บทที่ 3
“ผมเชื่อสนิทแล้วครับว่าเป็นท่านจริงๆ ” สาวิตรพูดออกมาดังๆ เมื่อกลับเข้าห้องนอนและปิดประตูตามหลัง เขากวาดตามองไปรอบห้อง เผื่อจะได้พบ “ท่าน” อีกครั้งในยามนี้
เงียบ ไม่มีเสียงตอบใดๆ เลย....
“ผมอยากพบท่านมากครับ ให้ผมพบได้ไหม” ทุกสิ่งยังคงนิ่งสนิทเหมือนเดิม สาวิตรทรุดกายนั่งที่โต๊ะ คิดว่าจะทำอย่างไรดี จึงจะได้คุยกับ “ท่าน” เพื่อให้กระจ่างชัดมากขึ้น ในเรื่องที่พบเจอตอนเย็น แต่เมื่อไม่มีคำตอบ เขาจึงเปิดโน้ตบุ๊คและเข้าไปค้นหาอ่านเรื่องราวของ “พ่อขุนบางกลางหาว” ต่ออย่างกระหายใคร่รู้เต็มที่ หัวข้อที่ขึ้นมามีแต่ “พ่อขุนศรีอินทราทิตย์”
“พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรสุโขทัยหรือราชวงศ์พระร่วง พระนามเดิม คือ พ่อขุนบางกลางหาว แห่งเมืองบางยาง พระองค์ทรงร่วมกับ พระสหาย พ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด ช่วยกันรวบรวมคนไทย ยึดเมืองสุโขทัยจากขอมสบาดโขลญลำพง ซึ่งเข้าครอบครองเมืองสุโขทัยอยู่ขณะนั้นจนเป็นผลสำเร็จ และตั้งเมืองสุโขทัยเป็นราชธานี พ่อขุนบางกลางหาวทรงได้รับการสถาปนาจากพ่อขุนผาเมืองขึ้นเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ทรงมีพระมเหสี พระนามว่าพระนางเสือง ซึ่งเป็นพระขนิษฐาของพ่อขุนผาเมือง มีพระราชโอรสที่ครองราชย์ต่อจากพระองค์อยู่ ๒ พระองค์ คือ พ่อขุนบานเมือง และพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
.......พระราชกรณียกิจ.......
๑.ทรงก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัยโดยพระองค์ทรงรวบรวมผู้คน ยึดอำนาจจากขอมเป็นผลสำเร็จ และทรงสถาปนาอาณาจักรสุโขทัยเป็นราชธานี ทำให้คนไทยมีอิสรภาพ โดยไม่ตกอยู่ภายใต้ของอาณาจักรขอมต่อไป
๒. ทำศึกสงครามเพื่อป้องกันและขยายอาณาเขต ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดได้นำกองทัพเข้ามารุกรานเมืองตาก ซึ่งเป็นเมืองชายแดนของอาณาจักรสุโขทัย พ่อขุนศรีอินทราทิตย์พร้อมด้วยพ่อขุนรามคำแหง พระราชโอรสองค์เล็ก ทรงยกทัพเข้าสู้รบจนได้รับชัยชนะ ทำให้อาณาจักรสุโขทัยได้เมืองตากกลับคืนมา”
......
เขาอ่านได้เพียงนั้น บรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไป
“ท่าน” เขาดีใจที่ได้พบเห็นพระองค์อีกครั้ง ร่างสูงสง่านั้นประทับนั่งอยู่ แย้มพระสรวลอย่างเมตตาเช่นเคย
ความรู้สึกของสาวิตรเปลี่ยนไปแล้ว เขาพนมมือก้มลงกราบ แสดงความเคารพนบนอบ อย่างที่เคยได้รับการอบรมมาเมื่อไปวัดไทยที่นั่น ซึ่งพ่อของเขาพาตัวเขากับธิโมทีไปทำบุญและสวดมนต์ ฝึกสมาธิอยู่เสมอๆ
“ที่ผมเห็นเมื่อเย็นนั้น...”
“ก็วาจาสิทธิ์ สั่งคนให้แข็งเป็นหินได้ไงล่ะ วิชาพระร่วงที่เจ้าอยากเห็นนักอย่างไรเล่า” ท่านยิ้ม
“แล้วเจ้าก็มิต้องให้ข้าสอนดอกนะ เพราะข้าจักมิสอนให้ผู้ใด” ท่านพูดราวกับหยั่งรู้ลงไปในใจของสาวิตรที่เกิดอาการตื่นเต้นและสนใจขึ้นมาเต็มที่
“ทำไมละครับ”
“วิชาที่ข้ามีเกิดแต่บุญฤทธิ์ ข้าจักใช้ในยามจำเป็นเท่านั้น แต่ในเมื่อเจ้าขอชม ข้าจึงเพียงสำแดงให้เจ้าได้ชม เมื่อมีเหตุประจวบเหมาะ มิเช่นนั้น เจ้าก็คงมิยอมฟังคำข้า ใช่ฤาไม่”
สาวิตรยิ้มเจื่อนๆ แทนคำตอบ
“วิชานี้ผู้มี จักใช้ได้สักเพียงไหน ขึ้นอยู่กับบุญของผู้นั้นด้วย แต่มันก็มิจำเป็นในยุคของเจ้าแล้ว ถึงจักทำได้จริง ผู้คนก็รังแต่จะกล่าวหาว่าเจ้าโป้ปดมดเท็จ มันย่อมมีแต่โทษกับเจ้า หามีคุณแต่อย่างใดไม่ แต่มิมีอันใดแปลกดอก เพราะถ้าข้าไปบอกกล่าวกับคนของข้าว่า ต่อไปแค่เพียงมีไอ้แผ่นๆ สี่เหลี่ยมอยู่อันเดียว เอานิ้วเลื่อนไปมา ก็พูดจา ยินเสียง ยลโฉมหน้ากันได้ แม้นไกลห่างก็เถอะ ใครๆ ก็คงกล่าวหาข้าว่าปดเฉกเช่นกัน” ท่านกล่าวยิ้มๆ
สาวิตรหัวเราะที่พระองค์ท่านทันสมัยขนาดรู้จักโทรศัพท์มือถือด้วย
“จริงครับ เพราะคนเรามักเชื่อแค่สิ่งที่ตนเห็น สิ่งที่ตนคิด สิ่งที่เห็นและสิ่งที่คิด มันก็เลยเป็นกำแพงมหึมา ไม่ให้เรารับรู้สิ่งที่อยู่นอกกำแพงนั้น” สาวิตรตอบและชักนึกสนุกกับการสนทนา
“เจ้าพูดได้ดี หากเราหัดไม่เชื่อตา ไม่เชื่อความคิดเราบ้าง เราคงได้รู้ ได้มองเห็นความเป็นจริงมากขึ้น” ท่านว่า
“บัดนี้ เจ้าเชื่อว่าข้าคือตัวจริงแล้ว แล้วเชื่อได้หรือยัง ว่าเจ้ามีสิ่งที่ต้องทำร่วมกับข้าจริงๆ”
“ครับ แต่ เอ้อ ผมไม่รู้ว่าผมจะทำได้หรือเปล่า คือผมว่า ผมไม่มีความสามารถพอน่ะครับ”
“เจ้าพูดเองมิใช่รึ ว่าความคิดความเห็นมันบดบังความจริงได้ ที่เจ้าพูดออกมานี้ก็ความคิดความเห็นของเจ้านะ”
สาวิตรยอมจำนน
“แล้วถ้าผมไม่รับปากท่านละครับ”
ท่านจ้องหน้าสาวิตรตรงๆ
“หากบรรพบุรุษมิทำสิ่งที่บังควรทำ แผ่นดินที่เจ้าเกิดฤาจักมีวันที่เจ้ายืนอยู่นี้”
หมายความว่า..หมายความว่า...ทุกสิ่งที่เกิดมีขึ้นแล้วในกาลนี้ จะต้องสูญสลายหายลับไปทั้งหมดอย่างนั้นหรือเปล่านะ...ไม่มีคำตอบ
“พึงน้อมยอมรับในสิ่งที่เจ้าพึงกระทำเสียเถิด”
“ครับ” สาวิตรตอบได้เพียงนั้น แล้วก็ถามนอกเรื่องต่อด้วยความอยากรู้
“สมัยนั้น ท่านปกครองบ้านเมืองแบบไหนครับ”
“ที่เมืองบางยางซึ่งข้าปกครองอยู่แลเมืองอื่นๆ พ่อเมืองเป็นใหญ่ แต่ถึงใหญ่เพียงไหน ก็ใช่ว่าจักคิด จักตัดสินใจลำพังเพียงผู้เดียว หรือใช้คำสั่งเด็ดขาดแต่ผู้เดียวก็หาไม่ เราล้วนแล้วแต่ประชุมขุนนางทั้งชั้นผู้ใหญ่แลชั้นผู้น้อย ช่วยกันคิด ช่วยกันอ่าน แล้วใช้ความเห็นที่ตกลงกันว่าสมควร แล้วก็ทำลงไป ไม่มีพ่อเมืองคนไหนจักมีมันสมองทำการคนเดียวไหวดอก แต่เมืองเราผู้คนมิมากมิมาย เราขี่ม้าขี่ช้างไปเยี่ยมราษฎรได้ทั่วถึง รับฟังรับรู้ว่าเขาลำบากอย่างไร เขาต้องการอันใด เราจักได้จัดการให้เขา มิรู้เหมือนกัน ว่าการปกครองอย่างของข้านี้ พอจักกล่าวขานว่าเป็นประชาธิปไตยอย่างของพวกเจ้าได้บ้างฤาไม่”
สาวิตรหัวเราะอีก “น่าคิดครับ ตกลงใครกันแน่ที่ใช้ระบอบประชาธิปไตยมาก่อน แล้ว เอ้อ การทำหน้าที่ที่ท่านบอกผม ผมจะต้องทำอย่างไรบ้างครับ”
“มิต้องเป็นกังวล เมื่อวาระเวลามาถึง เจ้าจักรับรู้เองว่าเจ้าจักต้องทำสิ่งใด”
...........
สาวิตรรู้สึกได้ถึง มือที่มาจับหัวไหล่เขาเขย่าอย่างแรง
“พี่วิตรมาฟุบหลับหน้าคอมอีกแล้ว ไปนอนเตียงดีกว่านะ ถ้าง่วง หลับแบบนี้ตื่นมาปวดแขนตาย”
ธิโมที เจ้าน้องชายตัวดี ถือวิสาสะเข้ามาในห้องนอนเขาตามเคย สาวิตรงัวเงียลุกขึ้น ตายังหรี่เพราะสู้แสงไฟไม่ถนัดนัก... “ท่าน” หายไปไหนเสียแล้ว เขาเหลียวซ้ายแลขวามองหา
ฝันอีกแล้วสิเรา สาวิตรนึก แล้วก็ถามน้องชายไปว่า “มีอะไรอีกหรือ”
“เมื่อเย็นพี่ยังไม่ตอบผมเลยว่า ทำให้เจ้านั่นมันแข็งค้างอยู่ได้ยังไง” นึกแล้วว่าธิโมทีต้องตามมาถามจนได้ เพราะถ้ายังไม่ได้คำตอบ เจ้าน้องชายคนนี้มิเคยลดละสักครั้ง
“มันเหลือเชื่อนะ ถ้าพี่เล่าไป นายจะว่าพี่บ้าหรือเปล่า”
“ไม่ว่า เล่ามาเลย ผมชอบฟังอยู่แล้วเรื่องสนุกๆ แบบนี้”
สาวิตรเริ่มเรื่อง “หลังจากพี่ฝันถึงผู้หญิงคนนั้นตามที่เคยเล่าให้ฟัง เมื่อคืนก่อน พี่ก็ได้พบท่านผู้หนึ่งในความฝัน ท่านชื่อพ่อขุนบางกลางหาว ปกครองเมืองบางยางในเมืองไทยสมัยโบราณ ท่านมีฤทธิ์หรือจะเรียกว่าความสามารถพิเศษที่เหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไปก็ได้ ท่านสามารถสั่งคนให้แข็งเป็นหินได้ เรื่องนี้แม่พี่เคยเล่าให้ฟังตอนเด็กๆ แล้ว แต่พอพี่มาพบท่านในความฝัน พี่ก็ไม่เชื่อหรอกว่าท่านคือตัวจริง ก็เลยขอให้ท่านแสดงให้ดูเป็นการพิสูจน์”
“แล้วท่านก็เลยมาพิสูจน์ให้พี่ดูจริงๆ แบบไม่ใช่ในความฝันงั้นสิ” ธิโมทีว่า
“ใช่ เรื่องที่นายเห็นตอนเย็นนั่นแหละ ท่านทำหรอก มิใช่พี่”
“ทำให้ไอ้หัวขโมยยืนตัวแข็งแบบนั้น อืม แปลกดีนะ” ธิโมทียังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ถามต่อ
“แสดงว่า ท่านก็อยู่ใกล้ๆ พี่งั้นสิ”
“จะบอกว่าอย่างนั้นคงใช่ ท่านยังบอกให้พี่กลับเมืองไทยด้วย และที่มากกว่านั้นอีกก็คือ กลับไปอดีต ไปทำหน้าที่ของพี่ให้เสร็จสิ้น”
“หา จริงหรือนี่ ยังกะหนังแฟนตาซีเลยนะนี่” ธิโมทีเบิกตากว้าง
“พี่ได้ฟังมาแบบนี้จริงๆ แล้วพี่ก็จะกลับเมืองไทยแล้วนะ” สาวิตรบอกน้องชาย
“ไปทำหน้าที่ที่ว่านั่นหรือ”
“หน้าที่ที่ว่านั้นมันเรื่องรอง พี่ก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองจะทำได้จริงหรือเปล่า แล้วจะทำยังไง ตอนนี้พี่ก็ยังไม่รู้ แต่นายก็รู้ใช่ไหมว่าพี่อยู่ที่นี่แล้วเป็นยังไง แล้วตอนนี้ พี่ก็รู้สึกว่าอยู่เมืองไทยคงจะดีกว่าอยู่ที่นี่ เข็มเขาก็ขอให้พี่กลับไปกับเขาหลายครั้งแล้ว นี่แหละทำให้พี่ตัดสินใจกลับ ก็คงไปหางานทำที่นั่นแหละ พี่จะกลับพร้อมเข็มเดือนหน้าแล้วนะ”
ธิโมทีหน้าสลดลงโดยพลัน
“ว้า ไม่ไปไม่ได้หรือ เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ถ้าพี่ไม่อยู่ที่นี่ ผมคงเหงามากเลย”
สาวิตรเดินมาตบไหล่น้องชาย “พี่ก็คงคิดถึงนายมากเช่นกัน แต่ซิดนีย์กับเมืองไทยก็มิได้ไกลกันมาก นายเองก็ไปเมืองไทยออกบ่อย พี่จะมาเยี่ยมนาย หรือนายจะไปเยี่ยมพี่ก็คงทำได้ตลอด พี่ไม่ลืมนายหรอก เพราะนอกจากจะเป็นน้องแล้ว นายยังเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของพี่ด้วย”
ธิโมทีได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ
สาวิตรจัดการส่งไลน์ไปบอกกล่าวอาพสิฐว่าจะกลับไปอยู่บ้านที่เมืองไทย ทางฝ่ายนั้นดูท่าจะยินดีมาก พร้อมกับบอกว่า จะให้แม่บ้านช่วยทำความสะอาดบ้านของพ่อที่ปิดล็อกมานานให้ จากนั้นเขาก็ติดต่อทำเรื่องกลับเมืองไทย และจัดเตรียมของ ลาออกจากงานร้านอาหารที่ทำ พร้อมกับร่ำลาเพื่อนฝูง รวมทั้งอาพิชิต เพื่อนของพ่อ เอวา แม่เลี้ยง และมิอากับเอลล่า น้องสาวร่วมบิดาด้วย ทั้งมิอากับเอลล่ามาคุยกับเขามากขึ้นในช่วงเวลาที่เหลือ แต่เอวายังคงเหมือนเดิม และท่าทางดูเหมือนจะโล่งอกที่เขากลับเมืองไทยไปเสียได้
ในวันเดินทาง ซึ่งเขาเดินทางร่วมกับปรางนวลสองคนนั้น คนรักของเขามีเพื่อนมาส่งมากมาย ทั้งชาวออสเตรเลียและชาวเอเชียด้วยกัน ตามประสาคนเพื่อนเยอะ สาวๆ ทั้งกลุ่มถ่ายรูปด้วยกันเป็นที่ระลึกอย่างสนุกสนาน เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ส่วนตัวสาวิตรนั้น มีเพียงธิโมที น้องชายที่ตามมาส่งที่สนามบิน ซิดนีย์ Kingsford Smith
“ถ้าพี่กลับไปแล้ว มีเรื่องตื่นเต้น อย่าลืมเล่าให้ฟังบ้างนะ หรือจะส่งข่าวมาชวนผมไปเที่ยวด้วยก็ได้ ผมไปเมืองไทยได้เสมอ อ้อ แล้วก็ฝากความคิดถึง ถึงอาพสิฐ อาเยาว์กับพี่พินด้วย” ธิโมทีกล่าวถึงนาถนพิน พี่สาวลูกของอาที่คุยถูกคอและมีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษ
“ได้สิ พี่จะติดต่อมาหาเสมอ ดูแลตัวเองด้วยนะ ทิม” สาวิตรเข้าไปกอดลาน้องชายเป็นครั้งสุดท้าย
“พี่ไปนะ ทิม หวังว่าคงได้เจอกันที่เมืองไทยนะ หากไปแล้ว อยากไปไหน อยากกินอะไรบอก พี่จะพาไปเที่ยวไปกินให้ทั่วเลย” ปรางนวลมากอดลาธิโมทีเช่นกัน หลังจากกอดร่ำลาเพื่อนของเธอทุกคนแล้ว
“ขอบคุณมากครับ พี่เข็ม แล้วค่อยเจอกันครับ” ธิโมทีตอบ
เครื่องบินทะยานขึ้นจากท่าอากาศยานแล้ว สาวิตรทอดสายตามองแผ่นดินซิดนีย์ผ่านหน้าต่างเครื่องบินเป็นครั้งสุดท้าย ลาก่อน ออสเตรเลีย เขาจะไม่ลืมเลย ว่าแผ่นดินนี้เคยให้ความสุขกับเขาเกินกว่าครึ่งชีวิตที่ได้เกิดมา แต่ตอนนี้เขาต้องกลับไปมีชีวิตใหม่ และกลับไปทำหน้าที่ หน้าที่ที่เขายังคงงงงวยว่า ตัวเองจะต้องทำอะไร อย่างไร และจะทำได้มากขนาดไหนกันหนอ
เพียงไม่นาน ปรางนวลก็หลับไปแล้ว เธอคงเหนื่อย เพราะก่อนหน้านี้ เพื่อนๆ พี่ๆ พาไปเลี้ยงอำลาเกือบทุกวัน สาวิตรเหลือบมองดวงหน้าขาวนวลที่เอนศีรษะซบพิงไหล่เขาและพยายามไม่ขยับตัว เพราะเกรงว่าคนรักจะตื่น เขาพิศดูดวงหน้าด้านข้างที่จมูกโด่งพองาม ขนตายาวเป็นแพแล้วถอนใจ เธอช่างเหมือนคนไกลที่เขาผูกพันมากจริงๆ จะว่าคนไกลหรือ ความจริงก็ไม่ใช่ เพราะเขายังไม่รู้เลยว่าเธอเป็นใคร อยู่ที่ไหน รู้อย่างเดียวว่า โอกาสพบเธอมีเพียงในฝันเท่านั้น และหลายวันมานี้ เขาก็ยังไม่ได้พบเธออีก..
เธอจะรู้บ้างไหมว่ายามนี้เขาคิดถึงเหลือเกิน อยากพบ อยากพูดคุย อยากอยู่ใกล้ชิด อยากนั่งมองดวงหน้างามไม่ให้คลาดสายตา
สาวิตรทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง แสงอาทิตย์สว่างแจ่มจ้าเต็มท้องฟ้า ถึงเธอจะอยู่แห่งใด ในกาลใด เธอกับเขาก็ยังคงอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ดวงเดียวกันนี้ คิดอย่างนี้เขาก็ใจชื้นขึ้น และคิดถึงเพลงเก่าเพลงหนึ่งชื่อ “The same sun” ของ คริส เดอ เบิร์ก ซึ่งพ่อเคยเปิดฟังบ่อยๆ ราวกับคิดถึงแม่ของเขา จนติดอยู่ในหูและในใจของเขาตลอดมา
I cannot sleep tonight, I have you on my mind,
Even the wind is calling your name,
Though you are far away, I feel that you are near,
Whispering words from over the sea.
And if you wake in your night remember that I will be here;
And like the same sun that's rising on the valley with the dawn,
I will walk with your shadow and keep you warm,
And like the same moon that's shining through my window here tonight,
I will watch in your darkness and bring you safely to the morning light.
Where there is love like this, forever for all time,
I will be there wherever you are.
Where there are hearts that live together in one soul
Nothing on earth will keep us apart,
And if you're crying inside, remember that I will be here.
จริงสิ แม้จะไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน ห่างไกลกันสักเพียงไหน แต่สาวิตรก็ยังรู้สึกเหมือนเธออยู่ข้างๆ กาย ส่งเสียงกระซิบข้ามน้ำข้ามทะเลมา เขาเองก็อยากเป็นดวงตะวันดวงเดิมที่คอยให้ความอบอุ่นเธอทุกวัน อยากเป็นดวงจันทร์ดวงเดิมที่พาเธอข้ามความมืดหม่นแห่งราตรี แต่ใจสองดวงจะได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวไหม เขายังไม่รู้เลย ขอโอกาสเถิด ขอโอกาสได้พบเธอเถิด...ผู้หญิงในฝัน
สาวิตรทอดถอนใจและหลับตาลง อยากมีโอกาสเห็นร่างแบบบางในชุดโบราณนั่นอีกสักครั้งจริงๆ
ปรางนวลขยับตัว เธอตื่นแล้ว ทำให้สาวิตรต้องลืมตาขึ้น
“แน่ะ หลับตายังยิ้มเลย อยู่กับเข็มแล้วพี่วิตรคิดถึงใครเหรอ”
“เอ้อ ไม่มีอะไร” สาวิตรเก้อเขิน ในใจรู้สึกสะดุ้งเล็กน้อยที่คนรักอยู่ใกล้แท้ๆ แต่ตัวเองกลับไปคิดถึงคนอื่น
ปรางนวลยิ้มอย่างจะบอกว่าที่เธอทักนั้นแค่เพียงล้อเล่น เพราะหลายปีที่คบกันมา สาวิตรไม่เคยมีทีท่ากับผู้หญิงอื่นใดเลย เขาเอาใจใส่ดูแลเธอคนเดียวอย่างดีตลอดมา
“ถึงกรุงเทพแล้ว พี่วิตรก็จะได้เจอพ่อแม่แล้วก็พี่ชายน้องชายเข็มครบที่สนามบิน แล้วก็จะชวนพี่วิตรไปกินข้าวบ้านด้วย เพราะฝีมือทำกับข้าวคุณแม่เข็มนี่เลื่องลือไปสามโลกเลย”
“ครับ ยินดีอย่างยิ่ง”
ปรางนวลเอนซบไหล่เขาอย่างเดิม เขาจึงกุมมือเธอเอาไว้ สายตาทอดมองไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง ท่ามกลางหมู่เมฆขาวที่ลอยฟ่องนั้น ดูเหมือนเขาเห็นพระพักตร์ของ “ท่าน” ปรากฏขึ้น สาวิตรรู้ในจิตว่า พระองค์คอยติดตามคุ้มครองให้เขาเดินทางกลับแผ่นดินไทยโดยสวัสดิภาพอยู่ เขาจึงละจากการกุมมือคนรักและประนมมือไหว้ไปยังทิศทางนั้น
ปรางนวลรู้สึกตัวและทันเห็นภาพเขายกมือไหว้
“พี่วิตรไหว้ใครคะ”
“ไหว้พระน่ะ” สาวิตรตอบเพียงนั้น ปรางนวลเอี้ยวตัวมองออกไปนอกหน้าต่าง
“ไหนคะ ไม่เห็นมี”
“พระที่พี่เคารพนับถืออยู่ในใจน่ะ”
ปรางนวลมองหน้าเขาอย่างประหลาดใจ สงสัยว่าคนรักของเธอมีอะไรแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ
เครื่องบินลงจอดที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเรียบร้อยแล้ว หลังจากรับกระเป๋าจากสายพานเสร็จ เขาก็เข็นรถเคียงคู่ปรางนวลไปยังจุด meeting point ที่อาคารผู้โดยสารขาเข้า พลางกวาดสายตามองหาอาพสิฐที่นัดให้มารับ
นาถนพินที่คราวนี้ดูสูงเพรียว ผมตัดสั้นแปลกตากว่าเดิม โบกมือหยอยๆ ต้อนรับเขา..
ถึงตอน 3 แล้ว อยากฟังเสียงคนอ่านจัง มีใครอ่านเรื่องของเรามั้ยน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น