บทที่ 11 เธอมีเจ้าของ

 


บทที่ 11

เสียงริดเล่าเรื่องต่อ "เมื่อบ่าย ข้าสองคนเอาผ้าใหม่ไปให้มันที่ท่า เห็นมันแฝงตัวแอบดูแม่ปรางอาบน้ำ ทีท่าจะคิดทำบัดสีกับนาง พี่เดช พ่อครู"

ใจมิ่งที่แอบแฝงเงามืดฟังอยู่ตกไปอยู่ที่ฝ่าเท้า

"พ่อครูสมควรปรามมันไว้ก่อนนะขอรับ ไอ้นี่ท่าทางไว้ใจมิได้" เลื่องพูดขึ้นบ้าง

ยังไม่ทันที่พ่อครูจะเอ่ยอันใด เสียงเล็กๆ ที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น ก่อนร่างระหงงามจะก้าวลงบันไดเรือนมา

"พี่ริด พี่เลื่อง ข้าบอกพี่แล้วฤามิใช่ พ่อมอบนายมิ่งให้ข้าดูแล เรื่องนี้ข้าจักจัดการของข้าเอง"

ร่างงามทรุดกายลงนั่งในวงสนทนา

"มีเรื่องอันใดฤา แม่ปราง" เดชพูดขึ้น

"นายมิ่งลงอาบน้ำ เพลาเดียวกับข้าที่ท่าของพวกผู้ชายเพียงนี้เอง" นางว่า

"เขามิได้ล่วงล้ำไปท่าของผู้หญิง หากเขาไป มื้อเย็นคงมิได้ลอยหน้ามานั่งกินข้าวอยู่ดอก พี่ริด พี่เลื่องมิต้องห่วงข้าให้เกินควร"

พ่อครูหัวเราะ

"ไอ้ริด ไอ้เลื่อง นี่เอ็งมิรู้จักลูกสาวข้าฤา หากไอ้มิ่งมันคิดทำบัดสีละก็ นางคงฟาดปากมันจนกินข้าวร้อนมิได้ไปชั่วชีวิตเป็นแน่ ฤามิเช่นนั้นก็หัวแบะจนฝนยาใส่ไม่ทันนั่นแล"

"โธ่ พ่อครู" เลื่องรำพึงได้เพียงนั้น


เดชหัวเราะก่อนจะพูดว่า

"ข้าว่าพวกเอ็งมิพึงระแวงให้มันเกินไป เรื่องมิเป็นเรื่องก็มิสมควรทำให้มันเป็นเรื่อง ยามนี้พวกเราต้องการกำลัง ใครเหมาะสมก็พึงรักษาไว้ มิควรระแวง มิควรผิดใจกันเลย เป็นอันว่าเรื่องนี้ยุติเถอะนะ พวกเอ็ง"

"โธ่ พี่เดช" ริดรำพึงขึ้นบ้าง

มิ่งที่หลบมุมอยู่ถอนหายใจอย่างโล่งอกและนึกซาบซึ้งในน้ำใจไมตรีของเดชและปรางเป็นที่ยิ่ง

......

ฟ้ามืดสนิท รอบข้างเสียงหรีดหริ่งเรไรดังแว่ว ภายใต้แสงเทียนวับแวม มิ่งนั่งพิงฝากระต๊อบไม้ไผ่ที่เป็นเรือนพักยามนี้ ความคิดยังล่องลอยไปถึงเรื่องร้ายๆ ที่เพิ่งเกิดกับเขาอย่างไม่มีโอกาสได้ตั้งตัว

น้ำตาลลูกผู้ชายไหลริน เมื่อคิดถึงย่าและน้องที่ถูกสังหาร คิดถึงบ้านที่อยู่มาแต่เกิด ภาพเปลวไฟที่เผาเรือนหลังน้อยมันทำให้แค้นใจยิ่งนัก ย่าและนางแม้นเป็นผู้บริสุทธิ์ เหตุใดจึงถูกฆ่าอย่างไร้ความปรานี วันหนึ่งเถิดเขาจะต้องกลับไปแก้แค้นไอ้ขอมใจโหดที่ฆ่าผู้เป็นที่รักและทำให้เขาพลัดที่นาคาที่อยู่ กลายเป็นคนไร้บ้านอย่างตอนนี้ให้จงได้

"พ่อมิ่งยังมิหลับใช่ฤาไม่ เปิดประตูให้ข้าหน่อยเถิด" เสียงเดชดังขึ้นที่หน้ากระต๊อบ ปลุกมิ่งให้ตื่นจากภวังค์

"ขอรับ" มิ่งปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู ภายใต้แสงสลัวนั้น มิ่งเห็นรอยยิ้มของเดชที่ในมือถือผ้าหอบใหญ่อยู่ เดชทรุดตัวลงนั่งกับพื้นกระต๊อบ

"ข้าเอาผ้านุ่งผ้าห่มมาให้ใช้สอย แม้นยังมิพอ ขอให้บอกข้า ฤาเจ้าขาดแคลนสิ่งใดก็ขอให้แจ้งข้ามา มิตัองเกรงใจอันใด"

มิ่งยกมือไหว้เดชอย่างซึ้งน้ำใจ ก่อนจะรับผ้าหอบนั้นมาไว้ในมือ

"ข้าขอบพระคุณพี่เดชมากที่กรุณาคนพลัดบ้านอย่างข้า"

เดชยิ้ม "มิเป็นไรดอก ขอให้คิดว่าเราเป็นพี่น้องกันเถิด ข้าเอ็นดูเจ้าอย่างน้องชายคนหนึ่ง"

“เป็นพระคุณยิ่งขอรับ” มิ่งตอบ

เดชสังเกตเห็นดวงตาแดงก่ำของมิ่ง "นี่เจ้าร้องไห้ฤา" เดชถาม

"พี่คงมิตำหนิข้านะ ข้าหวนคิดถึงย่าคิดถึงน้อง มันอดเศร้าใจแค้นใจมิได้"

เดชตบไหล่มิ่งอย่างปลอบโยน

"ข้าเข้าใจดี ทุกสิ่งอย่างมันยังมิข้ามวัน แม้นข้าพบเรื่องแบบเจ้า ก็คงอดน้ำตาร่วงมิได้ แต่พึงรู้ไว้ มิใช่เจ้าคนเดียวที่ถูกกุมเหงจากพวกขอม แต่เป็นคนไทยเราทั้งหมด เราจึงต้องลุกขึ้นสู้ ลุกขึ้นขับไล่มันออกจากถิ่นของพวกเราให้จงได้ มิเช่นนั้นเราคงถูกรังแกกันชั่วลูกชั่วหลาน คงมินานนักหนาดอก พ่อขุนบางกลางหาวท่านระดมรี้พลแล้ว"

"ข้ายินดีร่วมรบกับพี่และคนไทยทุกคน ขอเวลาข้าฝึกปรือวิชาการรบก่อนเถิด"

เดชยิ้ม " ขอให้พยายามเข้าเถิด ข้าเชื่อว่าเจ้าจักเป็นนักรบที่เก่งได้"

"ข้าก็จักพยายามและตั้งใจ" มิ่งตอบ

"วันนี้มืดมากแล้วหนา ข้าจักไปแล้ว ขอให้เจ้านอนหลับพักผ่อนเสียให้สบาย อย่ากังวลสิ่งใด"

"ข้าขอบพระคุณพี่เดชมาก"

เดชลงจากกระต๊อบ มิ่งมองตามร่างสูงใหญ่ถือไต้หายลับไปในความมืด

........

เดชเดินฝ่าความมืดกลับไปที่เรือนของตน แต่ระหว่างทาง เสียงสวบสาบของใบไม้ที่ดังขึ้นเพียงนิดหนึ่ง บอกให้รู้ว่า มีใครบางคนมาติดตามเขาอยู่ เดชกระชับมีดสั้นที่เอว

"นั่นใคร ออกมาบัดเดี๋ยวนี้"

แสงไต้ในมือวอมแวมส่องให้เห็นร่างสองร่างเดินขึ้นมาจากข้างทาง ริดกับเลื่องนั่นเอง ทั้งสองยิ้มเจื่อนๆ

"นี่พวกเจ้าเห็นข้าเป็นสมุนขอมแฝงตัวเข้ามาสืบความลับ จึงต้องเฝ้าติดตามกระนั้นสินะ"

"โธ่ พี่เดช" ทั้งสองร้องขึ้นพร้อมกัน

"พวกข้าตามพี่ไปเรือนไอ้มิ่ง" ริดพูดขึ้น

"ยังสงสัยว่าเขาเป็นพวกขอมอีกกระนั้นฤา" เดชว่า

"หามิได้ พวกข้าเห็นพี่กรุณามันนัก เกรงว่าต่อไป..." เลื่องพูดขึ้นบ้าง

"ต่อไปอันใด"

"ต่อไปพี่จักตัองเสียใจ เพราะมันแย่งแม่ปรางไปครองน่ะสิ วันนี้มันมากับแม่ปรางสองต่อสอง ข้าสองคนเฝ้าแลมองท่าทีอยู่ เห็นว่าไว้ใจมันมิได้อย่างยิ่ง" เลื่องพูดต่อ

"เอ็งสองคนเหลวไหล" เดชว่า "เรื่องของข้ากับแม่ปราง พ่อข้ากับพ่อครูพันตกลงกันเป็นมั่นเหมาะแล้ว มิมีทางเป็นอื่นไปได้ แม่ปรางก็มิมีท่าจะเหลียวแลชายใด"

"แต่พ่อพี่เดชสิ้นไปนานแล้วหนา" ริดว่า

"แม่กับย่าข้าก็ยังอยู่ พวกท่านมิยอมดอก แลมิมีทางที่พ่อมิ่งจักอาจเอื้อม"

ริดกับเลื่องมองหน้ากัน

"พวกข้ารักและห่วงใยพี่มากหนา อยากให้พี่ได้ครองคู่กับแม่ปรางสมใจ มิมีใครเข้ามาทำให้พี่คลาดจากนางไป" ริดเอ่ย

"มิตัองห่วงให้เกินไปดอก มากเรื่อง มากความเปล่าๆ เลิกคิดระแวงพ่อมิ่งเสียด้วย ดึกแล้ว ข้าจะไปนอน"

เดชพูดแล้วก็เดินจากไปทันที ทิ้งให้ผู้ติดตามทั้งสองยืนตาค้างอยู่ในความมืด

....

วันทำพิธียกครูยังไม่มาถึง ระหว่างนั้นมิ่งจึงขลุกอยู่กับแม่ขาบและเจ้าคง ผ่าฟืนให้แม่ขาบบ้าง เก็บผักหักหญ้าตามที่นางสั่งบ้าง แล้วก็ไปช่วยเจ้าคงกับพวกผู้ชายตักน้ำจากบ่อเกลือเอามาเคี่ยวทำเกลือ อันเป็นกิจวัตรที่ลูกศิษย์พ่อครูพันทำเป็นประจำสลับการฝึกมวย ฝึกอาวุธ ดูเหมือนความเศร้าเสียใจจากการสูญเสียย่า น้องสาว และขาม ผู้เปรียบเสมือนพี่ชาย ผ่อนคลายลงจากใจของมิ่งได้บ้าง

หลังจากหาบน้ำกันมาพักใหญ่ วันนี้มิ่ง เจ้าคง และพวกผู้ชายนั่งพักอยู่ใกล้บ่อเกลือ คุยกันเรื่องสัพเพเหระ พลันเสียงผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มก็ร้องทักใครบางคนขึ้นว่า

“แม่จู แม่ใจ จักกลับมาเฝ้าบ่อเกลือฤา”

มิ่งกับเจ้าคงหันไปตามเสียง เห็นหญิงสาวสองนางหยุดยืนมองอยู่ หนึ่งในสองนางนั้นท้าวสะเอวมองมายังกลุ่มผู้ชายที่นั่งจับกลุ่มกัน

“มาแลดูพวกเอ็งหลบงานกันต่างหากเล่า บัดเดี๋ยวข้าจะฟ้องพ่อครูให้ลงหวายให้หมด” คำพูดราวกับจริงจังแต่สีหน้ากลับมีรอยอมยิ้ม

เสียงพวกผู้ชายหัวเราะกันครืน “ช่างฟ้องเยี่ยงนี้ จะไร้ชายเหลียวแลนะแม่ใจ”

“หากแผ่นดินมีแต่พวกเอ็งละก็ ข้ายินดียิ่งที่จักไร้คนเหลียวแล”

เจ้าคงหัวเราะในคำตอบที่ทันกันของหญิงที่ชื่อใจ พลันนั้น นางอีกคนที่ยืนเคียงข้างก็มองมาที่มิ่ง แล้วทักขึ้นว่า

“นี่ใครกันฤา ข้ามิเคยเห็นมาก่อน”

“พี่มิ่งขอรับ พี่จู” เจ้าคงตอบแทน “เพิ่งมาอยู่มินาน พ่อครูกำลังจะให้ยกครู เป็นศิษย์”

“ลูกเต้าเหล่าใคร มาจากบ้านใด แล้วมาฝากตัวเป็นศิษย์พ่อครูได้เช่นใด” คำถามที่ยิงมาเป็นชุด จากหญิงที่ชื่อแม่จูทำให้มิ่งอึ้ง เจ้าคงที่รู้ว่ามิ่งคงไม่อยากเล่าเรื่องเศร้าของตัวเองซ้ำๆ ซากๆ จึงชิงตอบแทน

“พี่มิ่งมาจากหมู่บ้านฟากกระโน้น เป็นกำพร้า อยู่กับปู่กับย่า ปู่พี่มิ่งสิ้นไปก่อนแล้ว ย่ากับน้องถูกพวกขอมเข่นฆ่า จึงต้องหนีมา พี่ปรางพบเข้ากลางทาง จึงนำพามาฝากเป็นศิษย์พ่อครู”

“พี่มิ่งของเอ็งเป็นใบ้กระนั้นฤา ไอ้คง เอ็งถึงต้องเป็นปากแทนมัน” แม่ใจพูดขึ้นบ้าง

“มิได้ขอรับ” มิ่งพูดขึ้น

“พี่มิ่งบอกกล่าวเรื่องนี้ครั้งที่ร้อยแล้ว ข้าเลยขอบอกกล่าวให้เป็นครั้งที่ 1”

แม่ใจถลึงตาใส่เจ้าเด็กหนุ่มจอมทะลึ่ง แต่มิได้เป็นจริงเป็นจังนัก “บัดเดี๋ยวเถิด ไอ้คง”

เจ้าคงหัวเราะ แม่ใจมองมิ่งแบบพินิจพิเคราะห์ แล้วก็พูดขึ้นว่า

“เอ็งนี่หน่วยก้านไม่เลว รูปก็งามนัก หญิงทั้งหลายคงอยากได้เป็นคู่ แต่เมื่อหวังฝึกวิชาต่อสู้แล้ว ก็จงเรียนให้จบ แลช่วยงานพ่อขุนให้ลุล่วงก่อน ข้าว่าข้าดูไม่ผิด เอ็งนี่จักเป็นเรี่ยวแรงสำคัญยิ่งของท่านแน่นอน”

มิ่งฟังแล้วได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ในใจไม่ได้เชื่อมั่นอะไรนัก ตัวเขาจะทำได้หรือเปล่า ยังไม่แน่ใจเลย แต่ก็ยกมือไหว้ “ขอบพระคุณท่านทั้งสองขอรับ ข้าจักจำใส่ใจแลทำหน้าที่ให้ดีที่สุด”

“วันนี้พ่อครูอยู่เรือนฤาไม่” แม่จูถามขึ้น คนหนึ่งในกลุ่มผู้ชายให้คำตอบ “อยู่”

“ดี ข้าสองคนจักได้ไปไหว้ท่านสักหน่อย” พูดแล้วก็เดินจากไป มิ่งถามเจ้าคง

“นางเป็นผู้ใดฤา”

“นางสองคนเป็นพี่น้องกัน เป็นชาวบ้านที่นี่ ฝีมือดาบของพวกนางคล่องนัก จึงเป็นทหารพ่อขุนบางกลางหาว นางติดตามท่านไปอยู่เมืองบางยางแล้ว แต่ยังกลับเรือนมาเยี่ยมพ่อแม่อยู่บางเพลา”

“มาทีไร ทั้งสองนางนี้จักมาเยือนบ่อเกลือทุกที” ชายคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้น “เพลาหนึ่งที่พ่อขุนท่านมาซ่องสุมผู้คนฝึกอาวุธที่นี่ คราหนึ่งทหารของท่านเข้าป่า ได้แลเห็นสัตว์ป่าลงมากินดินที่โป่งดินนี่ ก็ไปแจ้งแก่ขุนหาญท้าว ทหารพ่อขุนท่าน ขุนหาญท้าวท่านก็เลยวานให้แม่จู แม่ใจ สองนางนี่มาคอยเฝ้า พอนางเห็นจริง ก็ไปแจ้งพ่อขุน ท่านจึงให้ขุดบ่อที่นี่ แลนำน้ำไปต้มเป็นเกลือ ใช้ในกองเสบียง นางสองคนนี่ คงเกรงจักไม่มีใครหาบน้ำไปต้มเกลือกระมัง จึงมาคอยแลอยู่”

มิ่งพยักหน้า

.......

เช้าวันทำพิธียกครู มิ่งมาที่โรงครัว คอยรับใช้แม่ขาบเช่นทุกวัน พลันสายตาที่มองเข้าไปข้างใน ก็แลเห็นปรางกำลังง่วนอยู่กับหม้อแกงใบใหญ่ตรงหน้า นางมิทันสังเกตว่ามิ่งกำลังแลจ้องอยู่ ใบหน้าขาวนวลที่ก้มอยู่นั้นยังงามต้องตาเช่นเคย แต่ก็มิใช่เพียงความงามหรอกที่สะดุดตา สำหรับมิ่ง มันมีความผูกพันบางอย่างในใจที่เสมือนว่ามิได้เกิดขึ้นเพราะรูปกายภายนอกและคงอยู่เช่นนั้นมาเนิ่นนานแล้ว

ขณะที่มิ่งกำลังเพ่งมองปรางไม่วางตานั้น เจ้าคงก็กำลังจ้องมิ่งอยู่เช่นกัน มันแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ แต่มิ่งไม่สังเกตเห็น

ครู่หนึ่ง ปรางก็ยกหม้อแกงลงจากเตา แล้วหันไปสั่งบ่าวสาวคนหนึ่งในครัว

“ถึงเพลาแล้ว วานยกออกไปข้างนอกด้วย”

บ่าวสาวนางนั้นรับคำ ปรางจึงเดินกลับออกมา เมื่อเดินผ่านแคร่ซึ่งมิ่งกับเจ้าคงนั่งอยู่ นางหันมาพูดกับเจ้าคง

“เจ้าเตรียมการดีแล้วฤา จึงมานั่งเล่นอยู่นี่ บัดเดี๋ยวโดนพ่อตำหนิเอาดอก”

เจ้าคงยิ้มหน้าทะเล้น “เรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวานแล้วขอรับ”

แล้วนางก็หันมาทางมิ่ง “นายมิ่ง ท่านรีบไปเตรียมตัวเถิด”

มิ่งรู้สึกหัวใจพองโตราวกับจะหลุดออกมานอกทรวงอก หลายวันนักหนาแล้วที่มิได้แลเห็นนาง เพียงคำพูดสั้นๆ คำเดียวก็เหมือนน้ำทิพย์ ทำให้ใจชุ่มฉ่ำขึ้นมาได้ แต่คำพูดที่หลุดออกจากปากได้ก็มีเพียงแค่ว่า “ขอรับ”

พอนางเดินลับตาไปแล้ว เจ้าคงก็สะกิดมิ่ง “ต้องใจนางใช่ฤาไม่ พี่มิ่ง ถ้าต้องใจ บัดเดี๋ยว ข้าเป็นสื่อให้” แต่ยังไม่ทันที่มิ่งจะตอบอะไร เสียงแม่ขาบที่เดินตรงมายังแคร่ก็ดังแหวขึ้นว่า

“ไอ้คง เอ็งอย่าบังอาจเชียวหนา”

เจ้าคงสะดุ้ง

“เอ็งก็รู้ดีอยู่แล้ว แม่ปรางเป็นคู่หมายพ่อเดช ผู้ใหญ่ก็เจรจากันเป็นมั่นเหมาะแล้ว กาลข้างหน้า ไม่ช้าก็เร็ว แม่ปรางต้องออกเรือนกับพ่อเดชแน่ เอ็งยังคิดบังอาจอยู่ฤา ไอ้คง”

“โธ่ แม่ แม่ก็รู้นี่หนา พี่ปรางมิได้มีเยื่อใยอันใดกับพี่เดชสักน้อยนิด ข้าได้ยินกับหูที่แม่ถามนาง แลนางก็ตอบแม่” เจ้าคงเถียง

“ข้าก็รู้ แต่พ่อเดชเป็นคนดี เป็นชายชาตรีที่หาใครทัดเทียมได้ยาก ไหนจักนิสัยใจคอ ไหนจักน้ำอดน้ำทน ความชำนาญในเชิงอาคม ในเพลงอาวุธ พ่อก็ครบถ้วน สมควรกับแม่ปราง อย่างมิทางมีชายใดควรคู่กับนางอีก ถึงแม่ปรางจักยังไม่ใยดีพ่อเดช แต่เมื่อได้ครองคู่กัน นางจักผูกสมัครรักใคร่พ่อเดชเอง ข้าก็มิเคยรักใคร่พ่อเอ็งแม้แต่น้อย ยังอยู่กินกันจนมีเอ็งกับพี่เอ็งตั้งสามคน” แม่ขาบว่า

“แต่ข้านี้ จักมิให้ใครหาเมียให้ดอก ข้าต้องผูกสมัครรักใคร่ ถึงจักอยู่กินกับนางได้” ไอ้คงยังเถียงผู้เป็นแม่ไม่เลิกรา

“ไอ้นี่ ชอบต่อปากต่อคำผู้ใหญ่” แม่ขาบเงื้อมมือทำท่าจะฟาด เจ้าคงรีบฉากหลบ แม่ขาบหันมาพูดกับมิ่ง

“พ่อมิ่ง อย่าเหลวไหลไปตามคำไอ้คงหนา ผู้หญิงในหมู่บ้านมากมายนัก จักหางามแบบแม่ปราง ก็ยังคงหาได้อยู่ อย่าคิดหมายปองผู้ที่มีคู่หมายเลย พ่อครู ถ้าท่านรู้เข้า ก็คงมิยอมดอก”

มิ่งอึกอัก แต่ก็ตอบแม่ขาบไปว่า

“ขอรับ พี่ขาบ”

แม่ขาบไม่ทันสังเกตสีหน้าลำบากใจของมิ่ง ก็เดชนั่นแหละที่สรรหาเสื้อผ้าข้าวของมาให้มิ่ง เดชอีกนั่นแหละที่มาเยี่ยมเยือนกระต๊อบของมิ่งยามค่ำคืนอยู่บ่อยครั้ง เพราะเกรงมิ่งจะจมอยู่กับความทุกข์ใจจนทนไม่ไหว นี่เขาคิดจะช่วงชิงของรักของผู้ที่เมตตาเขาในยามทุกข์ยากหรือ แต่ก็นั่นแหละนะ แม่ปรางคงยากที่จะเหลียวแลหนุ่มชาวบ้านไร้ฝีมืออย่างเขา ที่ไม่มีอะไรเทียมเท่าเดชได้เลยแม้แต่น้อย แล้วจะคิดไปทำไม

“แม่ เหตุอันใด พี่ปรางถึงลงครัวแต่เช้า ข้ามิได้เห็นนางที่นี่นานหนักหนาแล้ว” เสียงเจ้าคงถามผู้เป็นแม่ ปลุกให้มิ่งตื่นออกมาจากความคิดลมๆ แล้งๆ ของตัวเองอีกครั้ง

“นางมาทำแกงป่าปลาช่อน เลี้ยงพวกที่จักยกครูวันนี้นั่นแล เออ ข้าก็มิเห็นนางทำครัวมานานแล้ว แต่พ่อมิ่ง...”

แม่ขาบหันมาพูดกับมิ่ง “ฝีมือทำเครื่องคาวหวานของแม่ปรางนี่เป็นเลิศนัก ใช่ว่าจักเก่งแต่เพลงดาบ วันนี้แล เอ็งจักได้ลิ้มลอง”

.......

บ้านของพ่อครูพันวันนี้คึกคักกว่าที่เคยเป็น ลานด้านหน้าบ้านมีการจัดแต่งอัญเชิญพระพุทธรูปวางไว้บนโต๊ะบูชา พร้อมดอกไม้จัดไว้อย่างงดงาม ด้านหนึ่งมีอาวุธต่างๆ อย่าง ดาบ หอก มีด โล่ ธนู รวมถึงมงคลมวย ตั้งวางไว้อย่างเป็นระเบียบ พ่อครูพันนั่งอยู่บนแคร่ด้านหน้าสรรพอาวุธ เหล่าลูกศิษย์เก่าทั้งชายและหญิง นั่งเรียงกันด้านข้างสองฝั่ง เว้นช่องตรงกลางไว้เป็นทางให้ศิษย์ใหม่คลานเข้ามาทำพิธียกครูกับพ่อครูพัน

มิ่งซึ่งในมือถือพาน มีธูป เทียน ดอกไม้เช่นเดียวกับชายฉกรรจ์อีก 19 คน กวาดตามองไปรอบๆ เขาเห็นเดช ริด เลื่อง และปราง นั่งอยู่ใกล้พ่อครูพัน มีแม่จู แม่ใจ นั่งอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อเห็นมิ่งมองมา ทั้งสองสาวก็ส่งยิ้มทักทายอย่างคุ้นเคย มิ่งยิ้มตอบ

พิธีเริ่มขึ้นโดยเดชนำกราบพระ และนำกล่าวปฏิญาณว่า ทุกคนจะตั้งใจฝึกวิชามวย ฝึกอาวุธ เพื่อต่อสู้ ปลดปล่อยเหล่าพี่น้องให้พ้นจากอำนาจขอม เพื่อป้องกันตัว ครอบครัว ญาติมิตร และจะไม่นำวิชาการเหล่านี้ไปใช้ในทางเบียดเบียนผู้อื่น จากนั้นเหล่าศิษย์ใหม่ก็เรียงแถวคลานเข่าไปตรงหน้าพ่อครู ซึ่งนำมงคลมาครอบศีรษะและนำดาบแตะที่ไหล่ทั้งสองของผู้เข้ามาเป็นศิษย์เป็นการประสิทธิ

เมื่อถึงครามิ่งคลานเข้าไปตรงหน้าพ่อครูพัน พ่อครูก็หันไปทางปรางและเรียกนาง

“แม่ปรางขึ้นมานั่งข้างพ่อนี่”

ปรางมีท่าทางงุนงง แต่ก็ขยับตัวขึ้นไปนั่งข้างผู้เป็นพ่อแต่โดยดี พ่อครูหันมาทางมิ่ง

“ไอ้มิ่ง ข้าจักให้เอ็งยกพานเป็นศิษย์แม่ปราง เอ็งขัดข้องฤาไม่”

มีเสียงฮือเบาๆ ดังขึ้นจากเหล่าศิษย์เก่า ริดกับเลื่องมองหน้ากันแล้วยิ้ม พ่อครูจักกันไม่ให้ไอ้มิ่งคิดอาจเอื้อมกับแม่ปรางตั้งแต่ต้นมือแล้ว

“ข้ายินดีขอรับ” มิ่งตอบอย่างหนักแน่น…


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น