อไปละ” คุณเนตรนุชถาม
“ก็คงสมัครงานละครับ คงต้องไปหาดูเอง เพราะอาพสิฐไม่มีเพื่อนในวงการนี้”
“แล้วไม่คิดเปิดบริษัทของตัวเองมั่งหรือ” คุณเนตรนุชถามต่อ
“เอ้อ คงยังอะครับ ขอหาประสบการณ์สักพัก” สาวิตรตอบ แต่ใจจริงนั้น เขายังไม่ได้คิด แม้แต่รีบหางานในตอนนี้เลย
คุณเนตรนุชมองเขา ในใจคิดว่า คนที่ลูกสาวเธอหวังจะฝากชีวิตไว้อย่างสาวิตร ควรจะต้องเป็นคนหนุ่มที่คิดสร้างฐานะมั่นคงไว้รองรับ “คิดไว้สักหน่อยเถอะนะ คนรุ่นใหม่เดี๋ยวนี้ เขาคิดเป็นเจ้าของกิจการกันทั้งนั้นแหละ”
“ครับ” สาวิตรรับคำได้เพียงนั้น ในใจรู้สึกอึดอัดมิใช่น้อย..
สาวิตรอยู่คุยกับครอบครัวของคนรักอยู่พักหนึ่งจึงขอตัวกลับ หลังร่ำลาทุกคนเรียบร้อย ปรางนวลไปคอยส่งสาวิตรขึ้นรถแท้กซี่ที่หน้าประตูบ้าน
“แล้วเข็มจะไปเยี่ยมบ้านพี่วิตรนะคะ”
สาวิตรดึงมือปรางนวลมากุม ก่อนจะขึ้นรถจากไป
“ยินดียิ่งเลยครับ”
ความจริง สาวิตรคอยเวลาเย็นของวันนั้นอย่างใจจดใจจ่อ เขาออกมานั่งคอยอาพสิฐที่ม้าหินข้างสนามอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะหอบดาบหวายสำหรับฝึกออกมานอกบ้าน อย่างเตรียมพร้อมตามคำขอของสาวิตรอย่างเต็มที่
“อ้าว มาเร็วจริง” อาพสิฐว่า พร้อมส่งดาบสองมือให้แก่ผู้เป็นหลานชายคู่หนึ่ง
“เรามาวอร์มร่างกายกันก่อนนะ” แล้วเขาก็สอนท่าวอร์มให้สาวิตร มีทั้งควงดาบสองมือด้านหน้า ด้านหลัง ควงกลับด้าน ควงเป็นเลขแปด และท่าอื่นๆ ซึ่งสาวิตรก็เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
“ดีมาก วิตร ตอนนี้ก็มาเรียนพื้นฐานกัน”
“ไม่ต้อง ลุยเลยครับอา” สาวิตรรีบบอก
“เอางั้นเลยหรือ แน่ใจนะ” อาของเขามีสีหน้าสงสัยจนเห็นชัด
“แน่ใจครับ”
ได้ฟังเช่นนั้น ผู้เป็นอาจึงย่างเท้าเข้าหาหลาน ครั้งแรกก็ยังไม่แน่ใจนัก จึงยังไม่ลงแรงเต็มที่ แต่ครั้นเห็นสาวิตรแคล่วคล่องทั้งเชิงรับและเชิงรุก การวาดดาบ การตวัดดาบ กลการหลบดาบ การควบคุมและการฟัน พสิฐจึงไม่ออมฝีมือ สาวิตรก็รับและตอบโต้ได้ทุกครั้งไป ท่วงท่าก้าวเท้าและสองมือลงตัวงดงามว่องไว จนที่สุดพสิฐต้องเป็นฝ่ายขอหยุดเอง
“เอ๊ะ นี่หลานไปเรียนที่ไหนมานี่ สำนักดาบไหนกัน ท่าทางดูแปลกนะ” เขาถาม
“สำนักไหน ผมจำไม่ได้ เพราะผมดูยูทูปและฝึกเอาครับอา”
“นานหรือยัง”
“เอ่อ พอสมควรครับ”
คำตอบนี้สาวิตรเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะรู้ว่าจะต้องถูกถามแน่ เขาต้องยอมโกหก เพราะไม่รู้จะบอกความจริงได้อย่างไรว่า เพียงแค่จับดาบในห้องพระของพ่อ เขาก็ใช้ดาบเป็นทันที เพราะถ้าขืนบอกความจริงเช่นนี้ไป มันก็ยากที่ผู้เป็นอาจะเข้าใจได้ เขารู้สึกเช่นนั้น เพราะตนเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเขาแล้วจริงๆ
“ผมขอลองดาบมือเดียวบ้างได้ไหมครับ”
“ได้สิ ลองดู” พสิฐตอบพร้อมกับเดินไปหยิบดาบมือเดียวมาจากโต๊ะหินสองเล่ม เขาส่งให้สาวิตรเล่มหนึ่ง
“ลุยเลยหรือเปล่า” ครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายถามสาวิตร
“ครับ” สาวิตรตอบและเริ่มรุกผู้เป็นอาทันที ทั้งสองผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างแคล่วคล่อง
เสียงดาบหวายกระทบกันดังเข้าไปถึงในบ้าน นาถนพินวิ่งออกมา ในมือของเธอมีดาบมือเดียวติดออกมาด้วย เพราะเธอเองก็เรียนวิชาดาบไทยมา เพราะได้แรงบันดาลใจจากพสิฐ ผู้เป็นพ่อ
“ขอเล่นด้วยคนสิคะ แหม มาสนุกอย่างนี้ ไม่ชวนหนูบ้างเลย”
คู่ต่อสู้ทั้งสองหยุดชะงักนิดหนึ่ง แล้วสาวิตรก็บอกว่า “เข้ามาพร้อมกันเลยนะครับทั้งอาและน้องพิน”
นาถนพินทำหน้างงนิดหนึ่ง “อย่างนั้นเลยนะ พี่วิตร เอ้า ลองดูก็ได้” แล้วเธอก็กระโดดเข้าไปร่วมวง
การต่อสู้แบบสองต่อหนึ่งจึงดำเนินต่อไป โดยสาวิตรสามารถรับมือกับสองพ่อลูกได้โดยไม่พลาด แต่ระหว่างที่ประดาบกันนั้นเอง สาวิตรเกิดความรู้สึกว่า การฟันดาบระหว่างเขา อาพสิฐและนาถนพินมิใช่ครั้งแรก มันมีความคุ้นเคยอย่างประหลาด เหมือนกับทั้งสามคนเคยทำแบบนี้ร่วมกันมาแล้ว หลายต่อหลายครั้ง
แต่มันเมื่อไรกันนะ เมื่อไรกัน เขานึกสงสัย
ทันใดนั้นเอง พสิฐเกิดพลาด สาวิตรใช้ท่วงท่าป้องดาบของผู้เป็นอา ขณะที่วางดาบในมือตนเองพาดคอพสิฐ เขารีบวางดาบลง และนั่งคุกเข่ายกมือไหว้ ขณะที่นาถนพินหยุดการต่อสู้แล้ว
“ผมขอโทษครับอา”
“โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอกหลาน อาดีใจต่างหากที่หลานฟันดาบเก่ง”
เสียงปรบมือของยุพเยาว์ที่ไม่รู้ออกมาดูการประดาบตั้งแต่เมื่อไรดังขึ้น
“ดีมาก ตาวิตร อาล่ะอยากเห็นคนปราบนักดาบผู้ไม่เคยแพ้มานานแล้ว เป็นไงล่ะ ตอนนี้ไม่กล้าคุยแล้วสิ”
“แหม ไม่เคยสนับสนุนกันเลย” อาพสิฐว่า
นาถนพินหัวเราะขึ้นอย่างนึกขำสองตายายผู้เป็นพ่อและแม่ ซึ่งมักมีเรื่องเถียงกันสนุกสนานอยู่เสมอ
“นั่งพักกันสักแป๊บนะ เดี๋ยวไปกินข้าวเย็นกันได้แล้วละ” ยุพเยาว์พูดกับนักดาบทั้งสามคน
หลังอาหารเย็นค่ำนั้น พสิฐพาสาวิตรไปชมห้องเก็บอาวุธโบราณของเขา สาวิตรรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับอาวุธมากมายที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบ ทั้งมีด ดาบ หอก ทวน ง้าว กริช และ ฯลฯ
“อาทำพิพิธภัณฑ์ได้เลยนะครับนี่” เขาเอ่ยขึ้น ก่อนที่ลองจับอาวุธแต่ละชนิด ความรู้สึกคุ้นเคยเกิดขึ้นอีกครั้ง ราวกับเขาใช้อาวุธโบราณเหล่านี้เป็นทุกอย่าง
“โอย คงไม่ไหวหรอก เพราะอาไม่ใช่นักประวัติศาสตร์ ไม่เคยรู้ความเป็นมาของอาวุธสักชิ้น อามองแค่ในแง่ศิลปะความสวยงาม และในแง่ที่เป็นสิ่งมีคุณกับเราเท่านั้นแหละ รู้ไหม เมื่ออามองเห็นอาวุธเหล่านี้ อาเห็นความเหนื่อยยาก ความทุกข์ยากของทหาร ของพระเจ้าแผ่นดินแต่ครั้งโบราณ ไม่มีใครหรอกอยากจากครอบครัวอันเป็นที่รักโดยไม่รู้จะได้กลับมาไหม ไม่มีใครหรอกอยากจะไปบาดเจ็บล้มตาย หรือฆ่าคนอื่นเป็นผักปลา บางครั้งมันอาจเป็นเรื่องช่วงชิงอำนาจ นั่นก็จริง แต่ส่วนมาก มันเป็นเรื่องของคนที่เห็นคนอื่นมาก่อนตนเอง ซึ่งก็คือราษฎรตาดำๆ ที่ถูกข่มเหงนั้นแหละ”
“ประวัติศาสตร์เดี๋ยวนี้ เป็นแค่การคิดการตีความหลักฐานของนักประวัติศาสตร์ เพราะหลักฐานมันมีน้อย บางทีก็ว่ากันเป็นตุเป็นตะแหละ เถียงกันเองซะอีก มีแต่เรื่องคนโน้นคนนี้อยากได้อำนาจ ไม่เคยมองในแง่คุณค่าทางจิตใจของบรรพบุรุษ ทั้งผู้ใหญ่ทั้งเด็กเดี๋ยวนี้ มันเลยไม่มีแทบไม่มีใครเข้าใจและเห็นคุณค่าของความเสียสละเลย มองเป็นเรื่องว่าทำเพื่อตัวเองทั้งหมด” อาของเขาร่ายยาวราวกับอัดอั้น สาวิตรได้แต่รับฟังโดยที่ไม่เข้าใจอะไรลึกซึ้งนัก
สาวิตรกลับมาห้องพระชั้นบนของบ้านอีกครั้ง เขาสวดมนต์ แต่ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการฟันดาบเมื่อเย็น ทำให้เขายังไม่อยากทำสมาธิอีก เขาหยิบดาบจากแท่นวางขึ้นมาดูและจับต้องด้วยความผูกพัน จากนั้นก็เอนกายพิงผนัง เหยียดขาตามสบายอย่างผ่อนคลาย จนเคลิ้มหลับไป
ภาพของ “พระองค์ท่าน” ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาน้อมตัวลงกราบ
“ข้ายินดีที่เจ้าเชื่อมต่อภูมิรู้วิชาดาบของเจ้าได้สำเร็จ มันสำคัญนักสำหรับกาลข้างหน้า แต่การเชื่อมโยงของเจ้ากับกาลอดีตที่เจ้ามุ่งหวังอยู่ มิอาจกระทำได้ด้วยความอยาก การมุ่งหวังตั้งเอากับการปฏิบัติ เจ้าพึงผ่อนคลายเช่นนี้ ข้าจักเชื่อมโยงอดีตให้เจ้าได้รู้ได้เห็นเอง เพียงชั่วเวลาหนึ่งในแต่ละคราว เจ้ามีพื้นฐานสมาธิที่ดี แต่พึงจำไว้ เจ้าต้องฝึกจิตของเจ้าให้แคล่วคล่องในฌานด้วย มันสำคัญนักสำหรับการทำหน้าที่เช่นกัน”
“ครับ” เขากล่าวเพียงนั้น แล้วภาพของพระองค์ท่านก็เลือนหายไป ปรากฎเป็นภาพใหม่ขึ้น
...................
ใกล้เช้าแล้ว ร่างหนึ่งย่ำสวบสาบบนใบไม้แห้งที่หล่นระเกะระกะอยู่บนพื้น มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านข้างหน้า แสงเลือนรางทำให้พอมองออกว่า เขาเป็นหนุ่มร่างสูง แผงอกเปล่าเปลือยล่ำสัน ท่อนล่างสวมโจงกระเบนสั้นเหนือเข่า มีผ้าคาดเอวและมีดสั้นเหน็บไว้ ผมยาวถูกรวบไว้เป็นมวยกลมด้านหลัง ที่ไหล่ของเขามีห่อผ้าห่อหนึ่งคล้องอยู่
เขาเร่งเดินอย่างเต็มฝีเท้า เพื่อนำใบยาสมุนไพรไปต้มรักษาอาการไข้ของย่า ซึ่งตัวร้อนจัดและไอไม่ได้หยุดหย่อนมาหลายวันแล้ว ด้วยใจกังวลเป็นอย่างยิ่ง
“ข้าจนใจจริงๆ ยารักษาอาการของย่าเจ้า ยามนี้ข้าไม่มีเหลือเลย เจ้าจงรีบไปพบพ่อหมอแสงที่หมู่บ้านโน้น ขอเจียดยาเอามาเถิด” พ่อหมออ่ำที่ถูกตามมาดูอาการบอกกับเขาเมื่อค่ำวานนี้
“ได้ ข้าจักรีบไป” ชายหนุ่มรับคำ สีหน้ามีแวววิตกกังวลเต็มที่ เพราะนับจากป่วย ย่าของเขาก็แทบมิได้กินอาหารเลย ร่างนั้นจึงผอมแห้งและอิดโรยเต็มที เขาคงปล่อยให้ย่าจากไปไม่ได้ เพราะเวลานี้ ปู่เพิ่งป่วยและจากไปไม่นาน ชีวิตของเขาจึงมีเหลือแต่ย่าและนางแม้น น้องสาวคนเดียวเท่านั้น
“พี่รีบไปเถิด ข้าจักดูแลย่าเอง ไม่ต้องกังวลอันใด” นางแม้น น้องสาวของเขาบอก สีหน้ามีแวววิตกกังวลไม่ต่างจากเขาเท่าใดนัก
เขากุมมือเหี่ยวแห้งผอมบางของย่าไว้ “ย่า ย่าจักต้องหายไข้ ข้าจักไปเอายามารักษา รอข้านะ มินาน ย่าก็จักหายแล้ว” หญิงชราพยักหน้าตอบนิดหนึ่ง ก่อนจะหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน
ชายหนุ่มรีบเดินทางอย่างเต็มที่ไปพบพ่อหมอแสง ยามนี้เขาเจียดยามาได้เต็มห่อผ้าแล้ว เพียงอีกไม่นาน เขาก็จะกลับถึงบ้านและต้มยารักษาย่าอย่างที่ตั้งใจไว้
ใกล้ถึงบ้านแล้ว มือๆ หนึ่งมาจับแขนเขาดึงไว้ ชายหนุ่มที่กำลังจ้ำเดินเต็มที่ถึงกับหยุดชะงัก
“ไอ้มิ่ง เอ็งกลับบ้านมิได้แล้วนะ รีบหนีไปกับข้าโดยเร็วเถิด”
“มีอันใดเกิดขึ้น พี่ขาม” เขาถามด้วยความงวยงง
“ไอ้พวกขอมมันพาพวกมาฆ่าฟันคนในหมู่บ้านแล้ว มันสืบรู้ว่าปู่เอ็งพาผู้คนไปลอบฆ่าพวกมัน มันเลยแค้น พอมันมา ไม่พบปู่เอ็ง มันเลยไล่ฆ่าคนในหมู่บ้าน เราก็สู้กันจนสุดความสามารถ แต่สู้มันไม่ได้ พวกที่เหลือรอดต้องหนีตายออกมา” ขามบอก
“แล้วย่ากับนางแม้นล่ะ” รู้สึกใจหายขึ้นมาทันที
ขามถอนหายใจ สีหน้าลำบากใจเต็มที่
“ย่ากับน้องเอ็งถูกพวกมันฆ่าสิ้นแล้ว”
นัยน์ตาของชายหนุ่มเบิกโพลงด้วยความตกใจสุดขีด เขาสลัดหลุดจากการเกาะกุมของขามและวิ่งเต็มฝีเท้ามุ่งหน้ากลับบ้าน โดยมีขามวิ่งตามไล่หลังไปติดๆ
เขามาถึงบริเวณใกล้บ้านแล้ว จากหลังพุ่มไม้ใหญ่ที่ยืนอยู่ ภาพที่เห็นคือไฟกำลังลุกโชนท่วมบ้านจนถึงหลังคา มีชายฉกรรจ์ 3 คน ยืนเฝ้าดูอยู่ ในมือถือดาบกระชับ
ชายหนุ่มกำลังจะตะโกนเรียกออกไปจนสุดเสียง “ย่า...” แต่มือของขามที่วิ่งตามมารีบปิดปากเขาเสียก่อน หนึ่งในสามของชายฉกรรจ์ดูเหมือนจะหันหน้ามานิดหนึ่ง แล้วก็กลับไปมองภาพไฟลุกโชนอย่างเก่า ราวกับเห็นภาพที่น่ารื่นรมย์เสียเต็มประดา
ขามลากร่างของมิ่งถูลู่ถูกังออกมาจากจุดนั้น จนไกลพอสมควร จึงได้บอกว่า
“ไอ้มิ่ง เอ็งอย่ากลับไปเลย ขืนกลับไป รังแต่จักเอาชีวิตไปทิ้ง เพลานี้ เอ็งจงหนีไปกับข้าเถิด ไปฝึกหัดอาวุธเสียให้คล่อง แล้วค่อยกลับมากุดหัวพวกมันเสียให้สิ้นภายหลัง”
มิ่งได้สติ เขาขบกรามแน่น น้ำตาลูกผู้ชายไหลริน
“ข้าเป็นชายเสียเปล่า กลับไม่สามารถคุ้มครองย่ากับนางแม้นได้เลย ข้าจักไปกับพี่ นำพาข้าไปเรียนวิชาเถิด ข้าจักไม่เกียจคร้านอีกแล้ว”
ชายหนุ่มทั้งสองสาวเท้ารีบไปจากบริเวณนั้น...
สาวิตรค่อยๆ ปรือตาขึ้นมา เขาตื่นขึ้นจากภาพที่เห็นแล้ว แต่ใจยังรู้สึกสังเวชกับสิ่งที่รับรู้ไม่หาย...ความตายของผู้เป็นที่รักแบบไม่สามารถทำใจให้ยอมรับได้ ในกองไฟอันลุกโชนที่แผดเผาทั้งบ้านและบุคคลที่รักให้มอดไหม้เป็นจุลไปพร้อมๆ กัน ไม่หลงเหลือสิ่งใดไว้ให้เป็นที่ระลึกเลย
ในภพชาติหนึ่งที่เกิดมา เขาต้องสูญเสียหนักหนาสาหัสขนาดนี้เลยหรือ...สาวิตรคิด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น