บทที่ 10 กินรีเล่นน้ำ


บทที่ 10

สาวิตรเข้าไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำเสร็จเรียบร้อย เมื่อออกมา เสียงโทรศัพท์ผ่านไลน์ก็ดังขึ้น เขาหยิบมือถือขึ้นดู ธิโมทีนั่นเอง ที่ผ่านมา น้องชายของเขาส่งข้อความมาทักทายอยู่ตลอด วันนี้คงมีอะไรพิเศษ ถึงได้กดโทรมาหาเขา

“เป็นอย่างไรบ้างครับ” เจ้าน้องชายทำเสียงสนุกสนานทักทายมาในสาย

“สบายดีทุกอย่าง ไม่มีอะไร” เขาตอบ

“มีสิครับ ฝันไปถึงไหนแล้วครับ” สาวิตรหัวเราะ เรื่องนี้เอง ถึงเขาข้ามประเทศกลับมาอยู่เมืองไทยแล้ว ธิโมทีก็ยังมาตามทวงให้เล่าเรื่องนี้อยู่

“อืม จะเริ่มต้นอย่างไรดีล่ะ” เขาว่า

“ยังไงก็ได้ ตามที่อยากเล่า”

“พี่ได้เห็นอดีตของตัวเองนิดหนึ่งแล้ว ในตอนที่เห็น พี่มีชื่อว่ามิ่ง” แล้วเรื่องราวต่างๆ จากความฝันก็พรั่งพรูจากปากสาวิตร เรื่องชีวิตรันทดของมิ่ง เรื่องสาวงามที่ชื่อปราง เรื่องบ้านพ่อครูพัน และเรื่องพ่อขุนบางกลางหาว..

“พี่เห็นท่านชัดจนวาดรูปท่านออกมาได้แล้วนะ อยากเห็นไหม เดี๋ยวส่งไปให้ดู”


“อยากเห็นมากมายเลย แล้วก็ชักอยากกลับไปเที่ยวเมืองไทยมากมายด้วย เสียดายตอนนี้มันไปไม่ได้ เฮ้อ” ธิโมทีถอนใจมาในสาย

“ถ้ามาได้เมื่อไร รีบบินมาเลยนะ ขอถามนายอย่าง นายคิดว่าพี่บ้าหรือโกหกนายหรือเปล่า”

“ไม่คิด” ธิโมทีตอบแต่ไม่เต็มเสียงนัก เพราะชักรู้สึกคลางแคลงใจขึ้นมาเล็กๆ ว่าเรื่องที่พี่ชายเล่ามันชักจะพิสดารมากขึ้นทุกที จะจริงทั้งหมดหรือเปล่า หรือพี่เราแอบไปกินของผิดสำแดงบ่อยๆ จนฝันอะไรเป็นนิทานไปได้ขนาดนั้น เมืองไทยยิ่งมีของกินแปลกๆ มากอยู่

“ขอบใจมาก น้องชาย พี่ไม่คิดหรอก ว่าจะมีใครยอมเชื่อเรื่องที่พี่เล่า มีนายนี่แหละ ทำให้สบายใจขึ้นมาหน่อยว่าอย่างน้อยๆ ก็ยังมีคนรับฟังพี่ได้ ไม่อย่างนั้น มันคงอึดอัดใจมากเลย” สาวิตรตอบ

“เออ เดี๋ยวนี้พี่พินของนายเปรี้ยวมากเลยนะ ขี่บิ๊กไบค์ไปเที่ยวกับแก๊งเขาประจำ เขาคงเล่าให้นายฟังใช่ไหม”

“เล่าอยู่” เสียงปลายสายตอบ

“พี่ก็ยืมรถเขามาขี่เล่นอยู่ รู้ไหม บางครั้งนะ ตอนกำลังขี่ พี่เห็นภาพตัวเองตอนเป็นทหารขี่ม้าไล่ข้าศึกอยู่ มันแปลกดีนะ”

เออหนอ พี่ชายเรา ธิโมทีนึกหลังจากวางสาย กู่แล้วจะกลับมาไหมนี่...

....

สาวิตรส่งไลน์ภาพวาดฝีมือตนเองไปให้น้องชายชม ธิโมทีกดขยายภาพนั้น เมื่อเห็นชัดก็นึกชื่นชมในฝีมือพี่ชาย และความสง่างามของบุคคลในภาพ แต่ทันใดนั้น ภาพในโทรศัพท์พลันดูเหมือนมีชีวิตและส่งยิ้มอ่อนๆ มาให้เขา ธิโมทีตกใจจนต้องขยี้ตาตัวเอง แต่ภาพที่เห็น บุรุษในไลน์ก็ยังคงส่งยิ้มให้เช่นเดิม เขาตกใจจนโยนโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ แล้วถอยกรูดไปตั้งหลัก ในจิตของเขาเหมือนได้ยินเสียงๆ หนึ่ง

“เรื่องที่พี่ชายเจ้าเล่าเป็นจริงทุกคำพูด อย่าสงสัยอันใดเลย”

เขาได้ยินเสียงนั้นได้อย่างไร ธิโมทีนึกแปลกใจตัวเอง เมื่อเหลียวซ้ายแลขวา ก็มองไม่เห็นใครสักคนที่จะเข้ามาแอบในห้อง นี่สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นกับเขาแล้วหรือ ฤาเรื่องที่พี่ชายเล่า มันมิใช่ความฝันอันเกินจริง

....

ลำน้ำที่ไหลผ่านบ้านพ่อครูพันยามบ่ายของวันที่แดดร่มแลดูใสเย็น ลมพัดต้องต้นไม้ริมน้ำสะบัดไหวเบาๆ และพัดผ่านผิวน้ำจนแลดูเป็นระลอก เชิญชวนให้ลงไปแหวกว่ายเล่น มิ่งมองภาพนั้นอย่างเพลินตา ยามนี้ท่าน้ำยังเงียบสงัด เพราะพวกผู้ชายในบ้านครูพันยังไม่ลงมาอาบน้ำกัน มิ่งสาวเท้าก้าวเดินไปยังท่าน้ำ ยามนี้การได้แช่น้ำเย็นๆ ล้างคราบไคลและความเหนียวตัวที่หมักหมมมาทั้งคืนทั้งวัน คงเปรียบได้กับการขึ้นสวรรค์ทีเดียว

เขากำลังจะเหยียบท่าน้ำอยู่แล้ว แต่เสียงวักน้ำที่ดังอยู่ไม่ไกลนักทำให้มิ่งชะงัก สายตาเขามองไปตามเสียงนั้น ที่ท่าน้ำถัดไป สตรีหนึ่งกำลังอาบน้ำอย่างมีความสุข นางนุ่งกระโจมอก ผมยาวสยายเปียกลู่ เขาได้เห็นนางชัด ทั้งด้านหลังและด้านข้าง

แม่ปรางนั่นเอง!!

เขาจะทำอย่างไรดีหนอ ถ้าแสดงตัวออกไป นางคงจะขัดเคืองแน่ๆ คิดแล้วมิ่งจึงตัดสินใจกำบังกายที่พุ่มไม้ใกล้ๆ รอให้นางขึ้นจากน้ำก่อน แล้วค่อยลงไปอาบจะดีกว่า

แต่แล้วภาพที่เห็นก็ทำให้มิ่งไม่อาจละสายตาออกไป...ร่างที่กำลังดำผุดดำว่ายนั้นเอวบางร่างน้อย แต่ทรวงอกอิ่ม ผิวของนางที่พ้นจากผ้านุ่งกระโจมอกก็ขาวนวลยิ่งนัก ตัดกับผมดำยาวที่แผ่สยายเต็มหลัง นี่หรือแม่เสือสาวนักรบคนเก่ง ยามนี้นางไม่เหลือคราบของนักดาบไว้เลย แต่เป็นเพียงสาวน้อยธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ไม่ธรรมดาก็คือเหตุไฉนนางจึงงามราวกับกินรีลงเล่นน้ำได้ปานนี้ มิ่งทอดสายตามองภาพเบื้องหน้าอย่างเพลิดเพลินและลืมตัว

“เอ็งทำอันใด”

เสียงที่ดังขึ้นฉับพลันเบื้องหลัง ทำให้มิ่งสะดุ้งสุดตัว แล้วก็ทรุดนั่งลงกับพื้น เมื่อหันมาเห็นว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร

“พี่ริด พี่เลื่อง ข้า...”

“พี่เดชให้พวกข้าเอาผ้ามาให้เอ็งผลัดหลังอาบน้ำ มินึกว่าจะได้มาพบเอ็งคิดทำบัดสีกับแม่ปราง เช่นนี้ปล่อยไว้มิได้ ข้าต้องพาเอ็งไปให้พี่เดชชำระความ” เสียงเลื่องพูดขึ้น

“ข้าไหว้พี่ละ ข้ามิได้คิดทำอันใดกับแม่ปรางเลย” มิ่งยกมือไหว้ แต่เลื่องไม่ฟังเสียง เข้าไปคว้าแขนมิ่งกุมไว้ด้วยมือที่แข็งแรงราวกับคีมเหล็ก

ริดเข้าไปกุมแขนมิ่งอีกข้าง แต่มิ่งนั้นก็มิคิดขัดขืนดิ้นรนอยู่แล้ว

“พี่ริดฟังข้าก่อนเถิด” มิ่งเอ่ยขึ้น

“เจ้าทำสิ่งใดพวกข้าเห็นตำตา จะมีอันใดแก้ตัวอีก แม่ปรางเป็นคู่หมายของพี่เดช จักปล่อยให้เจ้าคิดบัดสีมิได้” ริดกล่าวตอบอย่างมีอารมณ์

แม่ปรางมีคู่รักแล้วฤา มิ่งอดรู้สึกแปลบในใจขึ้นมาไม่ได้ แม้จะอยู่ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ก็ตาม

“พวกพี่ทำอันใดกัน” เสียงเล็กๆ ที่คุ้นเคยดังขึ้น ก่อนร่างงามจะเดินมายังท่าน้ำที่คนทั้งสามยืนอยู่...แม่ปรางนั่นเอง ยามนี้นางผลัดผ้าเรียบร้อย ช่วงไหล่ขาวนวลที่เขาได้เห็นเต็มสองตา บัดนี้มีผ้าคลุมมิดชิด

“ไอ้ไก่อ่อนนี่ซี มันมาแอบดูแม่ปรางอาบน้ำ เห็นหน้าซื่อๆ มินึกว่าใจคิดบัดสี เช่นนี้แม่ปรางมิควรช่วยไว้เลย น่าจักปล่อยให้ไอ้พวกขอมกุดหัวมันเสียกลางป่ารู้แล้วรู้รอด” เลื่องเอ่ยตอบ

ปรางหันมามองหน้ามิ่งเต็มตา เขารีบหลบดวงตางามคู่นั้น นางจะยอมรับฟังเขาหรือไม่หนอ หรือจะลงโทษที่เขาบังอาจไปแอบมองนางเล่นน้ำ เมื่อนึกถึงภาพไอ้ขอมตัวโตถูกนางฟาดเสียหมดลาย มิ่งก็นึกเสียวสันหลังขึ้นมาทันที

“ว่ากระไรนายมิ่ง” ปรางเอ่ยขึ้น

“เอ่อ ข้ามิได้ตั้งใจจักแอบมองท่าน ข้ามาที่ท่าน้ำนี่ เห็นท่านกำลังอาบน้ำอยู่ที่ท่าโน้น ก็เลยหลบหลังพุ่มไม้ เกรงท่านจะตกใจ กะว่าเมื่อท่านอาบเสร็จ ข้าจึงจักลงไปอาบทีหลัง”

มิ่งแอบเหลือบขึ้นมองหน้าปรางนิดหนึ่ง เห็นดวงหน้านั้นยังเรียบเฉยอยู่ นางเงียบไปครู่หนึ่ง แต่ก็เป็นความเงียบชั่วอึดใจที่น่าหวาดหวั่นยิ่งนัก

“ท่านมิบังควรทำรุ่มร่ามเยี่ยงนี้” นางเอ่ยขึ้น มิ่งชักรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ วันนี้จะรอดคมดาบหรือเรียวแส้เรียวหวายไหมหนอ

“แต่ท่านเพิ่งมาใหม่และมีเหตุเกิดกับท่านมากมาย ข้าจักละเว้นเสียครั้งหนึ่ง” นางเอ่ยต่อ มิ่งรู้สึกราวกับยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอก

“แม่ปราง” เลื่องร้องขึ้นอย่างไม่พอใจ “หากปล่อยไว้เช่นนี้ มันจักย่ามใจ มิยำเกรงท่านนะ”

“พี่เลื่อง พ่อมอบเขาให้ข้าดูแลแล้ว ขอให้ข้าตัดสินใจเองเถิด” นางตอบ

“ถ้าเช่นนั้น ก็ตามใจแม่ปราง” ริดเอ่ยขึ้นบ้าง และปล่อยมือที่กุมแขนของมิ่งออกอย่างไม่พอใจ

“แต่ท่านจำไว้นะ ไม่มีครั้งต่อไป หากคิดบัดสีกับข้าหรือนางใดในเรือนนี้ ข้าจักมิปล่อยไว้เลย” ปรางเหลือบมองหน้ามิ่งแว่บหนึ่ง และสบตากับมิ่งพอดี นัยน์ตาคู่งามยังเรียบเฉย มิได้มีแววดุดันดังคำพูดเลย

เอ่ยแล้วนางก็หันหลังเดินจากไป ทิ้งชายทั้งสามไว้ตรงนั้น ริดกับเลื่องออกอาการฮึดฮัดอย่างขัดใจเต็มที

“เอ้า เอาไปเสีย ผ้าของเอ็ง” พูดแล้วเลื่องก็โยนผ้าในมือให้มิ่งอย่างแรง แล้วทั้งสองก็สะบัดเดินจากไป มิ่งถอนใจยาว นี่เขาจะต้องมาเผชิญศึกหนักในเรือนที่เขาหนีร้อนมาพึ่งเย็นกระนั้นหรือ...

........

เมื่อได้อาบน้ำแล้วจึงรู้สึกสบายตัวขึ้นหน่อย มิ่งนั่งพิงฝาอยู่ในกระต๊อบมุงจากหลังเล็กที่บัดนี้จะเป็นเรือนพักพิงของเขา ความเหนื่อยอ่อนของร่างกายทำให้หนังตาชักจะหนัก แต่เสียงเรียกที่ดังอยู่นอกเรือน ทำให้เขาต้องลืมตาขึ้นอย่างฉับพลัน

“พี่มิ่ง พี่มิ่ง”

มิ่งลุกขึ้นเปิดประตูออกไป เจ้าของเสียงเรียกเป็นเด็กรุ่นหนุ่มกว่าเขา

“ข้าชื่อคง เป็นลูกแม่ขาบ แม่ปรางให้มาตามพี่ไปกินข้าว ตามข้ามาเลย”

มิ่งลุกขึ้นเดินตามเด็กหนุ่มหน้าตาเป็นมิตรอย่างเงียบๆ เขานำพามิ่งจนมาถึงลานหน้าบ้าน ที่บัดนี้กลุ่มคนในบ้านกำลังนั่งล้อมวงกินข้าวกันเป็นกลุ่ม มีพ่อครูพันนั่งเป็นประธานอยู่บนแคร่ใหญ่

“พี่มิ่งนั่งกินข้าวกับพวกข้าเถิด” คงเชื้อเชิญให้มิ่งนั่งกินข้าวร่วมกับกลุ่มของเขาที่มีเด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่อีก 5 คน

“นั่งเลยพี่” เด็กหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มขยับตัวเว้นที่ให้มิ่งลงนั่งพร้อมกับหยิบชามมาคดข้าวจากหม้อดินที่อยู่ใกล้ๆ พอดีกับที่พ่อครูพันเหลือบมองเห็นมิ่ง จึงกวักมือพร้อมกับส่งเสียงเรียก

“ไอ้มิ่ง มานั่งเสียใกล้ๆ ข้านี่”

“แม่ขาบด้วย จัดแจงข้าวปลาเสร็จแล้วก็นั่งกินเสียตรงหน้าข้านี่ด้วย” พ่อครูหันไปยังแม่ขาบที่ยกสำรับอาหารมาเพิ่มเติมให้พ่อครู

มิ่งค่อยๆ เดินผ่านคนที่นั่งล้อมวงตรงมายังพ่อครู แล้วก็คงยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ ด้วยมิกล้านั่งลงร่วมวงกับแม่ปราง เดช ริดและเลื่องที่นั่งกินข้าวอยู่ตรงหน้าพ่อครูนั้น

“พ่อมิ่ง นั่งลงเถิด” เสียงเดชเอ่ยขึ้นอย่างมีเมตตา มิ่งจึงทรุดกายลงนั่งร่วมวง ท่ามกลางสายตาของริดและเลื่องที่มองมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก

เดชตักข้าวใส่ชามส่งให้มิ่ง “ถ้ากินไม่อิ่ม ก็ตักได้อีกนะ ชอบกับอันใดก็ตักได้ มิต้องเกรงใจเลย” เขาว่า

มิ่งยกมือไหว้ก่อนจะรับชาม “ข้าขอบใจพี่มาก”

เขาเหลือบมองไปทางแม่ปราง เห็นนางยังนั่งเปิบข้าวเข้าปากเฉยอยู่ จนเมื่อข้าวในชามหมดลง นางก็ทำท่าว่าจะหยุด

“แม่ปรางเหตุใดจึงกินข้าวน้อยนัก เดี๋ยวก็ผอมตายดอก กินอีกสักนิดหนึ่งเถิด” ว่าแล้วเดชก็หยิบชามข้าวแม่ปรางมาตักข้าวเพิ่มให้

“พี่เดชจักให้ข้าอ้วนจนฟันดาบไม่ไหวฤา เรายังไล่ไอ้ขอมไม่สำเร็จ รอให้พวกมันไม่มีเหลือสักคนหนึ่งก่อน ครานี้ ข้าจักกินให้อ้วนพีจนเดินไม่ไหวทีเดียว” แม่ปรางพูดแล้วก็ยิ้ม แต่ก็รับชามข้าวมาโดยดี

“แกงนี่ก็รสชาติดีนัก เหตุใดเจ้าจึงมิยอมลิ้มลองเลย” พูดแล้วก็ตักแกงใส่ในชามของนาง

“พอเถิดพี่เดช วันนี้ข้าอิ่มแล้ว” นางว่า

“ลองดูสักหน่อยเถิด”

ปรางยอมเปิบข้าวที่เดชตักแกงราดให้แต่โดยดี

มิ่งมอบภาพนั้นอย่างรู้สึกแปลบเล็กๆ ในใจ นางมีเจ้าของเสียแล้ว เจ้าของที่เป็นชายชาตรีองอาจสามารถ เป็นศิษย์เอกของพ่อครูพัน เขาคงมิอาจเอื้อมได้เลย...

“นี่ข้าคิดอันใด” มิ่งพยายามสลัดความคิดนั้นออกจากหัว “ยามนี้ข้าเป็นคนจร ต้องมาอาศัยผู้อื่น มิบังควรที่จักคิดเกินเลยกับลูกสาวเจ้าของเรือน หนำซ้ำฝีมือนางยังเก่งกาจ ได้ช่วยชีวิตข้าไว้ ยามที่ข้าช่วยตัวเองก็มิได้ นางฤาจักเหลียวแลมองผู้ที่มิมีอันใดคู่ควรกับนางแม้เพียงธุลีฝุ่น” เขาคิด

“นายมิ่ง กับข้าวมิถูกปากฤา” เขาสะดุ้ง เสียงแม่ปรางปลุกเขาจากภวังค์ นางคงเห็นว่าเขาคิดอะไรใจลอยอยู่ มิ่งเงยหน้าขึ้นมองนาง

“มิได้ แม่ปราง กับข้าวรสดีทุกอย่าง” ว่าแล้วก็รีบเปิบข้าวเข้าปากอย่างต่อเนื่อง

“ท่านกินให้เต็มที่เถิด ยามมาฝึกซ้อมอาวุธ จักได้มีแรง” นางว่า


“เมื่อยกครูแล้ว ข้าจักช่วยดูแลฝึกให้ จนเจ้ามีฝีมือมิน้อยหน้าศิษย์พ่อครูพันคนใดเลย” เดชกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

มิ่งยิ้มตอบด้วยความรู้สึกสุดจะบรรยาย ด้วยความมีไมตรีที่เดชมีให้นั้น กลับสร้างความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจให้แก่เขามากมาย นี่เขาจะต้องมาเป็นศัตรูหัวใจกับคนที่มีน้ำจิตน้ำใจกับเขากระนั้นหรือ

“ไอ้มิ่ง ข้ามีเรื่องคุยกับเอ็งนะ นางขาบด้วย อย่าเพิ่งลุกไปไหนเสียละ” พ่อครูพันพูดขึ้น

“ขอรับ” มิ่งรับคำพร้อมกับแม่ขาบ

พ่อครูพันยกจอกขึ้นดื่มน้ำและหยิบผ้าผืนเล็กที่วางอยู่ใกล้สำรับขึ้นซับปาก ก่อนจะหันไปทางมิ่ง

"บ้านเอ็งทำมาหากินอันใดฤา"

"ทำนาทำไร่ขอรับ" มิ่งตอบพร้อมบรรยายความเป็นอยู่ในชีวิตที่ผ่านมา

"มิน่า เอ็งดูแข็งแรงดี มาอยู่กับข้า ก็ขอให้ช่วยกันทำงานด้วยนะ ที่นี่พวกข้าค้าขายเกลือ"

"ขอรับ" มิ่งรับคำ "ข้าจักทำงานทุกอย่าง มิให้พ่อครูเดือดร้อนใจเลย"

"แต่ก่อนข้าหาใช่คนถิ่นนี้ดอก พ่อครูพันเล่าต่อ "ข้าติดตามพ่อขุน เอ้อ พ่อขุนบางกลางหาวท่านมา ท่านพาผู้คนหนีข้าศึกมาที่นี่ มาซุ่มฝึกศาสตราวุธกัน วันหนึ่ง ข้าคนของท่านเดินเข้าไปป่า แลเห็นฝูงสัตว์ลงกินดินโป่ง จึงไปแจ้งให้ท่านทราบ ท่านก็ให้คนไปคอยซุ่มดู ก็เห็นสัตว์ในป่ามากมายมากินดินโป่งจริง ท่านเลยให้ขุดบ่อ เอาน้ำมาต้มทำเกลือ แล้วก็ให้ข้าคนบางส่วนอาศัยที่นี่ ทำเกลือค้าขายกัน ข้าเห็นที่นี่ควรแก่การตั้งหลัก จึงไปอพยพลูกๆ และข้าคนของข้ามา มินานเท่าใดดอก"

พ่อครูหยุดนิดหนึ่งก่อนพูดต่อ

"เอ็งแข็งแรงและหน่วยก้านดี เชื่อว่าคงฝึกได้มิยาก จะได้เป็นกำลังช่วยพ่อขุนท่านขับไล่ไอ้ขอมที่มันเบียดเบียนพวกเรามานานนักหนาให้พ้นไปเสียที"

"พ่อขุนท่านใจดีนัก ท่านมาเยี่ยมพ่อครูบ่อย ศิษย์พ่อครูคนใดฝีมือดีและพร้อมไปอยู่กับท่าน ก็ย้ายไปพำนักในเมืองบางยางโน่น" เดชพูดขึ้นบ้าง

"ข้ากับแม่ปราง ท่านก็พึงใจ แต่เราขออยู่ช่วยพ่อครูสักพักหนึ่งก่อน" เดชพูดต่อ

"แม่ขาบ" พ่อครูหันไปทางแม่ขาบที่นั่งร่วมวงอยู่

"เจ้าคะ"

"ข้ามีเรื่องต้องแจ้งให้เอ็งทราบถึงน้องชายเอ็ง เอ้าไอ้มิ่ง เล่าไป"

"เอ้อ" มิ่งตะกุกตะกักเพราะลำบากใจที่จะเริ่มเรื่อง ยามนี้ดูเหมือนมันกลายเป็นบาดแผลในใจ...เพราะความอ่อนแอ เขาจึงไม่สามารถช่วยอะไรขามได้เลย ไหนจะย่า ไหนจะนางแม้น น้องสาวของเขาอีกเล่า

"เมื่อเช้านี้พี่ขามพาลูกเมียกับข้าหนีไอ้ขอมจากหมู่บ้านหวังจะมาพึ่งบุญพ่อครูพัน" มิ่งเริ่มเรื่อง "ไอ้ขอมมันตามมาแล้วก็ เอ้อ..ฆ่าพี่ขามกับลูกเมียตาย"

มิ่งมองหน้าแม่ขาบ ดวงหน้านั้นนิ่งเฉย แต่สีหน้าแสดงความตกตะลึงกับเรื่องที่ได้ยิน ก่อนน้ำตาจะรินไหลลงอาบแก้ม นางเม้มปากกลั้นสะอื้น

"ไอ้ขามเอ๊ย ไหนเอ็งเคยบอกว่าจะมาเป็นข้าคนพ่อขุนท่าน" พูดได้แค่นี้ นางก็กลั้นสะอื้นไม่อยู่ แม่ปรางที่นั่งอยู่ใกล้จึงโอบกอดร่างของแม่ขาบอย่างปลอบโยน

"พี่ขาบยังมีข้า มีไอ้คง ข้ามิทิ้งพี่ขาบไปไหนดอก"

แม่ขาบร้องไห้หนักขึ้น

"แม่ปรางพาพี่ขาบของเจ้าขึ้นเรือนไปก่อนเถิด" พ่อครูพันเอ่ย "นางจะได้พักผ่อน"

"เจ้าค่ะ" เอ่ยแล้วแม่ปรางก็ลุกขึ้นดึงแขนแม่ขาบและโอบเดินขึ้นเรือนไป

"ถ้าข้ามิอ่อนแอเยี่ยงนี้ พี่ขามคงไม่ต้องเอาชีวิตมาสังเวยดอก" มิ่งเอ่ย

"ทุกสิ่งอย่างมันผ่านไปแล้ว อย่าเป็นกังวลเลย พึงตั้งใจฝึกอาวุธไปเป็นกำลังแห่งพ่อขุนเถิด" เดชพูดขึ้น "การตายแห่งพี่ขามของท่านจักได้ไม่สูญเปล่า" เขาส่งยิ้มอย่างปลอบใจให้มิ่ง มิ่งยิ้มออก

ริดสะกิดเลื่องอย่างไม่ชอบใจในท่าทีของเดชต่อมิ่ง แต่ไม่มีใครสังเกตเห็น

"พ่อเดชพูดถูกต้อง" พ่อครูพันว่า "เอ็งมิควรเศร้าโศกให้นานนัก ชีวิตของเอ็งยังต้องอยู่ แลอยู่อย่างมีคุณประโยชน์ต่อตัวเอง ต่อพี่น้องคนไทยพวกเรา เราจักต้องสร้างแผ่นดินแห่งความสุขร่วมกับพ่อขุนบางกลางหาวท่าน การมีชีวิตอยู่ของเอ็งก็จักไม่สูญเปล่าเช่นกัน"

มิ่งพนมมือก้มกราบพ่อครูพัน

"ข้าจักจำคำสอนของพ่อครูไว้โดยมิลืมเลือน"

พ่อครูยิ้ม มิ่งเริ่มลงมือเก็บสำรับจานชาม เพื่อยกไปเก็บและล้างข้างใน

"เดินเข้าไปข้างหลังโน่นแหละ" พ่อครูว่า มิ่งจึงยกสำรับเดินไปตามทางที่พ่อครูบอก แต่เดินเข้าไปนิดเดียวก็พบกับสองสาว คนในบ้านพ่อครู นางทั้งสองรับสำรับไปจากมือมิ่ง

"ข้าไปเก็บล้างให้เอง ท่านไม่รู้ที่ดอก" หนึ่งในสองนางนั้นว่า

"ข้าขอบใจพี่มาก" มิ่งกล่าวก่อนจะเดินกลับมาที่วงสนทนา แต่เสียงของริดที่พูดขึ้น ทำให้มิ่งชะงักหยุดอยู่ ไม่มีใครสังเกตเห็นเขา

"ข้ามีเรื่องต้องแจ้งให้พ่อครูกับพี่เดชทราบ เพื่อปรามไอ้มิ่งนี้ไว้" ริดพูดขึ้น

"ข้าก็เป็นพยาน เห็นด้วยสองตาของข้า ปล่อยเอาไว้มิได้เลย พ่อครู" เลื่องพูดขึ้นบ้าง

"เรื่องอันใดฤา" พ่อครูถาม

"ไอ้มิ่ง มันลามปาม คิดทำบัดสีกับแม่ปรางที่ท่าน้ำ"

มิ่งที่ยืนหลบมุมอยู่ รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ขึ้นมาในบัดดล


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น