บทที่ 2
บุรุษลึกลับแต่งตัวแปลก ไม่เหมือนคนในยุคนี้ ก้าวเดินเข้ามาหาเขา สาวิตรถอยหลังด้วยความตระหนก เหลียวมองรอบตัว..เอ๊ะ นี่มันที่ไหนกัน มีแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า ไม่ใช่ห้องนอนของเขาแน่นอน สิ่งของที่คุ้นตาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไม่มีเลยสักชิ้น
บุรุษผู้นั้นยิ้มอ่อนๆ ให้ ใบหน้าเข้มกลับดูอ่อนโยนอย่างประหลาด
“เจ้าจะกลัวข้าไปไย ข้ามิได้มีความประสงค์ร้ายใดๆ ต่อเจ้าเลย” เขากล่าว
สาวิตรจึงหยุดถอยและยืนประจัญหน้ากับบุรุษผู้นั้น
“ท่านคือ...” สาวิตรถามออกไป
“พ่อขุนบางกลางหาวที่เจ้ากำลังคิดถึงอยู่ไงเล่า แลเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกเรียกขานว่าพระร่วง เจ้าเคยเห็นข้าแล้วนี่หนา ข้าเองเคยบอกเจ้าแล้วว่าข้าคือผู้ใด”
สาวิตรงุนงงหนัก ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าจะได้เผชิญหน้ากับคนในอดีตอย่างไม่คาดคิดเลยสักนิด
“ผมจะเชื่อได้ยังไงล่ะ ว่าท่านคือพ่อขุนบางกลางหาว ในอินเตอร์เน็ตก็ไม่มีรูปท่านให้เห็นเลยสักหน่อย ผมลองค้นดูแล้ว”
“ข้าจักปดเจ้าไปทำไม” บุรุษผู้นั้นว่า “เพื่อให้เจ้ารู้ว่า ข้ามิได้หลอกลวง มีเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับตัวเจ้าที่ข้ากล่าวไม่ผิดแน่ ฟังดูแล้วกันว่าข้าจักกล่าวถูกฤาไม่ ถ้าข้ากล่าวถูก จงเชื่อเถิดว่าข้ากล่าวคำสัตย์”
“เรื่องอะไรครับ”
“ก่อนแม่ของเจ้าจากเจ้าไป นางให้พระไว้ติดตัวเจ้าใช่ฤาไม่”
ชายหนุ่มนิ่งไปนิดหนึ่ง จริงสิ...คืนหนึ่งหลังจากเล่านิทานก่อนนอนเสร็จ เป็นคืนก่อนที่แม่จะจากไปไม่นานนัก แม่ได้มอบพระองค์หนึ่งให้สาวิตร ตามประสาเด็ก เขาไม่ได้เข้าใจอะไรมากนัก นึกแต่ว่า ถ้าได้ของเล่นสักชิ้น น่าจะดีกว่า พระองค์นี้เป็นปางยืน ด้านหลังเป็นร่อง ขนาดและรูปทรงอาจจะใหญ่เกินไปสำหรับเด็กอย่างเขา พ่อจึงเก็บไว้ให้และมอบให้เขาแขวนติดตัวเมื่อโตขึ้น เขาได้รับรู้จากพ่อว่า พระองค์นี้คือ “พระร่วงหลังรางปืน”
เวลานี้เขาก็ยังแขวนติดตัวไว้อยู่ในเสื้อ
แม่ยังบอกด้วยว่า หากวันใด มีผู้ที่รู้ว่าพระองค์นี้ แม่เป็นผู้มอบให้ไว้ ผู้นั้นแหละคือ “พระร่วง” สาวิตรรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยในยามนั้น แต่ก็ค่อยๆ ไม่ใส่ใจไปตามกาลเวลา ตอนนี้แหละที่ระลึกถึงคำของแม่ขึ้นมาได้
“ท่านรู้เรื่องแม่ผมหรือครับ บอกได้ไหมครับว่าแม่ผมอยู่ที่ไหน”
“ข้าบอกมิได้ดอก ตอบมาสิว่าที่ข้าถามนั้นเป็นความจริงฤาไม่”
“ครับ แม่ให้ผมไว้จริง แล้วพระนั้น ท่านลองบอกสิครับว่าลักษณะเป็นอย่างไร”
สาวิตรยังไม่ปักใจเชื่อสนิทจึงได้ถามออกไป แต่บุรุษลึกลับนั้นกลับอธิบายได้อย่างถูกต้อง
“ผมเชื่อท่านก็ได้ ถ้าเช่นนั้นก็แปลว่า ท่านไม่ได้อยู่ในสมัยเดียวกับผมสิครับ แล้วท่านติดตามผมมาได้ยังไงถึงที่นี่” สาวิตรถาม
“รูปพระที่เจ้าติดตัวนั่นแหละ เป็นสื่อเชื่อมให้ข้าติดตามเจ้าได้ ต่อให้อยู่ไกลสุดขอบหล้าก็ตามและอยู่ในกาลใดก็ตาม”
“แล้วจะติดตามผมมาทำไม”
“เพราะเจ้ามีหน้าที่ทำเพื่อแผ่นดินร่วมกับข้า หน้าที่ขับไล่ศัตรูผู้เบียดเบียนเผ่าไทให้ได้รับความยากแค้นมานานแสนนาน เราจักได้อยู่เป็นสุขกันเสียที”
“โห ประมาณกู้แผ่นดินเลย ผมนี่นะจะทำได้”
ผิดคนหรือเปล่า สาวิตรนึก มันน่าจะเป็นน้องชายของเขา เจ้าธิโมทีมากกว่า ความเก่งกาจปราดเปรียวไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนหนังสือหรือกีฬา เขาไม่มีทางเทียบน้องชายติด อย่างดีก็แค่ปาลูกดอกแม่น และขี่บิ๊กไบค์เล่นพอได้ แต่ธิโมทีสิ เป็นทั้งนักบอลเนื้อหอมของโรงเรียน และนักเรียนเรียนดีระดับท็อป แม่เลี้ยงของเขาก็กล่าวถึงความสามารถของลูกชายด้วยความภาคภูมิใจ โดยแฝงนัยแห่งการทับถมเอาไว้ด้วย โชคดีที่เขากับน้องชายได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อให้รักกัน จึงไม่มีสักครั้งที่เขาจะนึกอิจฉาน้อง และไม่มีสักครั้งที่น้องจะนึกเหยียดหยามเขาผู้เป็นพี่
“ไม่ผิดคนหรอกเจ้า” บุรุษผู้นั้นพูดราวกับล่วงรู้เข้าไปในใจเขา
“คนเราจักรู้ว่าตัวมีคุณค่าปานใด ต่อเมื่อได้ทำหน้าที่ที่เกิดมานั่นแหละ มิใช่อยู่ที่มีความรู้หลักแหลม จำเอาไว้ เจ้ามีหน้าที่อันสำคัญ ข้าจึงได้บากบั่นมาตามเจ้าถึงที่นี่”
สาวิตรรู้สึกงวยงงกับคำกล่าวของบุรุษลึกลับยิ่งนัก นี่เขามีหน้าที่ในอดีต กับคนในอดีตหรือ แถมยังเป็นหน้าที่ที่ดูใหญ่โต และถึงกับต้องมาตามเขากลับไปด้วย มันเกินจะเชื่อไหวจริงๆ
“เอ้อ ผมขอคิดดูก่อนได้ไหม” สาวิตรตอบ
“เจ้าไม่มีสิทธิ์ลังเลดอก เพราะเจ้าจักคิดฤาไม่คิด จักหนีฤาไม่หนี ก็มิอาจพ้นไปได้ เพราะนั่นมันเป็นสัจวาจาของเจ้าเอง”
“ครับ” เขาตอบรับออกไป แต่ใจก็ยังเต็มไปด้วยความสงสัยอยู่ นี่เขาเคยไปรับปากใครว่าจะทำอะไรด้วยหรือ ทำไมตัวเองถึงไม่รู้เรื่องเลย กระนั้นก็ยังถามต่อ
“ถ้าท่านยังมีจริง ผมเคยเจอผู้หญิงคนหนึ่งมาหลายครั้งในความฝันก่อนที่จะพบท่าน ดูเหมือนจะเป็นนักดาบด้วย ผู้หญิงคนนั้น เธอก็มีตัวจริงใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มลองถามดูทั้งที่ยังไม่แน่ใจนักว่าผู้ถูกถามจะตอบได้
บุรุษผู้นั้นยิ้ม “ถูกต้อง”
สาวิตรใจชื้น เธอมีตัวจริง เขายังมีโอกาสพบนางในฝันอีกสินะ พบในฝันก็ยังดี...แล้วเธออยู่รอดปลอดภัยจากหมาหมู่ที่กลุ้มรุมทำร้ายไหมหนอ
“ผมเห็นเธอถูกรุมทำร้าย เธอเป็นอย่างไรบ้าง ท่านได้ช่วยเธอหรือเปล่าครับ”
“นางปลอดภัยดีอยู่”
ถึงจะได้รับรู้เพียงแค่นี้ เขาก็รู้สึกยินดีมากนักแล้ว ...สาวิตรหวนกลับมาคิดถึงหน้าที่ประหลาดของตนที่เพิ่งได้รับคำบอกเล่ามา แล้วก็นึกอยากรู้ ว่าตนเองจะต้องไปทำอะไรในกาลอันไกลโพ้น ขอรู้ลึกรู้จริงสักหน่อยเถอะ จะเชื่อได้หรือไม่ได้ ค่อยว่ากันอีกทีหนึ่ง คิดแล้วจึงตัดสินใจถามออกไปว่า
“ถ้าอย่างนั้น ผมขออะไรท่านสักสองข้อได้ไหม ข้อแรก ขอให้ท่านบอกให้ผมรับรู้เรื่องราวทั้งหมดอย่างชัดเจน จะได้รู้ว่าผมมีหน้าที่อะไร จะต้องทำอย่างไร ข้อสอง ผมอยากเห็นวิชาที่ท่านมี วาจาสิทธิ์ ผมจะได้หมดความสงสัยทุกอย่าง จริงๆ”
“ได้สิ ข้อแรก ข้าอยากให้เจ้าได้รู้เห็นเรื่องราวทุกอย่างอยู่แล้ว เป็นสิ่งจำเป็นยิ่งที่เจ้าจักต้องรู้ ข้อสอง เมื่อโอกาสพร้อม ข้าจักแสดงให้ดู”
“แต่ข้อแรกนั้น...” บุรุษผู้นั้นกล่าวต่อ
“ขอให้เจ้าคืนสู่บ้านเกิดเมืองนอนก่อนเถิด แล้วเจ้าจักได้รู้ทุกอย่างเอง”
เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังระรัวปลุกสาวิตรให้ลืมตาขึ้น ภาพสถานที่เวิ้งว้าง ภาพบุรุษลึกลับหายไปแล้ว เหลือเพียงห้องนอนห้องเดิมที่เขาอาศัยนอนมาตั้งแต่เด็ก
สาวิตรหยิบโทรศัพท์ขึ้นดู ปรางนวลนั่นเอง เขารับสาย เสียงแจ๋วๆ ของปรางนวลดังอยู่ในหู
“วันนี้พี่วิตรว่างหรือเปล่าคะ”
“ว่างครับ”
“บ่ายนี้เข็มไม่ต้องสอนภาษาไทยให้น้องเกรทแล้วค่ะ แกจะไปข้างนอกกับแม่แก ถ้าพี่วิตรว่าง มารับเข็มได้ไหมคะ เข็มอยากไปเที่ยวทะเล”
ปรางนวลรับเป็นครูภาษาไทยให้แก่ลูกของญาติคนหนึ่งที่เกิดในออสเตรเลีย แต่ถ้ามีโอกาสคราวใด เธอมักขอให้สาวิตรพาไปทะเลเสมอ เพราะชอบบรรยากาศสดชื่น ลมพัดโชยและการว่ายน้ำเป็นชีวิตจิตใจ
“ได้เลย เดี๋ยวพี่ไปรับนะครับ”
สาวิตรลุกขึ้นจากเตียงไปยังโน้ตบุ๊คที่ตอนนี้หน้าจอดำมืดเพราะพักอยู่ เขาเคาะแป้นทีหนึ่ง ภาพที่เห็นเป็นตัวหนังสือเต็มพรืดเหมือนเดิม ภาพบุรุษผู้ปรากฏขึ้นอย่างลึกลับหายไปแล้ว
สาวิตรถอนใจ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขานี่มันอะไรกันหนอ ถ้าเขาไปเล่าให้ใครฟัง จะมีใครยอมเชื่อไหม ว่าเขาได้พบกับผู้ที่มาจากอดีตกาล และจากดินแดนอันไกลโพ้น..
สาวิตรแต่งตัวลงไปชั้นล่าง เห็นน้องสาวทั้งสองนั่งดูโทรทัศน์อยู่ เมื่อถามถึงธิโมที มิอาก็ตอบว่าออกไปข้างนอกแล้ว เขาเลยคิดว่าไปหามื้อกลางวันกินข้างนอกดีกว่า สาวิตรไปที่รถและขับออกไป เขาแวะทานอาหารกลางวันที่ร้านเล็กๆ ก่อนจะไปรับปรางนวลตามเวลาที่นัดกันไว้
ปรางนวลลงมายืนริมถนนหน้าที่พักแล้วเมื่อเขาไปถึง วันนี้เธอสวมเสื้อยืดสีส้มแขนยาวรัดรูป กางเกงยีนส์ เผยให้เห็นรูปร่างงดงามที่ไม่ผอมเกินไปและไม่อ้วนเกินไป ดวงหน้าภายใต้ผมสลวยยาวตรง หน้าผากมีผมม้าปกคลุม ยิ้มกว้างอย่างสดใสเหมือนทุกครั้งที่ได้พบเขา
เธอเปิดประตูรถขึ้นมานั่งข้างๆ “พี่วิตรกินข้าวกลางวันแล้วนะคะ”
“เรียบร้อยครับ”
“เข็มก็ทานแล้วค่ะ แต่วันนี้มีกล้วยหอมทอดมาฝาก เข็มทำเองตามเคยนะคะ”
ปรางนวลเปิดกล่องพลาสติกอวดผลงาน กลิ่นของมันหอมจนเตะจมูก
“น่ากินจริง ขอบคุณมากๆ ” สาวิตรตอบ
กล้วยหอมทอดเป็นของโปรดของสาวิตร ปรางนวลรู้ดี เธอมักทำมาฝากเขาเสมอๆ เช่นเดียวกับอาหารอื่นๆ อย่างคนที่ช่างเอาใจใส่ พร้อมกับคอยดูแลสนใจไต่ถามทุกข์สุขของเขาเสมอ เธอเป็นคู่รักที่ดี แต่หลายครั้งเขากลับรู้สึกกับเธอเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน หรือเขายังไม่พร้อมที่จะรักใครอย่างคนรักจริงๆ ?
สาวิตรขับรถพาปรางนวลมาที่หาดคูจี (Coogee Beach) ตามที่เธอขอไว้ ทั้งคู่มานั่งพักในสวนสาธารณะริมหาดและ รับประทานกล้วยหอมทอด กับเครื่องดื่มครู่หนึ่ง แล้วปรางนวลก็ขอไปถ่ายรูปเพื่อเก็บภาพตัวเธอ สาวิตรและทัศนียภาพที่งดงาม เพราะอีกไม่นาน เธอจะต้องกลับประเทศไทยบ้านเกิดแล้ว
“พี่วิตรกลับเมืองไทยกับเข็มไหมคะ”
คำถามนี้ปรางนวลถามเขาบ่อยครั้ง เพราะอยากให้ไปอยู่ด้วยกันที่เมืองไทย แต่สาวิตรยังไม่ตัดสินใจ เพราะเขาอยู่ที่ซิดนีย์นานกว่าอยู่เมืองไทยที่เป็นบ้านเกิด แต่บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่ารีรออะไรอยู่ เพราะถึงแม้จบการศึกษามาพักใหญ่แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้หางานทำตามวุฒิการศึกษาเป็นเรื่องเป็นราวที่นี่ ยังคงทำงานในร้านอาหารที่ทำมาเมื่อหลายปีก่อน ราวกับเขาเป็นคนเฉื่อยชาหรือไม่คิดลงหลักปักฐานที่ผืนแผ่นดินแห่งนี้ ขณะที่ปรางนวลเมื่อกลับไป เธอก็คงไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือ เพราะรักการเป็นครูเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว
ปรางนวลถ่ายรูปจนพอใจอยู่พักใหญ่ เธอจึงชวนเขาไปว่ายน้ำเล่นที่สระว่ายน้ำอนุสรณ์รอสส์โจนส์ อันเป็น Ocean pool อาศัยน้ำทะเลมาเป็นน้ำในสระ สาวิตรว่ายเล่นอยู่ครู่หนึ่งก็ไปนั่งพักริมสระ ปล่อยให้ปรางนวลดำผุดดำว่ายอย่างสนุกสนานอยู่ ท่ามกลางผู้คนที่มาลงเล่นน้ำกันอย่างคับคั่งเนื่องจากเป็นวันหยุด
แว่บหนึ่งที่เฝ้ามองคนรัก เขาอดคิดถึงผู้หญิงในฝันด้วยความเป็นห่วงไม่ได้...ป่านนี้เธอจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ
“พี่วิตร มาเล่นต่อสิคะ” ร่างงามในชุดว่ายน้ำวันพิซสีฟ้าสดป้องปากเรียก ดึงให้เขาออกมาจากห้วงความคิด
“ไม่ละครับ ขอพักดีกว่า”
ปรางนวลเข้าใจดีว่า สาวิตรไม่ใช่คนชอบเล่นกีฬามากนัก จึงปล่อยเขาไว้อย่างนั้น แล้วเล่นน้ำต่ออย่างมีความสุข จากนั้นทั้งคู่ก็พากันไปรับประทานอาหารเย็นกันที่ร้านอาหารบริเวณใกล้ๆ ชายหาดนั้น
ปรางนวลถามคำถามเดิม
“เดือนหน้าพี่วิตรไปเมืองไทยกับเข็มไหมคะ”
คำถามนี้เหมือนทำให้เสียงของบุรุษลึกลับดังขึ้นในใจสาวิตรอีกครั้ง “ขอให้เจ้าคืนสู่บ้านเกิดเมืองนอนก่อน แล้วเจ้าจะได้รู้เอง” คงถึงเวลาที่เขาควรกลับเมืองไทยสินะ จะได้ค้นพบปริศนาของตัวเอง เขามีหน้าที่อันยิ่งใหญ่คอยอยู่จริงหรือ หน้าที่ในอดีตอีกด้วยนะ เล่าให้ใครฟัง ใครจะเชื่อละ เขาเองก็ยังไม่กล้าปักใจเชื่อเลย ทว่าถ้ายังอยู่ที่นี่ ต่อไปเขาคงต้องออกจากบ้านที่พ่อซื้อไว้แน่ๆ เพราะทนเป็นส่วนเกินอีกต่อไปไม่ไหว แต่ที่กรุงเทพ เขายังมีบ้านของพ่ออยู่ บ้านที่พ่อฝากอากับอาสะใภ้คืออาพสิฐและอายุพเยาว์ให้ดูแลไว้ และทั้งสองคนรวมถึงลูกสาวคนเดียวคือนาถนพินก็ยินดีต้อนรับเขาอยู่เสมอ
สาวิตรกลับไปเยี่ยมเมืองไทยอยู่หลายครั้ง และเกือบทุกครั้งพ่อจะพาเจ้าน้องชายคือธิโมทีกลับไปด้วย จนน้องชายดูจะคุ้นเคยและผูกพันกับเมืองไทย ตลอดไปจนถึงนาถนพินผู้มีศักดิ์เป็นพี่สาวเป็นอย่างมาก
เสียงของบุรุษลึกลับที่เริ่มคุ้นเคยดังอยู่ในหู “กลับได้แล้วเจ้า” เขารู้สึกแปลกใจ เหลียวซ้ายและขวาหาที่มาจนปรางนวลชักสงสัย แต่เขาแน่ใจว่าได้ยินเสียงนั้นจริงๆ
“พี่วิตรมองซ้ายมองขวาทำไมคะ” ...นี่เขาคงได้ยินเสียงนั้นคนเดียวสินะ
“เอ้อ คิดว่าจะกลับครับ” ในที่สุดก็ตอบออกไป “เพราะอยู่ที่นี่ พี่ก็คงอึดอัดใจต่อไป กลับไปทางโน้น ไปหาลู่ทางทำอะไรน่าจะดีกว่า”
ปรางนวลรับรู้ความเป็นไปในบ้านของสาวิตรที่ซิดนีย์เป็นอย่างดี เธอยิ้ม
“เข็มดีใจค่ะ ที่พี่วิตรตัดสินใจได้”
สาวิตรยิ้มตอบและมองหน้าขาวนวลนั้นเต็มตา แล้วความรู้สึกบางอย่างก็ผุดขึ้น ปรางนวลช่างคล้าย...คล้ายกับผู้หญิงในความฝันที่เขาพบและคิดถึงอยู่เสมออย่างมากมาย
มันเป็นไปได้อย่างไรกันนะ
“พี่วิตรมองหน้าเข็มทำไมคะ” ปรางนวลชักขวยเขิน
“เอ้อ” เขารู้สึกตัว “ไม่มีอะไรครับ”
ใกล้ค่ำ สาวิตรขับรถพาปรางนวลเข้าไปซื้อเครื่องปรุงอาหารไทยที่ร้านในไทยทาวน์ เพราะเพื่อนต่างชาติของเธออยากกินผัดไทย ส้มตำและอาหารไทยอีกสองสามอย่าง ปรางนวลจึงตั้งใจจะทำเลี้ยงก่อนอำลาจากกันในอีกไม่นานนัก
ขณะที่ปรางนวลกำลังหยิบของที่ต้องการใส่ตะกร้าอยู่นั้น สายตาเธอก็เหลือบไปเห็นธิโมทีกำลังเลือกของอยู่เช่นกัน
“ทิม” ปรางนวลเรียก ฝ่ายที่ถูกเรียกหันมา
“สวัสดีครับ พี่เข็ม” สาวิตรที่ยืนดูของอยู่แถวนั้น เดินมาสมทบน้องชายและคนรัก
“มาทำอะไร” ปรางนวลถาม
“ซื้อของเข้าร้านแม่ครับ” ธิโมทีตอบ
ทันทีที่เห็นสาวิตร เจ้าน้องชายตัวดีก็ยิ้มจนตาหยี “อ้าว ไหนว่าวันนี้ไม่นัดพี่เข็มไง”
“เข็มเขาเพิ่งโทรมาช่วงเที่ยงๆ ว่าเขาว่างน่ะ”
สาวิตรเห็นคนทยอยเข้ามาจนเต็มร้าน แต่ตัวเองไม่ได้มีธุระอะไร จึงบอกทั้งสองคนว่า
“พี่ไปคอยนอกร้านนะ” ทั้งสองคนพยักหน้า
สาวิตรออกไปเดินเตร็ดเตร่อยู่ด้านนอก คอยเวลาที่ปรางนวลจะซื้อของที่ต้องการเสร็จ สายตาทอดมองผู้คนทั้งฝรั่งและเอเชียที่เดินกันขวักไขว่ทั้งสองข้างถนน
“Help me, help me. He robs my bag.”
เสียงผู้หญิงวัยกลางคนๆ หนึ่งร้องขึ้นสุดเสียงอย่างตระหนก สาวิตรหันไปมอง และทันเห็นกระเป๋าในมือเธอถูกเด็กหนุ่มผมดำสวมเสื้อยืดเก่าๆ กระชากอย่างแรง ร่างที่ค่อนข้างอ้วนเสียหลักล้มลงพร้อมกระเป๋าที่หลุดมือ แต่ปากก็ยังตะโกนไม่หยุด
เจ้าหัวขโมยวิ่งผ่านหน้าเขาไป สาวิตรวิ่งไล่ตามพร้อมตะโกนไล่หลังตามสัญชาตญาณ
“Stop, stop.”
เด็กหนุ่มหัวขโมยที่กำลังวิ่งเต็มฝีเท้าหยุดกึกและแข็งค้างอยู่ในท่านั้น มือยังกำกระเป๋าแน่น
ธิโมทีวิ่งออกมาจากร้านหลังได้ยินเสียงเอะอะวุ่นวายและเสียงพี่ชายของตัวเอง เขาชะงักนิดหนึ่ง ก่อนวิ่งตรงไปยังร่างแข็งเกร็งของเด็กหนุ่มคนนั้น พร้อมปลดกระเป๋าออกจากมือ ทันทีที่กระเป๋าหลุดออก เจ้าหัวขโมยก็กลับเป็นปกติ ใบหน้าที่ตกตะลึงสุดขีดเหลียวมามองสาวิตรแว่บหนึ่ง แล้วก็โกยหนีไปสุดชีวิต
ธิโมทีเอากระเป๋ามาส่งให้ผู้เป็นเจ้าของที่ตอนนี้ลุกขึ้นยืนแล้ว เธอขอบคุณอย่างงงๆ
“โอ้โฮ พี่เรา เยี่ยมไปเลย ทำยังไงนี่” ธิโมทีชูนิ้วโป้งให้ทั้งสองมือ
สาวิตรเองก็งวยงงกับสิ่งที่เกิด เขาทำอะไรลงไปหรือ ตอนนี้คนที่อยู่แถวนั้นออกมาดูเหตุการณ์กันอย่างคับคั่ง บ้างก็ซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์กัน บ้างก็เข้าไปหาผู้หญิงคนนั้นเพื่อซักถามและบอกให้ไปแจ้งตำรวจ แต่คงไม่มีใครสักคนหรอกที่จะเห็นอย่างที่เขาเห็น
บุรุษที่เคยเห็นในฝันส่งยิ้มอ่อนๆ มาให้เขาจากมุมถนนฝั่งตรงข้าม...
ตอนที่ 2 แล้วค่ะ อ่านแล้วรู้สึกยังไง บอกกันบ้างสักนิดนะคะ ขอบคุณมากๆๆๆๆ ค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น