บทที่ 6 โครงการทะลุมิติ


บทที่ 6

รถของปรางนวลเลี้ยวมาจอดหน้าบ้านของพสิฐเกือบจะพร้อมๆ กับรถของศาสตราจารย์วิรุฬห์ สาวิตรเห็นจึงเดินจากบ้านเขามาต้อนรับคนรัก ปรางนวลเปิดประตูลงมาจากรถแล้ว พร้อมส่งยิ้มกว้างเมื่อเห็นเขา

“เข็ม บ้านพี่อยู่หลังนั้นนะ ไม่ใช่หลังนี้ แต่ไม่เป็นไร จะจอดรถไว้ที่นี่ก็ได้” เขาพูด

“ค่ะ พี่วิตร”

สายตาของสาวิตรเหลือบไปเห็นศาสตราจารย์วิรุฬห์ที่ลงจากรถมาแล้วเช่นกัน

“สวัสดีครับอาวิรุฬห์” สาวิตรยกมือไหว้ ศาสตราจารย์วิรุฬห์รับไหว้ผู้อ่อนวัยกว่า

“วันนี้อาขอมากินข้าวฝีมือพี่เยาว์ตามที่เคยบอกไว้น่ะ แล้วจะเล่าเรื่องโครงการให้ฟังด้วย”

“ครับ เดี๋ยวผมก็จะไปกินข้าวด้วย เข็ม นี่อาวิรุฬห์ น้องอาเยาว์ เป็นศาสตราจารย์ อาวิรุฬห์ครับ นี่เข็ม เพื่อนผม เพิ่งกลับจากออสเตรเลียมาด้วยกัน” สาวิตรแนะนำ

“เพื่อน” หรือ? ปรางนวลรู้สึกแปลกๆ กับการแนะนำตัวเธอของสาวิตร ความใกล้ชิดกัน ดูแลกันตลอดหลายปีที่ผ่านมาสรุปแล้วความสัมพันธ์นี้เรียกว่าเพื่อนหรือ แต่เธอก็ยังยิ้มและยกมือไหว้ศาสตราจารย์วิรุฬห์อย่างนอบน้อม พร้อมกับบอกตัวเองว่าอย่าคิดมากไปเลย สาวิตรดีกับเธอตลอดมา


“ยินดีที่ได้รู้จักนะหนู” ผู้สูงวัยกว่าเอ่ยและยิ้มให้อย่างกว้างขวางด้วยนึกเอ็นดูอย่างประหลาด

“เช่นเดียวกันค่ะ”

สาวิตรพาปรางนวลมาที่ห้องรับแขกของบ้าน แล้วก็หยิบน้ำผลไม้แช่เย็นออกมาส่งให้ เธอมองไปรอบๆ ห้องที่จัดได้อย่างเรียบร้อย สะอาดตา

“บ้านของพี่วิตรน่าอยู่นะคะ ต้นไม้ก็เยอะ ร่มรื่นดี เข็มชักอยากจะมาอยู่ด้วยคนแล้วสิ”

สาวิตรอึ้ง อีกนานเท่าไรไม่รู้ที่เขาจะพร้อมมีคนเคียงข้าง แต่ที่แน่ๆ คงไม่ใช่เวลานี้ เวลาที่เขาจะต้องหาคำตอบให้แก่ปริศนาของชีวิตตัวเองให้ได้เสียก่อน

เมื่อปรางนวลเห็นสาวิตรไม่ตอบ เธอจึงพูดขึ้นว่า

“เข็มพูดเล่นค่ะ บ้านพี่วิตรไกลมาก เข็มคงขับรถไปทำงานทุกวันไม่ไหวหรอก รถก็ติดมาก อยู่บ้านเข็มยังสะดวกกว่าเยอะเลย”

“ครับ” สาวิตรตอบได้เพียงนั้น หารู้ไม่ว่าความน้อยใจเล็กๆ ก่อตัวขึ้นในใจคนรักแล้ว นี่เธอยังไม่สำคัญพอที่จะเดินเคียงข้างในชีวิตเขาตลอดไปหรือ..

ศาสตราจารย์วิรุฬห์ยืนมองดูอุ๊กับข้าวฟ่าง สองแม่บ้านสาวขนจานอาหารมาตั้งโต๊ะแล้วเบิกตากว้าง พลางนึกในใจว่า นี่พี่สาวตนจะเลี้ยงคนทั้งกองทัพหรืออย่างไร เพราะบนโต๊ะนั้นมีทั้งอาหารอีสาน ไทย จีน ครบ ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายออกมาพร้อมกับควันขึ้นฉุย

“กินวันนี้จะให้อิ่มไป 5 วันหรือนี่” เขาเปรย พอดีกับที่ยุพเยาว์ยกชามแกงจืดเดินออกมาตั้งแล้วนั่งลงที่โต๊ะอาหาร

“สงสัยวันนี้ผมคงกินจนหลับคาโต๊ะนี่ละมั้ง” เขาว่า

ยุพเยาว์หัวเราะ “ชั้นตั้งใจจะจ่ายค่ากระเป๋าหลุยส์ที่นายซื้อมาฝากไง กินให้หมดนะ เดี๋ยวไม่คุ้มตังค์ที่จ่าย ชั้นเลี้ยงวันนี้วันเดียวด้วย ถ้าให้เลี้ยงอีกต้องมีของใหม่มาแลกเปลี่ยน”

“ไม่งกเลยนะ คุณพี่ นี่พี่พสิฐไม่เคยซื้อให้หรือไง หรือเขาซื้อให้แต่สาวอื่น”

พสิฐเดินมาได้ยินพอดี “ก็รู้ว่าเยาว์เขามีน้องชายสายเปย์อยู่แล้วไงละ เลยไม่ต้องซื้อให้ อย่าเอาความจริงมาพูดสิเรื่องสาวอื่นน่ะ ครอบครัวเขาแตกแยกหมด”

ยุพเยาว์ค้อนสามี “ถ้าลองมีสิ จะให้ขนหมอนขนเสื่อไปนอนนอกบ้านโน่น”

พสิฐกับศาสตราจารย์วิรุฬห์หัวเราะขึ้นพร้อมกัน นาถนพินที่เดินลงมาจากข้างบนพลอยยิ้มไปด้วย

“ตากับยายทะเลาะกันอีกแล้ว” เธอว่า

“เออนี่ข้าวฟ่าง” พสิฐเรียกแม่บ้านสาว “ช่วยไปตามคุณวิตรกับคุณเข็มมากินข้าวหน่อยไป บอกว่าทุกคนมากันพร้อมแล้ว”

“ค่ะ” แม่บ้านสาวรับคำแต่ก็ต้องชะงัก เพราะสองหนุ่มสาวเดินมาที่โต๊ะอาหารพอดี ปรางนวลยกมือไหว้ทุกคน

“สวัสดีค่ะ อาพสิฐ อาวิรุฬห์ น้องพิน แล้ว...” ปรางนวลหันไปทางยุพเยาว์

“อาเยาว์จ้ะ ไหว้พระนะ”

ทุกคนนั่งพร้อมกันที่โต๊ะ พสิฐพูดขึ้น “วิรุฬห์ วันนี้ชั้นให้นายเป็นประธานเปิดงาน ตักก่อนเลย”

วิรุฬห์เริ่มตักอาหาร แล้วผายมือให้ผู้ร่วมโต๊ะ “เชิญเลยๆ ทุกคน”

สาวิตรตักอาหารให้ปรางนวลก่อน ขณะที่นาถนพินตักปลาราดพริกให้กับสาวิตร “พี่วิตรลองชิมดู ไม่มีใครทำปลาราดพริกได้ถึงใจเหมือนแม่เลย” ปรางนวลเหลือบตามองนิดหนึ่ง ขณะที่ศาสตราจารย์วิรุฬห์เริ่มเปิดประเด็น

“โครงการที่ผมกำลังดำเนินการอยู่เป็นการศึกษาเรื่องประตูมิติกับการเดินทางข้ามเวลาน่ะ”

“จริงหรือคะ น้ารุฬห์ไม่ได้พูดเล่นนะคะ” นาถนพินอุทานขึ้น

“ใช่ จะทำจริงๆ เรื่องการเดินทางข้ามเวลานี่ดูเหมือนโม้ใช่ไหม หรือมีจริงก็มีจริงอยู่แต่ในหนัง ในนิยาย ในละครที่เราดูกัน ความจริงมันมีทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์รองรับอยู่ คนจุดประกายก็ไม่ใช่ใคร อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์กับเพื่อนชื่อนาธาน โรเซน เขาบอกว่าปริภูมิ หรือ Space 3 มิติในจักรวาล ทั้งความกว้าง ความยาว และความสูง มีความเชื่อมโยงกับมิติที่ 4 คือเวลาอย่างแน่นแฟ้น หากเราสามารถ "พับ" ให้ปริภูมิ-เวลาหรือ space-time 2 ตำแหน่งที่อยู่แยกห่างกันไกลมาบรรจบกัน ทางลัดที่เกิดจากการพับมิติทั้งสี่นี้เรียกว่า รูหนอน หรือ wormhole ซึ่งเป็นช่องทางคล้ายอุโมงค์ ถ้าเราทำการเปิดรูหนอนได้อย่างเหมาะสม และเดินทางด้วยความเร็วสูง เราจะไม่เพียงแต่เดินทางจากที่หนึ่งไปสู่ที่หนึ่งในอวกาศได้ แต่จะไปจากช่วงเวลาหนึ่งไปสู่อีกช่วงเวลาหนึ่งที่ต่างกันได้ด้วย โดยที่การเดินทางจากด้านหนึ่งจะกลับไปสู่อดีต และอีกด้านจะไปสู่อนาคต ผ่านรูหนอนนี่แหละ”

“ฟังแล้วปวดหัวว่ะ เอาแบบชาวบ้านๆ ดีกว่า ขี้เกียจหากะไดมาปีนขึ้นไปฟัง” พสิฐเอ่ยขึ้น

“ชั้นว่า นายกินข้าวให้เสร็จก่อนดีไหม วิรุฬห์ แล้วค่อยเลคเชอร์ อุตส่าห์ขับรถมาตั้งไกล เดี๋ยวอดกินพอดี” ยุพเยาว์ขัดขึ้น

“ดีเหมือนกัน เล่าตอนนี้มีแต่ขาดทุน งั้นกินข้าวเสร็จค่อยฟังกันนะ” ศาสตราจารย์วิรุฬห์หัวเราะ

อาหารเย็นมื้อนั้นตบท้ายด้วยลิ้นจี่ลอยแก้ว เมื่อจบรายการแล้ว ศาสตราจารย์วิรุฬห์ก็เปิดประเด็นอีกครั้ง

“เอาล่ะ จะเล่าต่อแล้วนะ ไม่อยากได้แบบวิชาการมากก็จัดให้ได้ คือเรื่องการเดินทางข้ามเวลานี่ ถึงแม้จะมีทฤษฎีไอน์สไตน์รองรับ มีการพูดถึงกันมากต่อมาก แต่ก็ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนออกมารับรองชัดๆ ว่าทำได้ แต่ถึงไม่มีใครรับรอง ก็เป็นที่รู้กันว่า มีการทดลองตลอดมา เชื่อไหม ตั้งแต่สมัยนาซีโน่น”

“นานขนาดนั้นเลยหรือคะ น้า สงครามโลกครั้งที่ 2 เลยนะ” นาถนพินพูดขึ้น

“ใช่ เคยได้ยินเรื่องระฆังนาซีไหม”

“ไม่เคย เป็นยังไงล่ะ” พสิฐกล่าว

“คือช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นาซีได้ศึกษาวิจัยอาวุธลับภายใต้ชื่อโครงการ “Die Glocke” หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ Nazi Bell หรือ “ระฆังนาซี” ที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะเจ้าอาวุธนี่รูปร่างลักษณะคล้ายระฆังนั่นเอง”

“แบบว่ามุดเข้าไปใต้ระฆังแล้วทะลุมิติได้ใช่ไหม” ยุพเยาว์ถามขึ้น

“ก็ทำนองนั้นแหละ เพราะการเดินเครื่องระฆังนาซีนี่ทำให้เกิดรูหนอน ซึ่งกองทัพนาซีนำมาใช้ในการเดินทางข้ามมิติเวลา เรื่องระฆังนาซีถูกปิดเป็นความลับนานหลายสิบปี จนกระทั่งมีนักข่าวโปแลนด์คนหนึ่งไปค้นคว้าเอกสารลับสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วก็นำเรื่องระฆังนาซีนี่มาเปิดเผย ตอนนั้นน่ะ มีเจ้าหน้าที่ของนาซีคนหนึ่งโดนจับ แล้วก็สารภาพว่าได้ฆ่าวิศวกรและนักวิทยาศาสตร์เยอรมันไปราวๆ 60 คน ก็เพื่อปิดปากไม่ให้พูดเรื่องนี้แหละ”

“โหดจัง แล้วตอนนี้ระฆังนาซีนี่ยังอยู่ไหมคะ” นาถนพินถาม

“ไม่อยู่ละ ไม่มีใครรู้ว่าไปอยู่ในมือใคร แต่ฐานติดตั้งนี่ยังอยู่ เป็นซากนะ อยู่ลึกลับเลยล่ะ แถวชายแดนเยอรมันที่ติดกับสาธารณรัฐเช็ค”

สาวิตรและปรางนวลก็รับฟังเรื่องราวอย่างสนอกสนใจเช่นกัน

“เมื่อไม่นานมานี้ ก็มีข่าวว่า คนๆ หนึ่งในอเมริกา เปิดเผยโครงการลับทำนองนี้ขึ้นมาใช่ไหมครับ ผมจำได้ว่าเคยอ่านแต่จำเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้แล้ว” สาวิตรพูดขึ้น

“ใช่ๆ เขาชื่อแอนดรูว์ ดี. บาเซียโก เป็นทนายความอยู่วอชิงตัน เคยประกาศลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ด้วยนะ ตอนปี 2016 แต่ว่าไม่ได้ ไม่ได้ก็ไม่ถอดใจนะ เพราะยังประกาศว่าในปี 2020 จะลงสมัครชิงตำแหน่งอีกครั้ง เพื่ออะไร ก็เพื่อนำข้อมูลการเดินทางข้ามเวลามาเปิดเผยต่อชาวโลกให้ได้นี่แหละ ก็ต้องคอยดูกันต่อไป”

“มโนไปหรือเปล่านี่” ยุพเยาว์พูดขึ้น

“คงไม่มโนหรอก เรื่องที่เขาพูดมีน้ำหนักมากเลยล่ะ เขาบอกว่าตัวเองน่ะเคยเดินทางข้ามเวลาตอน 9 ขวบ เพราะเป็นคนหนึ่งที่ถูกคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการเพกาซัส หนึ่งในโครงการลับสุดยอดที่ดูแลโดยสำนักงานวิจัยเทคโนโลยีขั้นสูงของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ทำการส่งคนไปในห้วงอวกาศและข้ามเวลา โดยเครื่องกลที่เขาใช้เดินทางไปน่ะ สร้างโดยนิโคลา เทสลา ก่อนที่เขาจะตายไป”

ทุกคนจ้องมองศาสตราจารย์วิรุฬห์อย่างใจจดใจจ่อ เขายกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ก่อนจะเล่าต่อ

“บาเซียโกบอกว่า โครงการเพกาซัสต้องใช้เด็กก็เพราะว่า เด็กปรับตัวกับการเดินทางข้ามเวลาได้ดีกว่าผู้ใหญ่ แล้วบาเซียโกก็ถูกส่งไปโรงละคร Ford’ s Theater ในคืนที่ประธานธิบดีอับราฮัม ลินคอล์นถูกสังหาร เขายืนยันว่ามีรูปถ่ายตัวเองด้วยนะในวันนั้น แล้วเขาก็ไม่ได้ไปครั้งเดียว แต่ไปหลายครั้ง แล้วก็ทำไมรู้ไหม ไปเจอตัวเองในภาคที่ไปในครั้งก่อนๆ ด้วย มันแปลกไหม”

“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ” นาถนพินพูดขึ้น

“ใช่แต่เท่านั้นนะ เขายังบอกว่าอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างบารัค โอบามาและตัวเขาเองได้รับภารกิจเป็นทูตของมนุษย์เพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับมนุษย์ต่างดาว ที่ดาวอังคารในช่วงทศวรรษที่ 1980 มาแล้วด้วย”

ทุกคนยังตั้งใจฟังอย่างสนใจเต็มที่ พสิฐถามขึ้นว่า

“ที่นายเล่านี่ ตกลงนายจะทดลองสร้างไทม์แมชชีนหรือเปล่าวะ”

“เปล่าหรอก นั่นมันเป็นโครงการใหญ่ ต้องสร้างเครื่องจักร เครื่องกล วิจัยกันเป็นเรื่องเป็นราวมากมาย ที่ผมจะศึกษาน่ะ มันเป็นเรื่องของคนหรืออะไรอย่างอื่นที่อยู่ดีๆ ก็หายไปในอดีต ในอนาคตแล้วก็กลับมาน่ะ แล้วมันหายไปได้อย่างไรโดยไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือมาช่วย แปลว่ามันมีประตูมิติที่ไม่ต้องใช้ไทม์แมชชีนสิ”

“เรื่องแบบนี้มันมีจริงด้วยหรือ” ยุพเยาว์ถามขึ้นบ้าง

“มีสิ มีรายงานเยอะมาก อย่างเรื่องรถด่วนเอฟ 626 ที่อิตาลีนั่นไง ที่จู่ๆ ลอดอุโมงค์แล้วหายไปเลย ในปี พ.ศ. 2492 นะ รัฐบาลอิตาลีปิดอุโมงค์ค้น ถึงขนาดรื้อรางออกแล้วใส่เข้าไปใหม่ก็ไม่พบ แต่แล้วจู่ๆ ก็กลับออกมาตอนปี 2535 หายไปถึง 42 ปี คนในรถก็ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวเท่าเดิม บางคนที่นักข่าวไปสืบหามาได้นะ พอไปเจอลูกเมีย ลูกเมียแก่หมดแล้ว ตัวเองยังหนุ่มฟ้อ เรื่องนี้คลาสสิกมาก”

ทุกคนยังคงตั้งใจฟัง “เรื่องเล่าหลังข้าวเย็น” ของศาสตราจารย์วิรุฬห์

“เอาแบบไม่นานก็มีนะ เรื่องนี้มันเกิดที่สวีเดนโน่น เจ้าของเรื่องชื่อฮาคาน นอร์ดวิสท์ คือเขากลับบ้านแล้วเจอน้ำนองอยู่บนพื้นครัว ก็เลยหยิบเครื่องมือจะไปซ่อมท่อที่ใต้อ่างล้างจาน พอมุดเข้าไป ข้างใต้นั่นกลับเป็นอุโมงค์มืดๆ เขาคลานไปเรื่อยๆ จนเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ และก็ได้หลุดเข้าไปอยู่ในปี 2042 แค่นั้นยังไม่พอ เขายังไปเจอตัวเองตอนอายุ 70 อีก ก็เลยไปกอดคอถ่ายคลิปกับตัวเองในอนาคตออกมาเผยแพร่ แถมโชว์หลักฐานยืนยันคือรอยสักใหญ่ที่เหมือนกันเปี๊ยบและอยู่ที่แขนขวาเหมือนกันอีก เจ้าตัวบอกว่าไม่สนใจหรอกว่าใครจะหาว่าโกหก เพราะเขารู้ตัวอยู่ว่าพูดความจริง วิดีโอนี่ยังหาดูอยู่ได้นะ”

“สงสัยหนูต้องไปแอบมุดใต้อ่างล้างจานมั่งละ เผื่อจะเจอช่องทางข้ามเวลากะเขามั่ง” นาถนพินเอ่ยยิ้มๆ

“ยังมีหลักฐานรูปถ่ายอย่างมากมายที่คนในยุคของเราไปโผล่ในอดีตด้วย แต่เขายังไม่สรุปนะ” ศาสตราจารย์วิรุฬห์เล่าต่อ “เป็นเรื่องของคนใช้โทรศัพท์มือถือในรูปเก่า วิดีโอเก่า หรือที่แต่งตัวอย่างคนสมัยนี้แต่ไปโผล่ในรูปสมัยก่อนก็มี คนที่บอกว่าตัวเองมาจากอนาคต มาอยู่ในสมัยของเราก็มี คนไม่เชื่อเลยเอาไปเข้าเครื่องจับเท็จ แต่เครื่องจับเท็จก็บอกว่า เขาน่ะพูดจริง”

“ผมก็คุ้นๆ อยู่นะ รู้สึกว่าจะมีหลายคนด้วย ใช่ไหมครับ” สาวิตรพูดขึ้น

“ใช่ หลายคนเลย จะเล่าให้ฟังสักคนแล้วกัน คนๆ นี้ชื่อ อดัม อาร์ชอน เขาบอกว่าตัวเองเกิดในเดือนธันวาคมปี 2019 และรู้เรื่องราวมากมายในอนาคต คนนี้ขอเข้าเครื่องจับเท็จเองเลย เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองพูดจริง ตรงนี้มีการบันทึกภาพไว้ โดยช่อง Apex TV ที่อเมริกา พอเริ่มต้นพูดว่าเขาเป็นผู้ที่มาจากปี 2045 ภาพที่เครื่องจับเท็จก็ปรากฏขึ้นมาว่า ‘จริง’ แล้วพอบอกว่าในปี 2045 มีเอเลี่ยนบุกมายังโลก เครื่องจับเท็จก็บอกว่าจริงเหมือนกัน ก็หลายคำถามนะ แต่ที่เป็นไฮไลท์ก็คือ คำถามว่าใครคือประธานาธิบดีตอนนั้น คือ ปี 2045 นั่น เขาก็บอกว่าคนๆ นั้นคือ โยลันดา เรเน่ คิง หลานสาวของ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนคนสำคัญ โยลันดาตอนนี้ยังเป็นหนูน้อยอยู่ แต่ก็ขึ้นเวทีปราศรัยเป็นแล้ว ตอนปี 2045 น่ะ โยลันดาจะอายุ 36 ตอนนั้นเขาว่า โยลันดาจะได้การขนานนามว่าเป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งสหรัฐฯ เท่าที่เคยมีมาเลยทีเดียว”

ศาสตราจารย์วิรุฬห์ยังคงเล่าต่อ

“ผมตามเก็บข้อมูลเหล่านี้อยู่นานเพื่อเป็นหลักฐานยืนยัน ตอนนี้ผมสร้างเครื่องมือตรวจหาประตูมิติแล้ว และจะศึกษาในเมืองไทยนี่แหละ จะค้นหาว่าประตูมิติอยู่ที่ไหนบ้าง เกิดขึ้นมาได้อย่างไร สภาพแวดล้อมบริเวณประตูมิติเป็นอย่างไร การเปิดปิดเป็นอย่างไร เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลขึ้นมา และถ้าส่งคนไปได้ เราอาจได้รู้ความจริงในประวัติศาสตร์ที่มันคลุมเครืออยู่หนึ่ง กับเรียนรู้วิทยาการของคนสมัยก่อนที่ยังเป็นความลับหรือคนสมัยใหม่ไม่เชื่ออีกหนึ่ง ผมน่ะไม่คิดว่า คนสมัยก่อนจะโง่กว่าคนสมัยเรา การเรียนรู้วิทยาการจากอดีตที่เราไม่รู้ มันอาจเอามาใช้เพื่อสร้างสรรค์โลกของเราตอนนี้ก็เป็นได้”

“นายนี่คิดแปลกนะ เพราะเห็นเขามีแต่คิดว่าคนสมัยโบราณนี่ โง่มั่ง เถื่อนมั่ง ไม่เห็นมีนักวิทยาศาสตร์คนไหนเชื่อว่า คนสมัยก่อนจะมีสติปัญญาล้ำลึกเลยสักคน” พสิฐพูดขึ้น

ศาสตราจารย์วิรุฬห์ยิ้ม “ก็ผมนี่แหละ จะเป็นคนแรกให้ดู”

“มันก็ต้องเป็นโครงการใหญ่สิคะ” นาถนพินถามขึ้นบ้าง

“ไม่ใหญ่หรอก เป็นโครงการเล็กๆ เท่านั้น และน้าจะไม่เปิดเผยในวงกว้าง ให้รู้กันในหมู่คนใกล้ชิดก่อน หากประสบผลสำเร็จ ค่อยว่ากันอีกที”

“ให้หนูเป็นคนทะลุมิติของน้าได้ไหมคะ” นาถนพินถามขึ้น

“ไม่ได้หรอก งานนี้น้าขอเลือกแต่ผู้ชาย”

“ว้า” กีดกันทางเพศกันจัง” นาถนพินทำจมูกย่น

“ว่าแต่นายน่ะ หากไปทะลุมิติกลับอดีตเอง อย่าลืมทะลุมิติกลับมานะ เดี๋ยวชั้นขาดคนดวลดาบไปอีกคน” พสิฐว่า

“ไม่ลืมหรอก” ศาสตราจารย์วิรุฬห์หัวเราะ “เดี๋ยววันไหนว่างๆ เรามาประลองฝีมือกันอีกสักที ผมไม่ได้ฟันดาบมานานแล้ว จะได้ปัดฝุ่นเสียหน่อย ไม่รู้ฝีมือจะตกหรือเปล่า ถ้าตกก็คงต้องให้พี่ชี้แนะละนะ”

ศาสตราจารย์วิรุฬห์หันมาทางสาวิตร

“วิตร สนใจจะร่วมโครงการกับอาไหม อาว่าวิตรเหมาะสมนะ อามีค่าเหนื่อยให้พอสมควรเลยล่ะ ถ้าวิตรยังไม่ไปทำงานที่ไหน ช่วงเดือนสองเดือนนี้ ก็มาร่วมงานกับอาก่อน”

ปรางนวลมีสีหน้าไม่สบายใจที่ได้ยินคำชวนของศาสตราจารย์วิรุฬห์ แต่ไม่มีใครสังเกตเห็น

“ผมขอตัดสินใจสักพักนะครับ แล้วจะบอกอาวิรุฬห์อีกที”

“ได้ ยังมีเวลา อารอวิตรเสมอนะ ส่วนทุกคน ผมขอว่า อย่าเพิ่งเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังนะ เพราะอยากให้รู้ในหมู่คนกันเองเท่านั้น อย่างที่บอกนั่นแหละ”


สาวิตรเดินไปส่งปรางนวลที่รถหลังอาหารค่ำมื้อนั้น เธอมีสีหน้ากังวลจนเห็นได้ชัด

“เป็นอะไรไปเอ่ย ยิ้มหน่อยสิ” สาวิตรพูดกับเธอ

“เข็มไม่ค่อยสบายใจค่ะ พี่วิตรคะ เข็มขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม”

“อะไรครับ”

“พี่วิตรอย่าเข้าร่วมโครงการของอาวิรุฬห์นะคะ ถึงมันจะไม่น่าเป็นไปได้ก็เถอะ แต่เข็มก็ยังกลัว กลัวพี่วิตรจะไม่ได้กลับมาอีก หากไปร่วมโครงการนั่นและเดินทางข้ามเวลาไป”

สาวิตรจับไหล่ของปรางนวลทั้งสองมือและบีบอย่างปลอบโยน

“อย่าวิตกเลย พี่ยังไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้นล่ะ กลับบ้านแล้วนอนหลับฝันดีนะครับ”

ปรางนวลยิ้มบางๆ “ค่ะ”

ปรางนวลขับรถออกไปแล้ว สาวิตรกลับขึ้นไปห้องพระชั้นบน เขาหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย เตรียมพร้อมที่จะท่องอดีตในโลกส่วนตัวอีกครั้ง....


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น