บทที่ 9 ณ เรือนพ่อครูพัน


บทที่ 9

ยามนี้สาวิตรมีแต่เฝ้าคอยเวลาค่ำคืนให้มาถึง และรีบปิดไฟเข้านอนโดยไว เพื่อจะย้อนกลับสู่อดีต ไปพบคนที่รอคอยมานาน จนนาถนพินล้อเลียนอยู่บ่อยๆ ว่า “เป็นเด็กอนามัยเสียจริง พี่เรา”

“แหม เป็นคนรุ่นใหม่ยังไงคะ โซเชียลไม่สน ยูทูปไม่ดู ปิดไฟนอนแต่หัวค่ำลูกเดียว ไม่โทรไปคุยกับพี่เข็มบ้างเหรอ ตอนกลางคืนน่ะ เดี๋ยวพี่เขาเหงาแย่เลย” พูดแล้วก็ยิ้มจนตาหยี

“ไม่ต้องหรอก เข็มเขานอนหัวค่ำเหมือนกัน ต้องนอนให้ได้แปดชั่วโมงขึ้นไปน่ะ ตื่นขึ้นมาจะได้สดชื่น เขารักษาสุขภาพมากอยู่นะ” สาวิตรตอบผู้เป็นญาติ

แต่ที่จริงหลายคืนแล้วที่ปรางนวลพยายามโทรมาหาเขา หากสัญญาณปลายสายบอกว่า ทางโน้นปิดเครื่องไปแล้ว

ปรางนวลวางสายอย่างหงุดหงิด ทำไมนะเวลาที่เธออยากคุยกับสาวิตรตอนค่ำ ถึงไม่เคยมีโอกาสเลย เหตุใดสาวิตรถึงเปลี่ยนแปลงไปมากมายขนาดนี้ สมัยอยู่ซิดนีย์ บางคืนยังโทรคุยกันเป็นชั่วโมง พอมาอยู่ที่นี่ เขาอยากพักผ่อนหรือเธอหมดความสำคัญสำหรับเขาแล้วกันแน่


สุดท้ายเธอก็หยิบโทรศัพท์มาดูโซเชียลบ้าง ดูวิดีโอไปเรื่อยเปื่อยบ้าง เพราะไม่อยากจมอยู่กับความคิดตัวเอง จนเริ่มง่วงและหลับไปในที่สุด

ฟากสาวิตร ยามนี้เขาเอนกายลงในห้องพระและพยายามผ่อนคลาย เพื่อได้เห็นภาพและรับรู้เรื่องราวที่ปรารถนาจะรู้ แต่เสียงๆ หนึ่งก็ดังขึ้นมาในห้วงสำนึก

“อย่าเพิ่งหลับสิเจ้า วาดภาพของข้าให้เสร็จสิ้นเสียก่อน มันจักเป็นคุณต่องานของเจ้าอย่างยิ่ง”

เสียงของ “ท่าน” นั่นเอง สาวิตรยังคงหลับตาและพยายามเพิกเฉย เพราะความสนใจยามนี้อยู่ที่เรื่องราวในอดีตเท่านั้น

“เจ้าหลับมิลงดอก ถ้าข้ามิเชื่อมต่อให้ แม้นการรู้เรื่องราวในอดีต สำคัญสำหรับเจ้ามาก การวาดภาพของข้าให้เสร็จก็สำคัญยิ่งเช่นกัน”

สาวิตรรู้สึกขัดใจเล็กน้อย แต่ก็ยอมลุกขึ้นเปิดไฟ เดินกลับไปห้องนอน หยิบดินสอและสีออกมา วาดภาพพระองค์ท่านตามที่เห็นในจิตอย่างชัดเจนออกมาจนสำเร็จเมื่อดึกมากแล้ว เขาเพ่งพิศมองผลงานตัวเองอย่างพึงพอใจ

“เอาไอ้แผ่นสี่เหลี่ยมของเจ้า บันทึกภาพนี้เอาไว้ด้วย”

สาวิตรนึกขำ แม้ว่าจะได้ยินพระองค์ท่านตรัสถึง “ไอ้แผ่นสี่เหลี่ยม” นี้มาครั้งหนึ่งแล้ว เขาหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างเตียงออกมาเปิดเครื่อง แล้วถ่ายภาพวาดของตัวเองเก็บไว้

ในห้วงสำนึกนั้น เขาเห็นพระองค์ท่านทรงแย้มสรวล

“ถึงตอนนี้ ผมนอนได้แล้วนะครับ” พูดจบก็ทิ้งตัวลงนอนและหลับลงอย่างเหนื่อยอ่อน แต่ก็ไร้ความฝันที่เจ้าตัวจดจ่ออยู่เป็นหนักหนา

....

ภายนอกหน้าต่างนั้น ท้องฟ้าสีดำคล้ำเริ่มจางลง...สาวิตรลืมตาขึ้น เช้าแล้วสิ คืนนี้ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรเลย กำลังอยากรู้ว่า มิ่งจะเดินทางไปถึงไหนกันหนอ แล้วผู้หญิงในฝันคนนั้นล่ะ เธอจะดีกับมิ่งไหมนะ สาวิตรยิ้ม แค่คิดถึงสาวที่ชื่อ “ปราง” เขาก็มีความสุขนักหนาแล้ว

เธอชื่อปราง เข็มก็ชื่อปรางนวล...แปลกดีเหมือนกัน

สาวิตรเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมา เมื่อสังเกตเห็นเครื่องหมายไม่ได้รับสาย เขาจึงเปิดดูและเห็นว่าเป็นสายของปรางนวลเช่นเคย...นี่ต่างหาก ผู้หญิงในโลกความจริงของเขา วันนี้เขากดโทรกลับไปหาเธอแต่เช้า หลังจากที่ทำเพิกเฉยอยู่ตลอด และปรางนวลก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องที่โทรไปหาเขาตอนค่ำแล้วติดต่อไม่ได้นี้เลย เพราะความเกรงจะเสียน้ำใจต่อกัน แม้ว่าทั้งสองจะติดต่อกันอยู่ตลอดก็ตาม

“ฮัลโหล วันนี้ตื่นแล้วหรือคะพี่วิตร” ปรางนวลทักเข้ามาในสาย โดยกล้ำกลืนคำถามมากมายเอาไว้ในอก...ทำไมพี่วิตรปิดเครื่องแต่หัวค่ำ...ทำไมไม่ยอมคุยกับเข็มเลยตอนกลางคืน...เธออยากถามเขาจริงๆ แต่สิ่งที่ทำก็คือเงียบเช่นเดิม

“พี่ต้องขอโทษด้วยนะที่ปิดเครื่อง เลยไม่ได้คุยกับเข็ม” สาวิตรตอบกลับไปราวกับหยั่งรู้ลงไปในหัวใจของปรางนวล..

“เอ้อ คือ ตอนนี้พี่ง่วงไวน่ะ รู้สึกอยากนอนแต่หัวค่ำ ก็เลยปิดเครื่องแล้วพัก”

“ไม่เป็นไรค่ะ” ตอบออกไปอย่างนั้น ทั้งที่ความจริงมัน “เป็นอะไร” มากมาย

สาวิตรรู้สึกผิดเล็กน้อยในใจที่ดูเหมือนจะใส่ใจคนรักน้อยลง เขาเลยคิดจะทดแทนเธอบ้าง

“บ่ายวันนี้ เข็มว่างไหมครับ ถ้าว่าง เราไปดูหนังกัน” สาวิตรเอ่ยชื่อหนังแฟนตาซีที่มีคนตั้งตาคอยกันทั่วโลก และมาเข้าฉายที่เมืองไทยได้สองสามวันแล้ว

เพียงประโยคนี้เท่านั้น ปรางนวลรู้สึกเหมือนโลกจะยิ้มกับเธอขึ้นมาทันที มันแปลว่าสาวิตรยังใส่ใจเธออยู่

“เป็นช่วงค่ำได้ไหมคะ บ่ายๆ เข็มจะไปธุระกับแม่”

ค่ำหรือ..สาวิตรเงียบไป เขาจะสูญเสียโอกาสรับรู้เรื่องราวในอดีตที่ปรารถนาอีกคืนหนึ่งหรือ เพราะกว่าหนังจะเลิกก็คงดึก กว่าจะกลับถึงบ้านอีกเล่า..

“ว่าไงคะ พี่วิตร”

“เอ้อ ก็ได้ครับ งั้นเราเจอกันตอนเย็นเลย หาข้าวกินกันเสียก่อนแล้วค่อยดูหนัง”

สาวิตรนัดปรางนวลที่ศูนย์การค้าใหญ่ไม่ไกลจากบ้านของเธอมากนัก ปรางนวลวางสายไปแล้วพร้อมรอยยิ้ม ขณะที่สาวิตรนึกว่า อยากให้เวลาพบกันนั้น เป็นช่วงบ่าย ไม่ใช่ค่ำ แต่มันก็ไม่เป็นดังใจแล้วจริงๆ

...

ศาสตราจารย์วิรุฬห์ยังคงแวะเวียนมาเยี่ยมพี่สาวพี่เขยเช่นเคย วันนี้เมื่อสาวิตรเดินไปบ้านของอาเพื่อกินอาหารมื้อกลางวันตามปกติ เขาได้ยินเสียงของผู้สูงวัยทั้งสาม หัวเราะเฮฮาประสานเสียงกันออกมานอกบ้าน ตอนที่เขาเดินไปถึง และในวงสนทนา ศาสตราจารย์วิรุฬห์ก็ยังคงถามคำถามเดิม

“ตัดสินใจหรือยัง วิตร เรื่องไปเข้าโครงการกับอาน่ะ อาจะเริ่มไปทำที่อยุธยาก่อน เราจะไปอยู่อยุธยากันเลยพักนึง อามีที่พักพร้อม เป็นโรงแรม บรรยากาศดีมาก ถ้าสำเร็จ วิตรอาจจะได้ท่องเที่ยวไปในอดีตเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว ฟรีด้วยนะ”

สาวิตรอยากตอบว่า เวลานี้เขาก็แทบจะเรียกว่าได้กลับไปท่องอดีตแล้ว และเมื่อได้ยินคำว่าอยุธยา มันก็ไม่ได้อยู่ในความสนใจของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว แต่สิ่งที่ตอบออกไปก็มีเพียง

“ยังไม่ตัดสินใจอะครับ อา” พร้อมรอยยิ้มเจื่อนๆ

“ทำไมละ โอกาสอย่างนี้มันหาไม่ได้ง่ายๆ นะ อาจจะเป็นครั้งเดียวในชีวิตนั่นเลย เอ หรือว่าเป็นห่วงหนูเข็ม ใกล้แค่นี้ วันไหนว่าง ก็โทรชวนหนูเข็มไปด้วยเลย หรือจะกลับมากรุงเทพบ่อยๆ ก็ได้”

สาวิตรได้แต่ยิ้ม ขณะที่ผู้สูงวัยกว่าพูดต่อ

“หนูเข็มนี้ อาเห็นหน้าแล้ว รู้สึกเอ็นดูเหมือนลูกสาวจริงๆ แต่แกดูเหมือนจะกลัวๆ ไม่อยากคุยกับอายังไงก็ไม่รู้”

“คงยังไม่ค่อยคุ้นเคยกันน่ะครับ ต่อไปถ้าเจอกันบ่อย คงคุยกับอาได้มากขึ้น” สาวิตรตอบ แต่ใจนั้นรู้ดีว่า ปรางนวลรู้สึกแปลกๆ กับโครงการของศาสตราจารย์วิรุฬห์และกลัวเขาจะตอบตกลงตามที่ผู้สูงวัยกว่าชักชวนนั่นต่างหาก

“หน้านายมันดูไม่น่าไว้ใจละมั้ง” ยุพเยาว์พูดขึ้นบ้าง

“แหม คุณพี่ครับ ผมไม่เคยมีเขี้ยวเล็บเรื่องผู้หญิงเลย คุณพี่ก็รู้”

“แค่ไม่มีน้ำยา แค่นั้นแหละ เลยไม่มีลูกของตัวเองสักคน” อาพสิฐเสริมขึ้นบ้าง

“ซ้ำเติมกันจริงๆ” ศาสตราจารย์วิรุฬห์เอ่ยพร้อมส่ายหน้า

“ชั้นก็ไม่ได้มีน้ำยามากกว่านายสักเท่าไหร่หรอก เลยมีลูกสาวได้คนเดียว นี่ถ้าชั้นมีลูกหลายคนสักหน่อย คงยกให้นายสักคนแล้ว” พสิฐกล่าว

วงสนทนายังคงดำเนินต่อไปอย่างคนที่คุยถูกคอกัน แต่สาวิตรขอตัวออกมาก่อน เพราะสถานที่นัดไว้กับคนรัก ห่างไกลจากบ้านเขามากพอควร แถมยังต้องฝ่าดงจราจรที่หนาแน่นมิใช่เบาเลย

....

สาวิตรมาถึงจุดนัดหมายก่อนปรางนวล เขาจึงเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวนั้น สักพักใหญ่ๆ คู่รักของเขาก็มา ดวงหน้าสวยงามที่แต่งอย่างอ่อนๆ นั้น ส่งรอยยิ้มกว้างทันทีเมื่อแลเห็นเขา บ่งบอกถึงความสุขใจที่มีโอกาสได้ใช้ช่วงเวลาดีๆ ด้วยกันอีกครั้ง

ทั้งคู่เข้าไปรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน ในร้านที่เลือกแล้วว่ามีคนพลุกพล่านน้อยที่สุด หลังจากนั้นจึงเข้าไปชมภาพยนตร์ตามที่ปรางนวลได้จองตั๋วไว้

หนังสนุกจริงตามคำร่ำลือ ทำให้สาวิตรพอจะลืมการสูญเสียเวลาสำคัญในค่ำคืนได้บ้าง เมื่อหนังเลิก ปรางนวลเสนอตัวจะขับรถไปส่งเขาที่บ้าน แต่สาวิตรปฏิเสธ จะขอนั่งแท้กซี่กลับเองอย่างขามา เพราะบ้านเขาอยู่ไกลมากถึงนนทบุรี จึงรู้สึกเป็นห่วงถ้าคู่รักจะต้องขับรถกลับบ้านไปคนเดียวในยามดึกเช่นนี้

“เข็มไปค้างบ้านพี่วิตรแล้วกลับพรุ่งนี้เช้าได้ค่ะ” ปรางนวลแกล้งลองใจชายคนรัก

“เอ้อ อย่าเพิ่งเลย ตอนนี้บ้านพี่ไม่ค่อยเรียบร้อยน่ะ” สาวิตรตอบอย่างไม่เต็มเสียงนัก ในใจรู้สึกตระหนกอยู่ที่คู่รักเอ่ยออกมาเช่นนั้น

ความรู้สึกบางอย่างพลุ่งขึ้นมาในใจของปรางนวล คู่รักของเธอเติบโตขึ้นมาในเมืองนอก การค้างคืนอยู่ด้วยกันของชายหญิงนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดามาก แต่สาวิตรกลับปฏิเสธโอกาสที่เธอหยิบยื่นให้ นี่มันอะไรกัน เขาเป็นสุภาพบุรุษแบบชายไทยแท้จริงๆ หรือ...หรือเขามิได้ปรารถนาในตัวเธอกัน...

“ถ้างั้นก็ตามใจพี่วิตรค่ะ เราแยกกันตรงนี้นะคะ ราตรีสวัสดิ์” เธอกล้ำกลืนความรู้สึกลงไป แล้วตอบออกไปเพียงนั้น

“ให้พี่เดินไปส่งที่ลานจอดรถดีกว่า แล้วค่อยแยกกันไป พี่เป็นห่วงนะ”

“ค่ะ” ตอบออกไปแล้ว สาวิตรก็เดินตามไปส่งเธออย่างเงียบๆ เมื่อถึงรถของเธอ เขาก็กุมมือปรางนวลไว้ จุ๊บหน้าผากเบาๆ แล้วบอกว่า

“เดินทางปลอดภัย นอนหลับฝันดี แล้วเจอกันใหม่นะครับ”

“ค่ะ พี่วิตร”

ถึงหัวใจจะชุ่มฉ่ำขึ้นมาบ้าง ที่สาวิตรยังคงแสดงออกว่าห่วงใยเธอเช่นเดิม แต่ความคลางแคลงใจของปรางนวลนั้นมิได้คลายลงเลย เธอมองตามร่างของสาวิตรที่เดินแยกออกจากลานจอดรถไปอย่างเงียบๆ

.....

สาวิตรทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างอ่อนเพลีย เขาหลับไปเมื่อใดไม่รู้ แต่แล้วที่สุด เขาก็กลับไปอยู่ในโลกของมิ่งอีกครั้ง..

มิ่งเดินลัดเลาะตามแม่หญิงจอมดุที่ชื่อปรางจนผ่านเข้าไปในหุบเขา นางหันมาบอกกับเขาว่า “บ้านข้าอยู่หมู่บ้านในหุบเขานี่แหละเจ้า”

ท่าทีของนางดูผ่อนคลายมากขึ้น มิ่งจึงกล้าเอ่ยขึ้นว่า “อยู่ที่นี่คงพ้นหูพ้นตาพวกขอมนะท่าน”

“ถูกแล้ว หมู่บ้านของเรามีเขาล้อมรอบทุกด้าน มันเข้ามาได้มิง่าย พวกมันที่รุกล้ำเข้ามา ก็เอาชีวิตเซ่นคมดาบพวกข้าไปนักต่อนัก กลางหมู่บ้านเรามีลำน้ำไหลผ่าน ร่มรื่นนัก เดินอีกชั่วครู่ก็จักถึงเรือนข้าแล้ว”

ในที่สุด มิ่งก็มาถึงเรือนหลังใหญ่ริมแม่น้ำ รายรอบนั้นมีเรือนหลังเล็กปลูกอยู่อีกหลายหลัง ที่ลานกว้างหน้าเรือน มิ่งเห็นภาพที่คุ้นตามาแต่เยาว์วัย...ภาพการซ้อมอาวุธ ซ้อมมวยของผู้คนจำนวนมาก เช่นเดียวกับบ้านปู่ของเขา โดยมีชายวัยกลางคนนั่งชมอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ ที่หน้าแคร่นั้นมีชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขา 3 คนนั่งอยู่บนพื้น

“นั่นแม่ปรางพาใครมาด้วยฤา” ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นเมื่อเขาและปรางเดินเข้าไปใกล้แล้ว

“คนไทยด้วยกันจ้ะพ่อ ข้าเจอเขาระหว่างทาง กำลังโดนพวกขอมกุมเหงจนแทบเอาชีวิตไม่รอด” นางตอบ

“เจ้าแน่ใจนะ ว่ามิได้พาไอ้ขอมแอบเข้ามาปะปนสืบความลับพวกเรา” ชายกลางคนเอ่ยขึ้นพลางมองมิ่งอย่างเพ่งพินิจ

ยังไม่ทันที่ปรางจะเอ่ยตอบประการใด หนึ่งในชายสามคนที่นั่งอยู่บนพื้นก็ลุกขึ้นอย่างฉับไว หยิบดาบใกล้ตัวเอามาพาดคอมิ่ง เขาผงะด้วยความตระหนก

“หยุดนะ พี่ริด ทำสิ่งใด เกรงอกเกรงใจข้าบ้าง” ปรางร้องขึ้น ทำให้ชายที่ชื่อริดเก็บดาบและถอยกลับลงไปนั่งบนพื้นตามเดิม

“ไอ้ริด เอ็งมิบังควรทำเกินคำสั่งข้า” ชายที่นั่งบนแคร่สำทับ จนริดยกมือไหว้ “ขอขมาเถอะ พ่อครู ข้าเกรงมันจะเป็นภัยกับพวกเราขอรับ”

“เขาจักเป็นภัยกับเราอย่างใด ก็ข้านี่เองแหละที่เห็นกับตา ว่าเขาโดนพวกขอมรุมทำร้าย และข้าก็ช่วยเขามากับมือ” ปรางพูดเสียงดัง

ชายที่ชื่อริดสีหน้าเจื่อนลง ปรางหันไปทางชายอีกคนหนึ่งซึ่งหน้าตาคล้ายกัน

“พี่เลื่องช่วยหาน้ำมาให้ข้ากับเขาสักจอกหนึ่งเถิด” ชายชื่อเลื่องเหลือบมองมาทางมิ่งอย่างไม่ต้องชะตาแวบหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นไปหลังเรือน และยกน้ำออกมาสองขัน ส่งให้คนทั้งคู่

มิ่งและปรางต่างดื่มน้ำนั้นอย่างกระหาย

“ข้าขอบใจพี่เลื่องมาก”

“มิเป็นไรดอก แม่ปราง”

“เรื่องที่ข้าให้ไปจัดการนั้นเรียบร้อยดีนะแม่ปราง” พ่อครูพันถามลูกสาว

“เจ้าค่ะพ่อ” ปรางตอบ

“แล้วเจ้าไปเจอไอ้หนุ่มนี่ได้อย่างไรฤา”

“ข้าเจอระหว่างทางกลับเรือนจ้ะพ่อ กำลังโดนไอ้พวกขอมรุม หมายสังหารอยู่ น้องชายของพี่ขาบพาหนีมา หวังจักมาพึ่งใบบุญพ่อ แต่โดนฆ่าไปแล้ว ข้าจักต้องแจ้งเรื่องนี้กับพี่ขาบด้วย”

พ่อครูพันพยักหน้า ความตายจากการถูกสังหารแม้จะเป็นเรื่องโหดร้าย แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นธรรมดาสำหรับคนไทยในยามนี้

“เจ้าคงต้องปลอบโยนแม่ขาบหนา แม่ของนางเพิ่งตาย นี่มาเสียน้องชายอีกคนแล้ว”

“เจ้าค่ะ พ่อ” ปรางรับคำ พ่อครูพันหันไปทางมิ่ง

“เอ็งชื่อเรียงเสียงไร แล้วเป็นยังไงมายังไงกันถึงหวังมาพึ่งข้า”

อีกครั้งที่มิ่งต้องเล่าเรื่องราวรันทดคาดไม่ถึงของเขา เรื่องย่าและน้องสาวถูกฆ่าโหด บ้านถูกเผา และสุดท้ายพี่ขามซึ่งพยายามปกป้องเขาก็ถูกฆ่าตายพร้อมลูกและเมีย น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินอย่างสุดกลั้น

“น่าเห็นใจจริง” ชายอีกคนที่นั่งเงียบอยู่ตลอดเอ่ยขึ้น

“ข้าชื่อเดช” เขาเอ่ยกับมิ่ง “อยู่ด้วยกันเสียที่นี่แหละ พ่อครูพันท่านเมตตา เรือนของเราก็มีหลายหลัง ช่วยกันทำงานแลฝึกมวย ฝึกศาสตราวุธ กาลข้างหน้าเราจักปลดแอกตนเองจากการเป็นข้าขอมเสียให้สิ้น”

“ข้าขอบใจพี่เดชมาก” มิ่งยกมือไหว้ เดชยิ้มตอบอย่างเป็นมิตร

“เมื่อรอดตายมาก็ดีแล้วเจ้า ขอให้ขยันหมั่นเพียร เรียนวิชาต่อสู้ เพื่อเป็นกำลังร่วมกันอย่างที่พ่อเดชว่า เจ้ายินดีฤาไม่”

“ยินดีขอรับ” มิ่งตอบพ่อครูพัน พ่อครูหันไปพูดกับปรางต่อ

“แม่ปราง ในเมื่อเจ้าช่วยมันมาแล้ว ก็ดูแลมันสักหน่อย”

“ได้เจ้าค่ะ” ปรางตอบ

“วันนี้เอ็งเหนื่อยมาก ไปพักผ่อนให้พอเสียก่อน แล้วข้าจักจัดการทำพิธียกครู เพื่อให้เอ็งเป็นศิษย์ต่อไป วันใดข้าจักบอกกล่าวอีกทีหนึ่ง” พ่อครูพันกล่าวต่อกับมิ่ง

ริดกับเลื่องหันมาสบตากันอย่างไม่สบายใจนัก แต่เดชที่นั่งอยู่กับคนทั้งสองกลับยังยิ้มแย้ม

“พี่เดช ข้าวานพี่หน่อยได้ไหม” ปรางเอ่ยขึ้น

“กระไรรึ” เดชตอบ

“ข้าขอให้พี่จัดหาผ้านุ่งผ้าห่มให้กับนายมิ่ง พี่กับเขาก็รูปร่างไล่เลี่ยกัน ขอแบ่งของพี่ไปให้เขาใช้สักหน่อยเถิด”

“มิขัดข้อง แม่ปราง ท่านลุงขอรับ เรือนพี่ผัดที่ว่างอยู่ ข้าว่ายกให้มิ่งเถิดหนา” เดชพูดกับพ่อครูพัน

พ่อครูพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับเดช มิ่งรู้สึกสบายใจ

“ข้าขอบใจพี่เดชมากจริงๆ” มิ่งตอบ

อย่างน้อยในยามยากเช่นนี้ เขาก็มีพ่อครูพันก็เป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยว มีเดชเป็นมิตรที่พร้อมช่วยเหลือด้วยน้ำใสใจจริง และมีแม่ปราง หญิงงามผู้ช่วยชีวิต ทั้งทำให้เขาชุ่มชื่นใจเมื่ออยู่ใกล้ตั้งแต่แรกพบ..

แม่ปราง...นึกแล้ว มิ่งก็หันหน้ามามองผู้ที่กำลังนึกถึง พลันก็ได้สบตากับดวงตางามคู่นั้น นางหลบตาเสียโดยพลัน

ริดกับเลื่องที่คอยจับสังเกตอากัปกิริยาของคนทั้งคู่อยู่ตลอด หันมามองหน้ากันอีกครั้ง เดชพูดขึ้นอีกว่า

“ไอ้ริดกับไอ้เลื่องก็ติดตามข้ามาแต่ยังเยาว์วัย ให้เจ้าถือว่า ทั้งสองเป็นเพื่อน เป็นพี่น้องของเจ้าด้วยหนา มันทั้งสองเป็นพี่น้องคลานตามกันมา แต่ด้วยเกิดห่างกันปีเดียว จึงเป็นเสมือนเพื่อนกันมากกว่าพี่น้อง” ”

“ข้าขอฝากตัวกับพี่ริด พี่เลื่องด้วยนะ”

มิ่ง ยกมือไหว้ริดกับเลื่อง แต่ไม่ทันสังเกตสีหน้าบึ้งตึงของคนทั้งคู่

.......

สาวิตรลืมตาขึ้น ภายนอกหน้าต่าง แสงแดดแจ่มจ้ามาก เขาหยิบนาฬิกาขึ้นดู...สิบโมงเช้าแล้ว เขาดีดตัวขึ้นจากเตียงโดยฉับพลัน แต่ใจยังประหวัดไปถึงภาพเหตุการณ์ และบุคคลใหม่ๆ ที่เพิ่งได้พบในความฝัน..

เดช ริด เลื่อง พ่อครูพัน...พ่อครูพันนี่ใครกันหนอ สาวิตรรู้สึกคุ้นเคยอย่างมากมาย ส่วนแม่ปราง ทำไมนะ เขารู้สึกว่า เธอช่างละม้ายปรางนวลเสียจริงๆ ...


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น