บทที่ 7
สาวิตรนั่งลงในห้องพระ เหยียดขาออกตามสบาย เอนหลังพิงผนังห้อง หลับตาลงเบาๆ อย่างผ่อนคลาย ในที่สุดก็ดำดิ่งลงสู่ห้วงความฝันอันต่อเนื่องจากคืนก่อน..
ขามพามิ่งหนีออกจากหมู่บ้านมาไกลพอสมควรแล้ว ทั้งคู่วิ่งมาตามทางเดินผ่านป่าทึบซึ่งขามชำนาญเส้นทางเป็นอย่างดี ด้วยเดินทางผ่านไปมาอยู่เป็นประจำ แสงแรกของยามเช้าเริ่มสาดส่องลอดผ่านกิ่งไม้ลงมา ทำให้เห็นทางได้ชัดเจน มิ่งซึ่งเหนื่อยล้าจากการเดินทางไปเจียดยาทั้งคืน ขอให้ขามหยุดพักสักครู่หนึ่ง เขาทรุดนั่งลงกับพื้นที่ปกคลุมด้วยใบไม้แห้ง เอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่ และหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน
“เอ็งเหนื่อยจักพักก่อนก็ได้ เราหนีมาไกลโขแล้ว แล้วมันก็คงไม่ได้ตามมาดอก เดี๋ยวข้าจักไปหาน้ำมาให้ ดูท่าเอ็งคงกระหาย” ขามดึงกระบอกไม้ไผ่ที่คล้องไหล่อยู่ให้กระชับขึ้น
“บัดเดี๋ยวก่อนก็ได้พี่ ข้ายังทนได้ พี่จักพาข้าไปหนใด” มิ่งเอ่ยขึ้น
“หมู่บ้านพ่อครูพัน ไปหาพี่สาวของข้า อยู่ที่นั่นพวกเราจักปลอดภัย เพราะลับหูลับตาพวกขอมพอควร พ่อครูท่านเชี่ยวชาญศาสตราวุธ เอ็งก็จักได้เรียนวิชาอาวุธทั้งปวง ยามนี้เรามิอาจอยู่โดยปราศจากเขี้ยวเล็บดอกนะ มิฉะนั้นจักไม่สามารถปกป้องตนเองจากไอ้พวกขอมใจโหดได้” ขามกล่าว
“ข้ามิเข้าใจ เหตุใด มันจึงต้องกระทำทารุณโหดเหี้ยมกับย่ากับน้องข้า ทั้งๆ พวกนางเป็นหญิง หาทางสู้ใดๆ มิได้ ย่าข้าก็ป่วยหนักหนาอยู่เช่นนั้น”
ขามทรุดกายลงนั่งข้างๆ มิ่ง มือจับขาผู้อ่อนวัยกว่าอย่างตั้งใจปลอบโยน
“ข้าเสียใจที่ช่วยย่ากับน้องเอ็งไม่ได้” เขาถอนหายใจ
“เหตุที่เป็นดังนั้น เพราะมันมาแก้แค้น ด้วยสืบรู้ว่าใครฆ่าคนของมัน มันมากันหลายสิบคน ไปที่บ้านปู่เอ็งก่อน พอมันไม่พบปู่เอ็ง ก็เลยฆ่าย่าฆ่าน้องเอ็งเสีย แล้วก็ไล่ฆ่าคนในหมู่บ้านของเรา ที่ตายไปก็มาก ที่สู้ได้เอาตัวรอดได้ก็หนีกระจัดกระจายกันไป ข้ารู้ว่าเอ็งมิอยู่ ก็เพราะพ่อหมอบอกกล่าว”
“แล้วพ่อหมอพ้นภัยฤาไม่”
ขามถอนหายใจอีกครั้ง สีหน้าสลด “พ่อหมอสิ้นชีพเสียแล้ว”
“ไอ้สารเลว” มิ่งสบถอย่างคุมแค้น
ขามพูดต่อ “ปู่เอ็งกับชายในหมู่บ้านหลายคนรวมข้าด้วย ร่วมกันลอบฆ่าพวกขอมมานานแล้ว เอ็งก็รู้ พวกมันกดขี่พวกเราปานใด ข้าวของเงินทอง ลูกเมียเรา หากมันอยากได้ มันก็ยึดเอาไปโดยมิเกรงกลัวผู้ใด มิใส่ใจว่าเราจักทุกข์ จักเดือดร้อนกันเพียงไหน เราจึงต้องตัดกำลังพวกมัน ปู่เอ็งน่ะเป็นหัวหน้า หากมันมากันคนหนึ่ง สองคน อยู่ในวิสัยที่เราฆ่าฟันได้ ก็ฆ่าฟันมันเสีย เรื่องนี้เรามิได้เปิดเผยผู้ใด แม้ย่าเอ็ง น้องเอ็งก็ไม่รู้ เราทำกันเป็นการลับ ส่วนเอ็ง ที่ปู่เอ็งมิบอก ก็เพราะเอ็งมิได้ใส่ใจจักร่ำเรียนวิชาอาวุธ เอาแต่ทำงานไร่งานนา ปู่เอ็งเลยคิดว่าปล่อยเอ็งไปเสียคนหนึ่ง”
“กาลข้างหน้า ข้าจักกลับไปฆ่ามันเสียให้จงได้” มิ่งขบกรามนูนเป็นสัน ความแค้นแล่นขึ้นมาจับหัวใจ ชีวิตเขากับน้องอยู่ได้ก็เพราะปู่กับย่าเลี้ยงดูมา นับตั้งแต่ทั้งคู่กำพร้าบิดามารดาเสียแต่ยังเล็ก แต่วันนี้เขาไม่เหลือใครอีกแล้วแม้แต่คนเดียว และแทบไม่มีโอกาสได้ทดแทนบุญคุณที่ท่านทั้งสองฟูมฟักเลี้ยงดูมาเลย
“ไอ้มิ่ง เอ็งฝึกมวยฝึกดาบเสียบ้าง อย่าเอาแต่เล่น ไปฝึกกับพวกพี่ๆ เสีย ให้ไอ้ขามมันสอน ข้าไหว้วานมันไว้แล้ว”
ปู่มักร้องบอกมิ่งเสมอยามที่เห็นเขาเล่นสนุกอยู่ที่ลานบ้าน ขณะที่คนอื่นๆ ในหมู่บ้านซ้อมเตะต้นกล้วย ซ้อมชกผ้าขาวม้าที่ผูกเป็นปมใหญ่ๆ ไว้กับกิ่งไม้ ทั้งด้วยหมัด เท้า เข่า ศอก อีกส่วนก็ซ้อมฟันดาบทั้งด้วยดาบไม้และดาบจริง เสียงไม้ เสียงเหล็กกระทบกันดังอยู่อย่างไม่ขาดสาย
พอเห็นมิ่งดื้อดึง ไม่ยอมร่วมวง ปู่ก็มักคว้าหวายไล่ฟาด ครั้งแรกนั้น มิ่งจำได้ดี หวายในมือปู่ฟาดมาไม่ยั้ง เขาพยายามหลบ แต่หลบไม่พ้น รอยหวายจึงพาดเป็นแผลไปทั่วตัว ทั้งหลัง แขนและขา ร้อนถึงย่าต้องใช้นางแม้นให้ฝนไพลเพื่อมาทาแผลให้หลานชาย
“โอ๊ย” เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บแสบทุกครั้งเมื่อย่าค่อยๆ ทายาบนแผล แม้จะเบามือก็ตาม
“อดทนสักนิดเถิด หากมิทายา แผลมันจักกำเริบกว่านี้” ย่าของเขาบอก
“พี่มิ่ง อย่าดื้อดึงกับปู่สิ เป็นผู้ชายไยไม่รู้วิชามวย วิชาดาบ ไอ้กร่าง มันอ่อนกว่าพี่ตั้งหลายปี มันเป็นทุกกระบวนแล้ว มิมีใครกล้าท้าสู้กับมันสักคนยามนี้” นางแม้นซึ่งมือยังฝนไพลอยู่เอ่ยขึ้น
“ช่างข้าเถิด ข้ามิคิดไปต่อตีกับใคร ข้าอยากแค่ทำไร่ทำนาเลี้ยงดูปู่ย่ากับเอ็งเท่านั้นดอก” มิ่งย้อนกลับน้องสาว นางแม้นทำหน้าบึ้ง
“ตัวข้านั้นมิช้าปู่ย่าคงให้ออกเรือน พี่เท่านั้นดอกที่จักอยู่ดูแลคุ้มครองปู่ย่า”
ปู่เดินขึ้นเรือนมา ในมือยังถือหวายอยู่
“พี่จะตีมันให้ถึงตายกระนั้นฤา” ย่าถามด้วยความขุ่นเคืองเมื่อเงยหน้าเห็นปู่
“แค่นี้มิถึงตายดอก เกิดเป็นชายถ้าไม่รู้จักสู้ ไม่รู้จักอดทน ไม่มีวิชาอาวุธติดตัว ก็หาสมควรเป็นชายไม่” พูดแล้วปู่ก็โยนหวายทิ้งแล้วเดินหนีไปอย่างหัวเสีย
และนับจากวันนั้นเป็นต้นมาอีกหลายครั้ง ปู่ก็มักคว้าหวายมาไล่ฟาดมิ่งแบบไม่ให้ตั้งตัวยามเขาเผลอ บางครั้งเขาพลาด ก็ได้แผลเป็นแนวยาวอย่างคราวแรก แต่เมื่อนานไป ดูเหมือนมิ่งกลับมีความชำนาญในการหลบ จึงยากนักที่หวายของปู่จะฟาดโดนร่างเขา และสุดท้ายมันเลยกลายเป็นความสนุกที่จะได้กระโดดโลดเต้นหลบหวายของปู่ ยิ่งระยะหลัง มิ่งมีความคล่องตัวมาก หวายของปู่จึงมิได้ถูกต้องร่างของมิ่งอีกเลย
มิ่งยกแขนขวาที่มีรอยแผลเป็นจางๆ ขึ้นดู เขาคิดถึงปู่จับใจ...ยามนี้คงมีแต่รอยแผลเป็นจากหวายนี่แหละเป็นเครื่องระลึกถึงปู่ที่เลี้ยงดูมาแทบจะตั้งแต่เกิด
“จักไปกันฤายัง ไอ้มิ่ง” เสียงของขามปลุกมิ่งให้ตื่นขึ้นจากภวังค์
“ไปสิ ว่าแต่พี่ขามหนีมาผู้เดียวฤา เมียกับลูกของพี่เล่า”
มิ่งรู้สึกแปลกใจที่ไม่เห็นเมียของขามซึ่งเพิ่งจะมาอยู่กินกับขามได้ไม่นาน จนเพิ่งได้ลูกคนแรกเป็นชาย ยังเป็นทารกน้อยวัยเพียง 5 เดือนอยู่ตอนนี้
“ข้าให้ไอ้เข้มมันพานางจันกับลูกหนีล่วงหน้าไปนานแล้ว จักไปพบกันที่บ้านพ่อครูพันโน่น”
มิ่งรู้สึกโล่งใจขึ้นที่ไม่ต้องฟังข่าวร้ายอีกเรื่อง เขาลุกขึ้น มือจับไหล่ของผู้สูงวัยกว่า
“ไปกันเถิดพี่ขาม”
แต่ทันใดนั้น ทั้งสองต้องชะงัก เพราะที่ขวางทางอยู่คือชาย 3 คนที่ถือดาบอยู่ในมือ หนึ่งในจำนวนนั้นชูผ้าสีเขียวขี้ม้าทึมๆ เปื้อนเลือดจนชุ่มขึ้นสูง
“นั่นมันผ้ารัดอกนางจันนี่ พวกเอ็งทำอันใดกับเมียข้า” ขามร้องขึ้นเสียงดังอย่างตกใจสุดขีด
“ข้าส่งมันไปอยู่กับไอ้พวกคนไทยในหมู่บ้านเอ็งแล้ว ลูกของเอ็งด้วย ที่ตามมานี่ก็จักส่งเอ็งตามไปเลี้ยงดูพวกมันด้วยอีกคน” สีหน้าของมันยียวนกวนประสาทเป็นอย่างยิ่ง
“ไอ้จังไร” ขามสบถแล้วชักดาบที่พาดไหล่ออกมา พุ่งเข้าฟาดฟันกับเจ้าขอม 3 คนนั้นอย่างบ้าคลั่ง มิ่งเองก็ชักมีดที่เหน็บบั้นเอวอยู่ออกมา เขาวิ่งเข้าไปหาขามที่กำลังต่อสู้แบบ 3 รุม 1 อยู่ แต่ก็ได้แต่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ข้างหลังขามอย่างไม่รู้จะช่วยอะไรดี จนที่สุดเมื่อได้ช่อง เขาก็ยกมีดสั้นจ้วงแทงเข้าไปที่แขนของขอมคนหนึ่งที่กำลังพันตูอยู่กับขาม
ไอ้ขอมคนนั้นคงเจ็บไม่น้อย มันชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนไปถือดาบด้วยมืออีกข้าง แล้วพุ่งเข้าหามิ่งอย่างโกรธแค้น
มิ่งยังถือมีดสั้นป่ายไปมาอย่างป้องกันตัว ไอ้ขอมคนนั้นหยุดดูนิดหนึ่งก็มองออกว่า คู่ต่อสู้ของมันไม่เป็นวิชาอาวุธเลย มันจึงคิดว่าปล่อยเอาไว้สักพัก ค่อยกลับมาจัดการก็ยังไม่สาย ยามนี้ต้องจัดการกับไอ้นักดาบฝีมือดีที่กำลังสู้สุดชีวิตอยู่นี่ให้ได้ก่อน
ฉึก!!!!! เสียงดาบแทงทะลุเนื้อ เลือดพุ่งเป็นสาย ขามพลาด โดนคมดาบของไอ้ขอมเข้า ก่อนที่ดาบสองและสามจะฟาดฟันลงมาที่ร่างกำยำอีก ขามทรุดลงราวกับไม้ล้ม ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมาจากปาก นอกจากสายตาที่ส่งมาทางมิ่ง ราวกับจะบอกว่า…จงรีบหนีไปเสีย ไปให้ไวที่สุด!!!
“พี่ขาม” มิ่งร้องออกมาอย่างสุดเสียงด้วยความเสียใจและตกใจสุดขีด สัญชาตญาณบอกให้วิ่งหนีไปจากที่นั้นโดยเร็ว เขาวิ่งอย่างสุดฝีเท้า แต่ไอ้ขอมทั้ง 3 คนก็ไล่ตามมาติดๆ ไม่ลดละ จนที่สุดมิ่งจนมุม มีดสั้นในมือยังคงยื่นออกไปข้างหน้า ด้วยหวังป้องกันตนเองจากผู้หมายปลิดชีวิต
“มาให้พวกข้าเชือดเสียโดยดีเถิด ไอ้ลูกหมู อย่าได้หนีให้เหนื่อยยากเลย” หนึ่งในสามพูดขึ้น แล้วก็เดินดาหน้าเข้ามา มิ่งถอยกรูด ทั้งสามคนพยายามฟาดฟันมิ่ง แต่มิ่งกลับว่องไวมาก และหลบคมดาบของไอ้ขอมทั้งสามคนได้ทุกครั้ง วูบหนึ่ง เขานึกถึงหวายของปู่ ที่แท้แล้ว การที่ปู่ถือหวายไล่ตีเขาเนืองๆ ก็เพราะปู่ต้องการสอนวิชาเอาตัวรอดจากคมดาบให้เขานั่นเอง
และเขาก็ได้ใช้วิชาของปู่แล้วในวันนี้
มิ่งยังคงหลบคมดาบอย่างคล่องแคล่ว แต่ขณะนั้นเอง เท้าที่โดดหลบไปมาเกิดไปสะดุดกับอะไรอย่างหนึ่ง แข็งๆ หนาๆ รากต้นไม้ใหญ่นั่นเอง มิ่งล้มลงอย่างเสียหลัก ไอ้ขอมหนึ่งในจำนวนนั้น ชูดาบขึ้นหมายจะแทงร่างที่ทรุดลงกับพื้นให้ดับชีพทันที
เสี้ยววินาทีนั้น มิ่งคิดว่าเขาคงต้องลาโลกไปอย่างคนในหมู่บ้าน อย่างย่าและน้องเขาเป็นแน่ แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ดาบเล่มหนึ่งงัดดาบของไอ้ขอมได้ทันอย่างเสี้ยวยาแดงผ่าแปด ไอ้ขอมคนนั้นผงะไปหลายก้าว
“เอ็งเป็นผู้ใดกันวะ” มันอุทาน
ร่างนั้นไม่ตอบ แต่เข้ารุกไล่ขอมทั้งสามคนทันที เท่าที่มิ่งสังเกตเห็น ร่างนั้นดูเล็กไม่กำยำ สวมโจงกระเบนและสวมเสื้อ ที่ศีรษะโพกผ้า ใบหน้าก็มีผ้าปกคลุมไว้อย่างมิดชิด แต่เพลงดาบของคนร่างเล็กนั้นว่องไวและเฉียบคมมาก เพียงไม่นาน ไอ้ขอมคนหนึ่งที่มิ่งแทงมันที่แขน ก็ถูกแทงทะลุท้อง หน้าตาของมันบิดเบี้ยวก่อนล้มลงสิ้นใจ ขณะที่อีกสองคน คนหนึ่งถูกดาบตัดเอ็นหัวเข่า ทรุดลงกองกับพื้น สีหน้าบ่งบอกความเจ็บปวดเต็มที่ ก่อนที่จะไม่สามารถขยับเขยื้อนเดินไปไหนได้อีกต่อไป ได้แต่นอนงอก่องอขิงด้วยความเจ็บปวดอยู่ตรงนั้น ส่วนอีกคนโดนแทงที่ท้อง เจ็บแผลมากจนลงไปนั่งอยู่ใกล้ๆ กัน
ร่างเล็กๆ นั้นมองร่างทั้งสองแว่บหนึ่งแล้วก็เก็บดาบ ก่อนจะเดินตรงมาที่มิ่ง บอกให้เขาลุกขึ้น
“ไปกันเถิด”
มิ่งแปลกใจ...นี่มันเสียงผู้หญิงชัดๆ เหตุใดเพลงดาบจึงไร้เทียมทานเช่นนี้ นางเป็นใครกัน เขาเดินตามนางไปแต่โดยดี แต่เดินไปได้ไม่ไกล เสียงสวบสาบที่ดังขึ้น ก็ทำให้นางรีบกดร่างเขาลงกับพื้น แล้วซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้
ภาพที่เห็นไกลๆ คือชายร่างกำยำ 5 คน เดินมายังร่างคนเจ็บที่นอนโอดโอยอยู่บนพื้น
“พี่เขียว มันหนีไปแล้ว แต่คงไปไม่ไกลหรอก รีบไปตามเถิด ส่วนพวกเอ็ง ก็ช่วยพวกข้าด้วย” คนที่ถูกแทงพูดกับคนที่มาด้วย
“พวกเอ็งนี่ เรียนวิชามาสูญเปล่า ปล่อยให้ไอ้คนไร้ฝีมือมันหนีไปเสียได้ มันน่ากุดหัวเอ็งยิ่งนัก” ชายที่ชื่อเขียวซึ่งท่าทีเป็นหัวหน้าพูดอย่างหัวเสีย
“มันมีคนมาช่วย ไอ้คนมาช่วยฝีมือมันร้ายนัก มิเช่นนั้น ข้าคงสังหารมันสิ้นแล้ว” ชายที่เจ็บหัวเข่าพูดขึ้นบ้าง
คนร่างเล็กที่อยู่ข้างมิ่ง พึมพำคาถาบางอย่าง เสียงนายเขียวพูดต่อ
“เอ็งสามคนไปลากตัวมันมาให้ได้ ส่วนเอ็งเอายาใส่แผลให้ไอ้สองคนนี่”
ชายทั้งสามเดินวนเวียนอยู่รอบบริเวณนั้น แต่มิได้มองเห็นมิ่งกับผู้ที่ช่วยชีวิตเขาเลย...นางคงใช้คาถากำบังกายเป็นแน่แท้ ในที่สุดทั้งสามคมก็กลับไปหานายเขียว
“ข้าหาพบมันไม่ มันคงหนีไปไกลกระมัง พี่เขียว” หนึ่งในสามนั้นพูดขึ้น
“ถ้าเช่นนั้นวันนี้ พอแค่นี้ก่อน พวกเอ็งช่วยกันหามไอ้สองคนนี่ไปที แล้วจำไว้ คราวหน้าหากเอ็งพลาดอีก ข้าจักปล่อยให้เป็นอาหารเสืออยู่กลางป่า ไม่แบกกลับไปให้เปลืองข้าวข้าแน่”
ขอมพวกนั้น เดินแบกหามกันถูลู่ถูกังจากไปแล้ว คนร่างเล็กบางคอยดูอยู่พักหนึ่งจนแน่ใจจึงออกมาจากที่ซ่อน มนตราของนางได้ผลดีแท้ มิ่งคิด นางหันมาพูดกับมิ่ง
“คราวนี้เราไปกันได้แล้ว”
นางเดินนำหน้ามิ่งไปจนถึงลำธารเล็กๆ ที่อยู่ไกลออกไป แล้วหยุดพักที่ริมฝั่ง วักน้ำขึ้นดื่ม แต่ก็ยังไม่ยอมปลดผ้าคลุมหน้าออก มิ่งเองก็กระหายน้ำเต็มที่ จึงเดินลงไปที่ลำธารและวักน้ำขึ้นดื่มบ้าง
“ท่านเป็นใครและมาจากที่ใดกัน เหตุอันใดจึงถูกพวกมันไล่ฆ่า” หญิงผู้นั้นรัวคำถาม
“ข้าอยู่ที่หมู่บ้านชายเขาโน้น ปู่กับย่าของข้าถูกฆ่า บ้านข้าถูกเผา”
เพียงเท่านี้ก็ดูเหมือนถ้อยคำทั้งหมดจะสูญสิ้น น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินอาบสองแก้ม ร่างบางเล็กจึงลุกขึ้น วางมือลงบนไหล่ข้างหนึ่งของมิ่ง
“อยากร้องไห้ ก็จงร้องไห้ให้เต็มที่เถิด มิต้องอายข้า ข้าเข้าใจ แต่วันพรุ่ง ท่านจงหยุดร้อง คนไทยอย่างเราจักร้องไห้กันนานมิได้ดอก เราต้องเข้มแข็งจึงจักอยู่ได้”
มิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเล่าต่อ
“ข้าเป็นกำพร้า ปู่ย่าเลี้ยงดูข้ามาแต่เล็ก ปู่ข้าเป็นนักดาบ ข้าเองเพิ่งรู้จากพี่ขามว่า ปู่ข้านำคนในหมู่บ้านไปลอบฆ่าพวกขอมที่กุมเหงคนไทย ปู่ข้าป่วยสิ้นชีพไปแล้ว พวกมันตามไปที่เรือนข้า พบแต่ย่าที่นอนป่วยกับน้องสาวข้า ส่วนข้าไม่อยู่เรือน เพราะต้องไปเจียดยาให้ย่า มันเข้ามาฆ่าย่า ฆ่าน้องสาวข้า ฆ่าคนในหมู่บ้าน พวกเราสู้มันไม่ได้ ก็ถูกฆ่า ส่วนที่รอดตายก็พากันหนีกระจัดกระจายกันหมด ข้าเองพี่ขามพาหนี แต่ก็ต้องมาตายหมดพร้อมลูกเมีย”
น้ำตาลูกผู้ชายอีกหยดไหลริน “ข้าช่างอ่อนแอแท้ มิสามารถปกป้องผู้ใดได้เลย”
“ท่านมิเป็นเพลงอาวุธอันใดเลยหรือ”
มิ่งส่ายหน้า
“มวยล่ะ” หญิงสาวถามต่อ มิ่งส่ายหน้าอีก
“ท่านนี่อ่อนแอจริง มวยนี่ใครๆ เขาก็หัดกันทั่วบ้านทั่วเมือง แล้วรู้หรือไม่เพลานี้แม้สตรีก็ยังต้องเรียนศาสตราวุธกัน ท่านมัวไปทำอันใดอยู่”
“ปู่ข้าก็ตั้งใจสอน เป็นข้าที่มิได้เรื่องเอง มีสิ่งเดียวที่ปู่ข้าประสิทธิ์ให้มาโดยข้ามิรู้ตัวเลย ก็คือวิชาหลบหลีกอาวุธศัตรู ข้าเพิ่งรู้เพลานี้ก็เมื่อไอ้ขอม 3 คนมันไล่ฆ่าข้าดังที่ท่านเห็นนั่นแหละ”
“เพียงหลบหลีกเป็นมิเพียงพอดอก ท่านต้องร่ำเรียนอาวุธให้คล่อง มิใช่เพียงเพื่อตัวเองผู้เดียว แต่เพื่อช่วยเหลือผู้คน จนถึงปลดปล่อยคนไทยให้พ้นจากการเป็นข้าพวกขอมในกาลข้างหน้านี้” มิ่งนิ่งฟัง
“ข้าจะไม่ขี้คร้านอีกดอก” มิ่งว่า
“แล้วท่านจักไปที่ใด” หญิงสาวถามต่อ
“ข้ามิมีที่จะไปแล้ว แต่พี่ขามบอกว่า จะพาไปบ้านพ่อครูพัน ให้ข้าร่ำเรียนอาวุธ”
เมื่อได้ยินชื่อพ่อครูพัน หญิงสาวก็คิดว่าควรจะสงเคราะห์หนุ่มแปลกหน้าในคราวนี้
“เช่นนั้นท่านจงตามข้ามา ข้าเองก็จักไปบ้านพ่อครูพันเช่นกัน”
พูดแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปอย่างฉับพลันทันทีจนมิ่งตั้งตัวไม่ติด ใจร้อนจริง แม่หญิง มิ่งคิด เขารีบลุกขึ้นตามไป มือเอื้อมไปจับข้อศอกของหญิงสาวไว้อย่างลืมตัว
“บัดเดี๋ยวก่อน ข้าชื่อมิ่ง แล้วท่านล่ะ ชื่ออันใด” เขาถาม
สายตาคมกริบที่อยู่เหนือผ้าคลุมหน้าจ้องมองที่มือของมิ่งและเลยไปที่ใบหน้าอย่างต้องการเตือนให้ปล่อยมือจากเธอเสีย มิ่งจึงปล่อย
“ข้าชื่อใด ก็มิใช่ธุระอันใดของท่าน” นางพูดพลางกระชับผ้าคลุมหน้าให้รัดกุมขึ้น “แล้วก็อย่าคิดทำการรุ่มร่ามด้วย เห็นแล้วมิใช่ฤาว่าดาบข้าว่องไวปานใด” นางเอ่ย
เพียงแค่ถูกตัวหน่อยยังโดนดุโดนขู่เลย มิต้องคิดเรื่องขอให้เปิดผ้าคลุมหน้าหรอก มิ่งคิด ใจจริงอยากให้หญิงสาวปลดผ้าคลุมหน้ารุงรังนั่นออก ให้เห็นชัดๆ ว่าหญิงสาวผู้มีบุญคุณกับเขามีหน้าตาอย่างไรกัน
เถอะน่า ตอนนี้ยังไม่ได้เห็น แต่ต่อๆ ไป คงได้เห็นหน้านางแน่นอน คงมิได้ปกปิดใบหน้าเช่นนี้ทุกวันไปหรอก
เอ..หรือว่านางขี้ริ้วขี้เหร่จนให้ใครเห็นโฉมหน้าไม่ได้กัน?
สาวิตรเองก็ลุ้นให้ “มิ่ง” ผู้เป็นอดีตของตัวเขาได้เห็นโฉมหน้าสตรีปริศนาเสียโดยไว เธอเป็นใครกันหนอ ช่างเชี่ยวชาญศาสตราวุธไม่แพ้ชายเลย ผู้หญิงสมัยก่อนคงต้องฝึกดาบฝึกมวยนอกจากเป็นแม่บ้านแม่เรือน และรบเคียงบ่าเคียงไหล่ผู้ชายด้วยกระมัง
แต่อีกวูบหนึ่งต่อมา ความรู้สึกสลดหดหู่และรู้สึกผิดก็ผุดขึ้นในใจสาวิตร ตัวเขาเองในอดีตนี่มันน่าละอายเสียยิ่งกระไร เพราะความอ่อนแอ ไร้เพลงอาวุธที่จะต่อสู้กับศัตรู ทำให้ชีวิตคนถึง 3 คนดับสูญไป แลกกับการมีชีวิตอยู่ของ “มิ่ง” เพียงคนเดียว...
“เจ้าเสียใจมากฤามิใช่?” น้ำเสียงของ “พระองค์ท่าน” ที่เขาคุ้นเคยดังก้องเข้ามาในโสตประสาท...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น