บทที่ 8
ภาพของพระองค์ท่านปรากฏในมโนสำนึก ทรงประทับนั่งบนตั่ง วงพระพักตร์เต็มเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาเช่นเคย ยังความผ่อนคลายให้แก่จิตใจเศร้าหมองหดหู่ของสาวิตรหลังรับรู้เรื่องราวในอดีตของตนเองเป็นที่ยิ่ง ใจหนึ่งก็คิดว่า อยากหยุดการล่วงรู้อันแสนพิสดารพันลึกไว้แต่เพียงเท่านี้ เพราะเพียงเริ่มต้น การสูญเสีย ภาพคมดาบที่แทงทะลุร่างผู้ปกป้องเขาอย่างเลือดเย็นต่อหน้าต่อตาก็ทำให้ใจของเขารู้สึกหนักเกินจะรับไหวเสียแล้ว
“เจ้ายังจำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องราวในอดีตต่อไป อย่าเพิ่งเบื่อหน่ายแลเกรงกลัวเลย เพราะเป็นทางเดียวที่จักทำให้เจ้าเข้าใจเรื่องราวทั้งหลาย แล้วทำการใหญ่ได้ ในเมื่อเจ้ามิอาจรำลึกชาติของตนเอง จักรู้ได้เยี่ยงไรว่า จักต้องทำการใดบ้าง” พระองค์ท่านตรัสราวกับแทงทะลุปรุโปร่งลงไปในใจของสาวิตรเฉกเช่นที่เคยเป็นมา จนสาวิตรได้แต่ตอบเสียงอ่อยๆ ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นว่า
“ครับ”
“ในกาลครั้งนั้น คนไทยโดนขอมกุมเหงเช่นนี้ นับร้อยนับพันปี ข้าเองต้องวางตัวประหนึ่งสวามิภักดิ์ต่อผู้เป็นใหญ่แห่งมัน แล้วเร่งรวมกำลังคนไทยขับไล่ การนั้นจักลุล่วงได้ ข้ามิอาจกระทำเพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยไพร่พลชาวไทยผู้มีจิตใจเฉกเช่นเดียวกับข้าแลพี่ข้า เจ้าเองก็เป็นผู้หนึ่ง ข้าจึงต้องติดตามเจ้ามาในกาลนี้”
สาวิตรแหงนหน้าขึ้นมองพระพักตร์ คนอย่างเขานี่นะ จะเป็นนักรบได้ ให้ไปเป็นพ่อครัวในกองทัพคงพอแล้วมั้ง ในใจยังนึกถามถึงผู้ที่ท่านกล่าวว่าเป็น “พี่ข้า” พระองค์ท่านก็แย้มสรวลและตรัสตอบทันที
“พ่อขุนผาเมือง”
สาวิตรยังคงสงสัยว่าท่านผู้นี้คือใคร แต่พระองค์ท่านก็มิได้ตรัสตอบ หากตรัสต่อไปว่า
“ข้าเองแลคนไทยทั้งปวงนับถือพุทธศาสนา มีศีล มีเมตตา มีสังคหวัตถุแก่กัน เรามิปรารถนาการเข่นฆ่าต่อตี แต่เราก็มิอาจอยู่กันอย่างสงบได้ เพราะเราเคยประมาทมาแล้ว จนต้องตกเป็นทาสเขา ด้วยเข้าใจว่าชาวขอมก็ถือพุทธเหมือนเรา เขาคงมิคิดย่ำยีเรา แต่การหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะเหล่าชนมือถือสากปากถือศีลมีมาก เราจึงจำเป็นต้องเข้มแข็งแลปลดตัวเองออกจากการเป็นทาส เจ้าคงพอเข้าใจแล้วสิหนาว่า เหตุอันใด เจ้าจึงมิสามารถเป็นผู้อ่อนแออยู่ได้”
“ครับ” สาวิตรยังคงตอบได้เพียงนั้น พระองค์ทรงยิ้มอย่างเมตตาส่งมาให้
“เจ้าเป็นคนซื่อนะ สาวิตร” พระองค์เอ่ยชื่อเขาชัดถ้อยชัดคำ สาวิตรมองพระพักตร์ของพระองค์ตรงๆ อีกครั้ง “คนซื่อแลหมายถึงคนดี เจ้าพึงเป็นคนซื่อเยี่ยงนี้ต่อไป แต่จงจำไว้ว่า ในยุคสมัยของเจ้านี้ คำโบราณว่า ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน หาใช่ได้ไม่ มีแต่ซื่อโดนกินหมด คดสิอยู่นาน ดังนั้น เจ้าจงระแวดระวังตัวเอง ไว้ใจคนได้ แต่อย่าวางใจ ให้ความระแวดระวังนี้เป็นอาวุธติดตัวเจ้า มิเช่นนั้น จะถูกเล่ห์กลของคนลวงล่อฤาเข่นฆ่าเอาได้”
สาวิตรพนมมือแล้วก้มลงกราบ ซาบซึ้งต่อคำสอนคำเตือนอันทันสมัยนั้น “กราบขอบพระคุณครับ”
“ส่วนความหดหู่ในใจเจ้า ข้ารู้ดี มันยากจักหาสิ่งใดมาบรรเทาได้ หากนานไป มันจักค่อยๆ บรรเทา เมื่อเจ้ายอมรับมันได้มากขึ้น ชีวิตนั้นแลคือเครื่องเรียนรู้ความทุกข์ ผู้แลเห็นทุกข์จากชีวิต เขาย่อมไม่ยินดีเลยที่จักมาวนเวียนเกิดอีก เพราะเขามิได้เกิดหนเดียว แต่เกิดหลายหน เกิดทีไรก็ทุกข์ทุกหน ตายแล้วก็กลับมาเกิดอีก ทุกข์อีก มิรู้จบสิ้น หากผู้คนเกิดหนเดียว ตายหนเดียว จบสิ้นเพียงเท่านี้ ก็มิจำเป็นที่พระศาสดาท่านจักอุบัติมา เพื่อพาเราออกจากกองทุกข์ดอก จักมาเพื่อเหตุอันใด เมื่อคนเราเกิดทีหนึ่ง ตายทีหนึ่งเพียงนั้น ข้าพูดอย่างนี้ เพลานี้เจ้าคงยังมิเข้าใจ แต่กาลข้างหน้า คงมีสักวันที่เจ้าจักเข้าใจแลเดินตามรอยบาทพระองค์ท่าน”
...............
“เอ คุณ ทำไมวันนี้ตาวิตรไม่มากินข้าวเช้า” ยุพเยาว์ปรารภขึ้นหลังจากพบว่าสมาชิกประจำโต๊ะอาหารขาดไปหนึ่งคน ในยามที่ทุกคนอิ่มหนำสำราญกันแล้ว และนาถนพินก็ขับรถออกไปทำงานนานแล้ว เพราะหวั่นเกรงสภาพจราจรจลาจลบนถนนเมืองหลวง
“สงสัยคงนอนเพลินมั้ง” พสิฐพูดพร้อมกับพับหนังสือพิมพ์ที่กำลังอ่านอยู่ในมือ แล้วก็หันไปสั่งแม่บ้านที่กำลังเช็ดแก้วง่วนอยู่ใกล้ๆ ว่า
“ข้าวฟ่าง ถ้าคุณวิตรลงมาก็จัดอาหารเช้าให้แล้วกันนะ เดี๋ยวชั้นกับคุณเยาว์จะไปเยี่ยมคนป่วยที่โรงพยาบาลหน่อย กลางวันบอกป้าสายทำกับข้าวด้วย เพราะชั้นกับคุณเยาว์จะกลับมากินข้าวบ้าน”
“ค่ะ คุณผู้ชาย” แม่บ้านสาวรับคำ
พูดแล้วก็พาภรรยา ขับรถออกจากบ้านไปโรงพยาบาลด้วยกัน จวบจนใกล้เที่ยงนั่นแหละที่พสิฐเลี้ยวรถกลับเข้ามาในบ้าน พลันนั้นก็พบแม่บ้านสาวข้าวฟ่างวิ่งหน้าตาตื่นออกมาราวกับตกใจอะไรสักอย่าง
“คุณผู้ชายคะ” เจ้าตัวพูดแล้วก็หอบ เพราะวิ่งออกมาจากในครัวหลังได้ยินเสียงรถของพสิฐ
“มีอะไรหรือ ถึงได้วิ่งหน้าตาตื่นออกมา” พสิฐถาม
“คุณวิตรน่ะค่ะ ตั้งแต่เช้าจนป่านนี้ ยังไม่เปิดบ้านออกมาเลยค่ะ ไม่รู้เป็นอะไรหรือเปล่า โธ่ ไม่น่าเลย กลับมาเมืองไทยไม่กี่วันแท้ๆ”
“นี่ อย่าเว่อร์ ดราม่าจริงนะเธอ” ยุพเยาว์ปรามแล้วก็หันไปบอกสามี
“คุณลองไปตะโกนเรียกหลานหน่อยสิ สงสัยกว่าจะนอนคงใกล้เช้ากระมัง”
พสิฐจึงก้าวเท้ายาวๆ ไปหน้าบ้านสาวิตรแล้วตะโกนเรียกเต็มเสียง เงียบ...ไม่มีเสียงตอบ เขาจึงเดินไปเคาะประตูหน้าบ้านพลางเรียกชื่อพลาง แต่ก็ไม่มีเสียงตอบตามเคย ชักน่าคิดอะไรดราม่าๆ บ้างแล้วสิ ทำยังไงดีล่ะทีนี้
“คุณลองโทรเข้ามือถือตาวิตรซิ” ยุพเยาว์ที่เดินตามมาออกความเห็น
พสิฐหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าเสื้อออกมาและกดชื่อหลานชาย เสียงสัญญาณยาวๆ ที่ได้ยินบ่งบอกว่าโทรติด แต่ปลายสายมิได้มารับ จนที่ที่สุดก็ตัดไปเอง
“เอ ยังไงๆ แล้วสิ” พสิฐชักหน้าเสีย เขาสั่งแม่บ้านสาวที่เดินมาเกาะติดสถานการณ์อยู่ใกล้ๆ
“อุ๊ ไปบอกลุงแช่มยกบันไดยาวออกมาเร็วๆ”
“ค่ะ” แม่บ้านสาววิ่งตื๋อไปทางหลังบ้าน หลังจากนั้นความโกลาหลวุ่นวายเล็กๆ ก็ดูเหมือนจะเกิดขึ้น ณ บัดนั้น เริ่มจากลุงแช่มคนสวนประจำบ้านแบกบันไดออกมาเป็นคนแรก โดยมีป้าสายผู้ภรรยา วิ่งอุ้ยอ้ายตามมา ปิดท้ายขบวนด้วยอุ๊กับข้าวฟ่าง ซึ่งเป็นห่วงเจ้านายรูปหล่อเป็นที่ยิ่ง
“เอาไปพาดระเบียงเร็วเข้า เดี๋ยวชั้นปีนเอง” พสิฐออกคำสั่ง
“ไหวหรือคะ คุณผู้ชาย” ป้าสายแม่ครัวใหญ่ประจำบ้านทักท้วงขึ้น
“นั่นสิครับ ให้ผมปีนเถอะ” ลุงแช่มเสนอตัว
“ชั้นปีนแหละดีแล้ว ดีกว่านายแช่มนะ ขาแข้งยังดีอยู่ ไม่เป็นไรหรอก” พสิฐบอก
“ระวังหน่อยนะคุณ” ยุพเยาว์บอกสามี
พสิฐเริ่มไต่บันไดขึ้นไป โดยทุกคนที่อยู่ข้างล่างต่างมารุมล้อมกันยึดบันไดไว้ไม่ให้โคลงเคลง เมื่อถึงชั้นสอง พสิฐก็ตบประตูระเบียงห้องนอนสาวิตรแล้วร้องเรียกเต็มเสียง
สาวิตรลืมตาขึ้น เครื่องปรับอากาศในห้องยังคงให้ความเย็นฉ่ำ ไม่อยากตื่นเลยให้ตาย ภาพที่เห็นเมื่อคืนมันทำให้เหนื่อยลึกเข้าไปข้างใน แต่เสียงเรียกของผู้เป็นอาที่ด้านนอกระเบียงทำให้เขาต้องรีบลุกขึ้นจากเตียง มันเกิดอะไรขึ้นหรือ อาจึงมาเรียกถึงบนนี้
สาวิตรเปิดประตูระเบียง จึงได้เห็นหน้าตาตื่นของผู้เป็นอาที่ยืนอยู่ข้างนอกอย่างเต็มตา
“วิตร เป็นอะไรหรือเปล่า” อาของเขาถามขึ้น
“เปล่าครับ แค่หลับเพลินไปหน่อย” พูดพลางก็สางผมยุ่งๆ ให้เข้าที่ แล้วก็เบี่ยงตัวให้พสิฐเดินมาด้านใน
“วันหลังอย่าตื่นสาย เอ๊ย เที่ยงอีกนะ เล่นเอาทุกคนพาลจะหัวใจวายกันหมด” พสิฐพูดแล้วหัวเราะ ทำให้สาวิตรต้องพลอยยิ้มไปด้วย
“เดี๋ยวอาขอลงบันไดนะ ไม่ไต่กลับลงไปแล้ว”
ยามนั้นสายตาของพสิฐกวาดมองไปทางหัวเตียง พลันได้เห็นภาพร่างของบุรุษหนึ่งอยู่บนขาตั้งวาดภาพ เป็นภาพลายเส้นครึ่งตัวของชายใบหน้าคมเข้ม สวมกำไลต้นแขน เกล้าผมสูง สวมกรอบตรงหน้าผาก เขาเองรู้มานานแล้วว่าสาวิตรรักการวาดภาพ แต่ภาพที่เห็นครานี้ ดูไม่น่าที่เด็กหนุ่มซึ่งเติบโตที่เมืองนอกอย่างสาวิตรจะวาดออกมาได้ ที่สำคัญ กระแสบางอย่างที่กระจายออกมาจากภาพนั้น ทำให้พสิฐเกิดอาการปิติเข้าไปถึงใจ
สาวิตรได้แต่ทำหน้าเก้อเขิน
“ผมวาดรูปนี้อยู่น่ะครับ วาดจนเพลิน กว่าจะนอนก็ฟ้าสว่างแล้ว แต่ก็ยังไม่เสร็จนะครับ ต้องขอโทษคุณอาและทุกคนด้วยนะครับ ที่ทำให้ตกใจกันไปหมด”
“ไม่เป็นไรหรอก แต่วิตรวาดรูปนี้ได้ยังไงหรือ”
“เอ้อ” สาวิตรอึ้งไปครู่หนึ่ง ด้วยกำลังนึกถึงเหตุผลที่ดีที่สุด เพราะยังไม่กล้าบอกว่า เขาวาดรูปนี้จากฝันของตัวเองล้วนๆ จากการมาปรากฏพระองค์ให้เขาพบเห็นและใกล้ชิดของ “พ่อขุนบางกลางหาว” ถึงจะเป็นความจริงก็ตามทีเถอะ แต่หากบอกออกไป อาของเขาจะยอมเชื่อล่ะหรือ ในโลกนี้ จะมีใครสักกี่คนกันที่จะยอมเชื่อว่าเรื่องมหัศจรรย์พันลึกนี้เกิดขึ้นกับตัวเขาจริงๆ
“ผมจินตนาการขึ้นมาครับ” ในที่สุดก็สรรหาคำตอบได้อย่างรวดเร็ว
“เก่งมากเลยหลาน นี่เหมือนพระมหากษัตริย์โบราณของเราเลยนะ อาก็ไม่รู้หรอกว่าพระองค์ไหน ดูจากเครื่องแต่งตัวที่หลานวาดเอา”
“เอ้อ ขอบคุณครับ”
“เดี๋ยวรีบลงไปกินข้าวดีกว่านะวิตร เที่ยงแล้วคงหิวแย่” พสิฐพูดจบก็เดินลงบันไดไป
สาวิตรกินอาหารกลางวันร่วมกับอาและอาสะใภ้อย่างเงียบๆ เงียบจนอาสะใภ้ตั้งข้อสังเกตหลังจากสาวิตรขอตัวจากโต๊ะอาหารกลับไปที่บ้าน
“วันนี้ตาวิตรดูเงียบไปนะ ไม่รู้มีอะไรในใจหรือเปล่า เมื่อเช้าก็ทำเอาเราตกอกตกใจกันไปทีหนึ่งแล้ว คุณลองถามดูดีไหมคะ” ยุพเยาว์พูดขึ้น
“ผมว่าดูไปอีกสักพักดีกว่ามั้ง ถ้ามีอะไรไม่สบายใจจริงๆ ก็จะลองเลียบๆ เคียงๆ คุยดู จะได้ช่วยกัน วันนี้เขาอาจจะกำลังใช้ความคิดอะไรอยู่ก็ได้” ตอบออกไปแบบนี้ แต่พสิฐก็แอบกังวลเล็กๆ อยู่เหมือนกัน
ตกเย็นวันนั้น สาวิตรซ้อมดาบกับพสิฐอีกเช่นเคย ความหนักหน่วงของดาบหวายที่ฟาดลงมาแต่ละครั้ง ทำให้พสิฐต้องขอหยุดพักหลังจากที่ซ้อมกันได้ไม่นาน เขาสงสัย แต่ก็ยังไม่สามารถล่วงรู้ลงไปถึงใจของหลานชายที่กำลังตึงเครียดกับภาพที่ได้เห็นแต่เพียงผู้เดียวในยามราตรีกาลที่ผ่านมา
อุ๊ยกน้ำมะพร้าวเย็นๆ มาเสิร์ฟสองอาหลานที่นั่งพักอยู่ที่ม้าหินข้างสนาม พอดีกับที่นาถนพินขี่รถบิ๊กไบค์คันงามเข้ามาจอดใกล้ๆ คนทั้งสอง พสิฐเห็นก็ร้องทักลูกสาวขึ้น
“ซ่อมเสร็จแล้วหรือ”
“ค่ะ เมื่อตอนบ่าย หนูรีบขับรถกลับจากที่ทำงานเข้ามา ไม่เห็นใครสักคน แล้วก็เลยออกไปเอารถนี่กลับมา เป็นไงมั่งคะพี่วิตร” นาถนพินหันไปถามผู้เป็นญาติ
“สวยดี” สาวิตรมองอย่างสนใจ “ขี่มานานหรือยัง พิน” เพิ่งรู้ว่าน้องสาวคนนี้เป็นสาวสตรองไม่เบา
“หนูหัดขี่มาตั้งแต่ยังไม่จบมหาวิทยาลัยค่ะ คันนี้พ่อซื้อให้เป็นของขวัญไม่นาน หนูเอาไปออกทริปกับเพื่อนๆ หลายครั้งแล้ว พี่วิตรสนใจไหมคะ”
“สนใจนะ เพื่อนเคยให้ลองขี่ตอนอยู่ซิดนีย์มาสัก 2-3 ครั้ง ตอนนี้ถ้าจะขี่คงต้องปัดฝุ่น”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนูแนะนำให้ รับรองแป๊บเดียวคล่อง แล้วก็ยืมคันนี้ไปก่อนได้นะคะ ถ้าอยากขี่ เดี๋ยวหนูไปหาหมวกกันน็อคใบโตๆ มาให้ ของหนูมันเล็ก พี่วิตรไม่น่าใส่ได้นะ แล้วก็พวกเสื้อ ถุงมืออะไรด้วย ถ้าเกิดชอบ ก็ออกสักคันเลย”
“ขอบใจมากเลย ดีเหมือนกัน” สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่บิ๊กไบค์คันงามของนาถนพิน
เมื่อเห็นสาวิตรมีทีท่าผ่อนคลายขึ้น พสิฐจึงส่งยิ้มให้ลูกสาวอย่างนึกดีใจที่มาเป็นตัวช่วยให้หลานชายดูตึงเครียดน้อยลง
ผ่านไปอีกสี่วัน สาวิตรก็ยังไม่มีโอกาสเห็นภาพในความฝัน เขาพยายามทำสมาธิให้จิตนิ่ง แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนเขานึกหงุดหงิด พอคืนที่ห้า หลังจากเหนื่อยล้าเพราะอดนอน ภาพแห่งความฝัน ก็ปรากฏขึ้นในมโนสำนึก...
มิ่งเดินตามแม่หญิงแสนดุไปเงียบๆ นานจนตะวันใกล้ตรงศีรษะ ขาของชายหนุ่มอ่อนล้าเต็มที ท้องก็ร้องเสียจนคนที่เดินใกล้ได้ยิน นางหันมา นัยน์ตานั้นเป็นประกายขึ้นมาแวบหนึ่ง บ่งบอกให้รู้ว่า ริมฝีปากที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมหน้านั้น คงจะเหยียดยิ้ม
“นี่ท้องท่านร้องดังปานนี้เชียวรึ” เสียงเล็กๆ พูดขึ้น ทำเอามิ่งชักเขิน
“ก็ข้าหิวนี่ ไม่ได้กินข้าวมาตั้งแต่วานแล้ว” มิ่งพูดเสียงอ่อย
“อดทนอีกนิดได้ฤาไม่ เลยไปอีกนิด ก็จะมีอาหารประทังชีวิตเจ้าแล้ว”
มิ่งเริ่มใจชื้น ถึงเขาจะด้อยฝีมือเพียงใด แต่เรื่องความอดทนนี้ ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับตัวเขาเลย
“ได้” มิ่งตอบออกไปสั้นๆ ขณะที่รู้สึกแสบไส้เต็มที
หญิงสาวเดินนำเขาต่อไป เพียงอีกไม่นาน ก็ไปถึงสวนกล้วยของชาวบ้านแถวนั้น ซึ่งหลายต้นมีเครือเหลืองสะพรั่ง นางชี้มือไปที่ต้นหนึ่ง ซึ่งออกลูกเหลืองอวบน่ากิน มิ่งกลืนน้ำลาย แม่หญิงจอมดุชี้มือไปที่กล้วยเครือนั้น
“นี่อย่างไร อาหารของท่านแลของข้า ไปจับไว้นะ เดี๋ยวข้าจัดการให้”
มิ่งเข้าไปประคองเครือกล้วยตามคำบอกของหญิงสาว นางชักดาบคู่ใจออกมาแล้วฟันฉับเดียว กล้วยทั้งเครือก็หลุดออกจากต้น น้ำหนักของมันทำให้มิ่งประคองไว้แทบไม่ไหว ร่างเขาเซเล็กน้อย
“แค่นี้ เข่าเจ้าก็จักทรุดแล้วฤา เห็นทีเจ้าต้องฝึกมิได้หลับมิได้นอนเป็นแน่”
มิ่งมองหญิงสาว ท่าทีของนางดูอ่อนโยนขึ้นกว่าตอนแรก แววตาที่โผล่พ้นผ้าคลุมหน้านั้น บ่งบอกว่านางกำลังยิ้ม และดวงตาคู่นั้นก็งามจนมิ่งเผลอจ้องตรงๆ หญิงสาวหลบดวงตาซื่อคู่นั้น มือที่ถือดาบรีบจับเครือกล้วยแล้วตัดออกมา 3 หวี ยื่นให้มิ่งไป 2 หวี
มิ่งรับกล้วยทั้งสองหวีนั้นมาปลิดลูกออก ปอกเปลือกอย่างว่องไว แล้วรีบใส่ปากเคี้ยว ดูเหมือนวันนี้ กล้วยทั้งสองหวีนั้นจะรสชาติโอชาเป็นพิเศษ หญิงสาวหันมามองเขา
“ท่านกินเข้าไปอย่างไร ตั้ง 2 หวี ข้ากิน 4 ลูกก็อิ่มแล้ว” นางถาม
“ข้าหิวมากมาย ปานจะกลืนวัวเข้าไปได้ทั้งตัว ยามนี้”
ประกายตาบนใบหน้าบอกว่านางกำลังยิ้มอีก มิ่งเผลอมองอีกครั้ง คราวนี้นางยกดาบขึ้นจ่อที่หน้าของมิ่ง
“มองอันใด อยากรู้ว่าดาบของข้าคมแค่ไหน ใช่ฤาไม่” นางถาม แต่กลับรีบหลบดวงตาซื่อของมิ่งคู่นั้น
“เอ่อ หามิได้”
“ข้ามิใจร้าย แต่ท่านก็ทำรุ่มร่ามกับข้ามิได้นะ”
“เอ่อ ขอรับ”
ทั้งสองเงียบไปครู่ ก่อนหญิงสาวจะถามขึ้นว่า
“ท่านมิได้ร่ำเรียนอาวุธ แล้วแต่ละวัน ทำอันใด”
“ข้าก็ทำนาทำไร่ เลี้ยงดูปู่กับย่าแล้วก็นางแม้น น้องสาว ชีวิตของข้าก็มีอยู่เพียงนี้ แต่ข้าก็พอใจแลสุขใจที่ได้อยู่เงียบๆ มิต้องต่อตีกับผู้ใด”
“มิเหมือนข้า” หญิงสาวพูดขึ้น “ข้าต้องฝึกอาวุธตั้งแต่เล็กแต่น้อย มิได้มีโอกาสเล่นเยี่ยงเด็กทั้งหลาย แต่ข้าก็มิได้ทุกข์ใจอันใด พ่อเลี้ยงข้ามาเยี่ยงนั้น เพราะข้าเองก็กำพร้าแม่”
มิ่งหันมามองหญิงสาว รู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ได้ยินเช่นนั้น แต่ไม่กล้าจ้องอีก นางเองก็มิได้มีทีท่าทุกข์ร้อนจริงตามคำพูด นางถามต่อ
“เจ้าจักไปเรือนพ่อครูพัน รู้จักใครที่เรือนนั้นฤาไม่”
“มิมีดอก มีแต่พี่ขามบอกว่าจักพาไปหาพี่ขาบ พี่สาวที่อาศัยพ่อครูอยู่ แต่ข้าก็มิเคยปะนางดอก” มิ่งตอบ
“กระนั้นฤา ข้ารู้จักพี่ขาบดี นางเลี้ยงดูข้ามาแต่น้อย ข้านี่แหละ ลูกสาวพ่อครูพัน”
มิ่งเบิกตากว้าง จริงหรือนี่ อย่างน้อยในความโชคร้ายของเขา ก็ยังพอมีโชคดีอยู่บ้าง เขาไม่ต้องไปเที่ยวเสาะหาเรือนพ่อครูพัน ที่พึ่งในยามนี้ของเขาอีกแล้ว
“นับว่า ข้ายังมีโชคอยู่ ถ้าเช่นนั้น ท่านพอจักบอกข้าได้ไหม ว่าท่านมีนามว่ากระไร”
“ข้าชื่อปราง” คราวนี้นางตอบโดยไม่ท่าทีขัดข้องอีก
ปรางหรือ มิ่งรู้สึกว่าชื่อนี้ช่างเพราะเสียนี้กระไร และเขาก็เริ่มรู้สึกกล้าขึ้น เมื่อเห็นว่า นางถอดคราบดุดันออกไปมากแล้ว จึงถามต่อว่า
“ท่านอย่าได้ขึ้งเคียดข้าเลยหนา หากเป็นการรุ่มร่าม ข้าก็ขอขมา เหตุใดท่านต้องปกคลุมดวงหน้าเยี่ยงนี้ ขอให้ข้าได้เห็นดวงหน้าของผู้ที่ช่วยชีวิตข้าได้ฤาไม่”
มิ่งมองนาง นางเบือนหน้าหลบสายตาคู่นั้น ความคุ้นเคยที่เกิดขึ้นจากการเดินทางร่วมกัน ทำให้นางยอมปลดผ้าคลุมหน้าออก เมื่อถูกขอร้องในคราวนี้ ดวงหน้านั้นแม้จะดูมันด้วยเหงื่อ แต่ก็ช่างงดงามนัก
“ท่านช่างงดงามเสียจริง เหตุใดจึงต้องปิดบังใบหน้าด้วยเล่า”
คำชมซื่อๆ นั้น ทำให้ความอิ่มเอมพลุ่งขึ้นในใจหญิงสาวแวบหนึ่ง แม้ที่ผ่านมานางไม่รู้สึกอันใดมานานหนักหนาแล้ว อาจด้วยความชินชาที่ได้รับเสียงชมอยู่ตลอดเวลา
“ข้าเบื่อหน่าย มิอยากให้ใครเห็นโฉมหน้า เวลาไปแห่งหนใด เพราะถึงข้าจักมีกำลังต่อตีกับไอ้ขอมได้ก็จริง แต่ก็มิเห็นควรว่าจักต่อตีกับพวกมันร่ำไป ข้าเคยมิปิดบังใบหน้ามาก่อน พวกมันล้วนแต่หวังแทะโลม จนข้ามิได้เป็นสุข ข้าเห็นแต่ว่ารูปสวยเป็นภัยเพียงนั้น”
ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นในใจของมิ่ง แต่สำหรับสาวิตรที่ลืมตาตื่นแล้ว เขาได้แต่รำพึงด้วยความสุขอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...
” พบแล้ว พบแล้วจริงๆ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น