บทที่ 1 พระร่วง



           สาวิตรเปิดเปลือกตาขึ้น หัวใจยังคงเต้นระส่ำ ความรู้สึกตระหนกยังคงอยู่จนรู้สึกได้ แต่ภาพการรบอันดุเดือดหายไปแล้ว กลายเป็นห้องนอนของเขาตามเดิม  กีตาร์ยังคงอยู่มุมห้อง โทรทัศน์ที่ปลายเท้า ตู้เสื้อผ้าสีขาว โต๊ะเขียนหนังสือที่ค่อนข้างรก พู่กันกับอุปกรณ์วาดภาพในกล่อง รวมถึงม่านหน้าต่างสีขาวสะบัดพลิ้วไหวตามแรงลม

          ที่ไม่เหมือนทุกวันคือ แสงแดดแจ่มจ้า ส่องลอดม่านเข้ามาแล้ว

          สายแล้วหรือนี่ สาวิตรหยีตาแล้วดีดตัวขึ้นจากเตียงนอนอย่างฉับพลัน

          “ไม่ต้องรีบตื่นก็ได้พี่” เสียงน้องชายลูกครึ่งต่างมารดา-ธิโมที ที่เข้ามานั่งเงียบๆ ข้างเตียงเอ่ยขึ้น

          “วันนี้วันหยุดของพี่ไง”

          “เออ จริง” สาวิตรทิ้งตัวกลับลงไปอย่างเดิม ใจยังไม่หายเต้นระรัว ราวกับตัวเขาอยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง จนต้องเอามือทาบอก ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียว ถูกรุมล้อมด้วยนักดาบถึง 4 คน เธอจะสู้ไหวหรือ นึกแล้วก็ขัดใจขึ้นมาไม่น้อย ที่ตัวเองมิได้เห็นภาพเหตุการณ์จนถึงตอนสุดท้าย

          ธิโมทีคงสังเกตเห็นอาการของพี่ชาย เลยถามขึ้นว่า


          “ตะกี้พี่ฝันไปหรือ มีอะไรหรือเปล่า เล่าให้ฟังหน่อยสิ ดูท่าทางพี่เหมือนคิดหนักจังเลย”

          สาวิตรจึงเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในฝันให้น้องชายฟัง ตั้งแต่ภาพสตรีร่างแบบบางคนเดิมที่เคยเห็น และบอกเล่าให้ผู้เป็นน้องฟังมาแล้ว การรบพุ่งที่เธอคนนั้นตกอยู่ในวงล้อม แต่ไม่ได้บอกเล่าถึงชายชื่อยาวที่เขาจำได้แม่นว่า “พ่อขุนบางกลางหาว”

          “โอ้โฮ พี่กินอะไรก่อนนอนนี่ ถึงได้ฝันเป็นเรื่องราวได้ขนาดนี้” ธิโมทีพูดขึ้นอย่างแปลกใจที่ผู้เป็นพี่ชายฝันได้ราวประสบกับเรื่องจริง ทั้งที่ไม่น่าจะมีมูลเหตุใด ทำให้ฝันได้แบบนั้นเลย 

          “มันคงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องกินนะ ก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมถึงฝัน แต่ก็ไม่อยากฝันแบบนี้หรอก มันน่ากลัวเกิน ผู้หญิงคนนั้นน่าจะสู้ผู้ชายตั้ง 4 คนไม่ไหว” สาวิตรตอบตามความรู้สึก ยกมือลูบผมที่ยังยุ่งเหยิงอยู่
ธิโมทีพยักหน้า 

          “ให้ผมฝันแบบนี้มั่งก็เอานะ ตื่นเต้นดี วันหลังคงต้องมาขอหัดกับพี่บ้างแล้ว เพราะผมนี่หลับเมื่อไหร่ เหมือนโลกมันหายทั้งโลกเลย” ธิโมทีพูดขำๆ  

         “เออ แล้วถ้าฝันเป็นเลขเมื่อไรบอกนะ จะได้เอาไปเล่นล็อตโต คนไทยฝันเห็นตัวเลขเก่งไม่ใช่เหรอ” ธิโมทีหัวเราะ สาวิตรได้แต่ยิ้ม

        
        “แต่ตอนนี้สายแล้วล่ะ” เขาลุกขึ้น “พี่ลงไปกินอาหารเช้าเถอะ ใครๆ เขากินกันจนหมดแล้ว แม่ก็ออกไปร้านแล้วด้วย” ธิโมทีพูดจบก็เดินออกไปนอกห้อง

          สาวิตรใช้เวลาไม่กี่นาทีกับธุระส่วนตัวตอนเช้า แล้วจึงลงไปที่โต๊ะอาหารและจัดการกับอาหารเช้าที่น้องชายเก็บไว้ให้ มิอากับเอลล่า น้องสาวทั้งสองเงยหน้าขึ้นและพยักหน้านิดหนึ่งเมื่อเขาเอ่ยทัก แล้วก็นั่งเลื่อนโทรศัพท์เล่นต่ออย่างไม่สนใจพี่ชายต่างมารดาเท่าใดนัก ซึ่งนี่เป็นเหตุการณ์ปกติสำหรับสาวิตร
ชีวิตในบ้านนี้มันช่างอยู่กันอย่างคนแปลกหน้าเสียจริงๆ สาวิตรเคยคิด เวลาไหนๆ ก็ไม่เคยเห็นน้องสาวทั้งสองคนคิดจะมาคุยเล่นหัวกับเขาอย่างพี่ชายสักที ยิ่งแม่เลี้ยง-เอวา ยิ่งแล้วใหญ่ เธอทำกับเขาราวเป็นส่วนเกินในชีวิตจริงๆ

สาวิตรรู้สึกอึดอัด ในบ้านชานกรุงซิดนีย์หลังนี้ มีแต่น้องชาย-ธิโมทีเท่านั้นแหละที่เป็นมิตรกับเขา
 
        พิพรรธน์ พ่อของสาวิตรเป็นคนกรุงเทพ พบกับแม่ของเขาที่เป็นนางพยาบาลชาวสุโขทัยเมื่อครั้งขึ้นไปทำงานที่นั่น เมื่อแต่งงานกันและมีลูกคือสาวิตร เมื่อเขายังเล็ก แม่ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย พ่อพยายามติดตามหา ในที่สุดก็ได้เบาะแสว่า มีคนพบรองเท้าที่ขาดแล้ว กระเป๋าสตางค์ของแม่ ตลอดจนรูปถ่ายครอบครัวในกระเป๋าบนสะพานข้ามแม่น้ำยม ทุกคนสันนิษฐานว่าแม่กระโดดน้ำตาย พ่อพยายามระดมหน่วยกู้ภัยค้นหาจนทั่ว หวังว่าเพียงได้พบร่างไร้วิญญาณก็ยังดี

        แต่ก็ไม่มีใครหาศพแม่พบเลยสักคน... มีแต่หัวใจน้อยๆ ของสาวิตรที่เชื่อว่า เขาจะได้ซุกในอ้อมกอดของแม่อีกครั้ง ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

        พ่อเสียใจอย่างหนัก ไม่รู้ว่าเหตุใดแม่จึงตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง ทั้งที่ครองคู่กันอยู่ด้วยความราบรื่น จึงตัดสินใจหอบหิ้วสาวิตรกลับกรุงเทพไปบ้านเดิมที่อากับอาสะใภ้คือพสิฐและยุพเยาว์ดูแลอยู่ พอดีช่วงนั้น อาพิชิต เพื่อนที่ซิดนีย์ชักชวนให้ไปทำร้านอาหารไทยด้วยกัน พ่อจึงตัดสินใจพาเขาข้ามน้ำข้ามทะเลไปตั้งหลักยังต่างแดนทันที เหมือนพยายามไปให้ไกลๆ เพื่อลืมเรื่องราวเจ็บปวดฝังใจทั้งหมด

แต่เพียงไม่นาน แม่เลี้ยงของเขาคือเอวา ก็เข้ามาในชีวิต

        เอวาเป็นชาวออสเตรเลียที่เข้ามาเป็นพนักงานในร้าน จากนั้น พ่อก็แต่งงานกับเธอและมีลูกสามคนคือ ธิโมที มิอาและเอลล่า แม่เลี้ยงดูเหมือนจะไม่ค่อยเอ็นดูเขาเท่าใดนัก แต่การที่พ่อยังอยู่เป็นเสาหลัก ทำให้สาวิตรยังใช้ชีวิตในบ้านได้แม้จะไม่รู้สึกอบอุ่นนักก็ตาม

        โดยเฉพาะยามที่พ่อออกไปทำงาน หรือไปต่างเมืองนานๆ ทิ้งให้เขาอยู่กับแม่เลี้ยงและน้องๆ เขามักรู้สึกบ้านร้อนเป็นไฟด้วยเสียงบ่น คำพูดที่ไม่เป็นมิตร จนต้องออกไปข้างนอกอยู่บ่อยๆ

        พ่อเลี้ยงเขาอย่างลูกคนไทย ให้เรียนภาษาไทยเช่นเดียวกับธิโมที น้องชาย จนสาวิตรนั้นอ่านออกเขียนภาษาไทยได้ พูดได้คล่อง มีแต่มิอากับเอลล่าที่ดูเหมือนจะเป็นลูกแม่เต็มตัว เพราะไม่ได้ใส่ใจความเป็นไทยทางฝั่งพ่อเลย

        ความเปลี่ยนแปลงเริ่มมาเยือนอย่างมากมายเมื่อ 3 ปีก่อน พิพรรธน์ พ่อของเขาเสียชีวิต แม่เลี้ยงขึ้นครองความเป็นใหญ่ในบ้านและเข้าไปดูแลร้านเองเต็มตัว เขารู้สึกอึดอัดกับความเข้มงวดของเอวา จึงออกจากร้านอาหารที่เคยช่วยพ่อดูแลไปหางานทำที่ร้านอื่นเพื่อหาค่าเล่าเรียนจนจบการศึกษา และที่ร้านอาหารแห่งนี้เอง เขาได้พบกับเข็มหรือปรางนวล นักเรียนไทยที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเรียนที่ซิดนีย์และเข้าทำงานเช่นกัน 

         ปรางนวลแนะนำตัวตั้งแต่วันแรกที่เจอกันว่าเธอมีชื่อเล่นว่า “เข็ม” เพราะตอนที่เธอเกิด ดอกเข็มขาวบานสะพรั่งเต็มสวน แม่เธอชอบความงดงามของดอกไม้ชนิดนี้ยิ่งนัก จึงเรียกเธอว่าเข็ม ส่วนชื่อปรางนวล เธอบอกเล่าในเวลาต่อมาว่า เพราะตอนเป็นทารก ผิวพรรณและพวงแก้มของเธอขาวนวลเหมือนหินอ่อน แม่จึงตั้งชื่อนี้ให้ โดยปรึกษาพระสงฆ์ที่เคารพแล้วว่า ชื่อนี้มิได้เป็นกาลกิณีต่อลูกสาวของเธอ ต่อมา ด้วยความใกล้ชิด ความช่างเอาอกเอาใจ ทำให้สาวิตรตกลงคบกับปรางนวลในฐานะคนรัก

        “วันนี้นัดพี่เข็มไปเที่ยวหรือยัง” ธิโมทีซึ่งนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ที่โต๊ะกินข้าวถามขึ้น

        “ยัง ถามทำไม คงไม่ได้เจอกันด้วย”

        “ก็เห็นวันหยุดทีไร นัดไปเที่ยวกันทุกที หรือว่าวันนี้แอบห่วงนางในฝัน จะคอยตามไปช่วยเธอหรือเปล่า” พูดไม่พูดเฉยๆ ยังส่งยิ้มขี้เล่นมาอีกต่างหาก

        แต่คำพูดของน้องชายตัวดี แทงเข้ากลางใจสาวิตรพอดี

        “บ้า” สาวิตรตอบพร้อมกับเก็บจานไปทำความสะอาด “วันนี้เข็มเขายุ่งน่ะ เอ้อ ตอนมื้อกลางวันไม่ต้องไปเรียกนะ แล้วพี่จะลงมาเอง” พูดแล้วก็กลับขึ้นห้องนอน

        ธิโมทีมองตามร่างพี่ชายที่เดินขึ้นบันไดหายลับไปชั้นบนพลางรำพึงแบบขำๆ กับตัวเอง “ฝันเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนั้น ท่าจะไปนอนต่อ เพื่อจะไปช่วยนางในฝันละซี”

        สาวิตรกลับขึ้นมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ใจพะวงถึงผู้หญิงที่เห็นในความฝัน ...เธอคนนั้นเป็นเพียงภาพความฝันจริงๆ หรือ สาวิตรสับสน...ฝันที่เกิดจากการกิน การนอนหลับไม่สนิทหรืออะไรก็ตาม แต่ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่เขารู้สึกได้คือความผูกพันอันล้ำลึกในใจที่มีต่อผู้หญิงร่างแบบบางคนนั้น

        นี่เขาผูกพันกับคนที่ไม่มีตัวตนเข้าแล้วหรือ…

        อะไรกันนะที่เกิดขึ้นกับเธอคนนั้น นี่เขาจะมีทางรู้ได้ทางเดียวคือในความฝันอย่างนั้นหรือ ก็ได้...สาวิตรหลับตา พยายามข่มตัวเองให้หลับ ขอพบเธออีกสักครั้งเถอะนะ อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปเลย รอเขาก่อนเถิด

        ผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง หลังจากนับเลขไปชุดใหญ่ๆ เขาก็ยังคงหลับไม่ลงตามเดิม ก็เขาเพิ่งตื่นนอนไม่นานนี่นะ จะให้หลับลงอีกตอนนี้คงเป็นไปได้ยาก

        ความคิดหนึ่งแว่บเข้ามาในสมอง บุรุษประหลาดชื่อยาวที่เพิ่งมาปรากฏในความฝัน เขาเป็นใครกัน ลองค้นหาในกูเกิ้ลดีไหม เผื่อจะมีข้อมูลอยู่บ้างว่าคนๆ นั้นเป็นใคร อย่างน้อยๆ ก็จะได้รู้ว่า เขาละเมอเพ้อพกอะไรไปเองหรือเปล่า

        สาวิตรผุดลุกขึ้นจากเตียงไปยังโน้ตบุ๊คบนโต๊ะที่พ่อเขาสั่งซื้อจากเมืองไทย เพื่อช่วยให้เขาเขียนอ่านภาษาไทยได้ เปิดเว็บกูเกิ้ลแล้วลองพิมพ์คำที่เขาจำได้แม่นยำ 
พ่อขุนบางกลางหาว...ผลลัพธ์ที่ได้ในหน้าแรกและบรรทัดแรกของการค้นหาคือ “พ่อขุนศรีอินทราทิตย์” เขาลองคลิกเข้าไปดู ก็อ่านได้ความว่า

        พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ หรือพระนามเต็ม กมรเตงอัญศรีอินทรบดินทราทิตย์ พระนามเดิม "พ่อขุนบางกลางหาว" เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์พระร่วง ตามประวัติศาสตร์ไทย ทรงครองราชย์ตั้งแต่ พ.ศ. 1781 ตราบจนเสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 1811
พระนาม
บางกลางหาว
พ่อขุนบางกลางหาว
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์
พระร่วง
พระอินทราชา
อรุณราช
ไสยรังคราช หรือไสยรังคราชา
ไสยนรงคราช
รังคราช หรือสุรังคราช
พระร่วง หรือโรจนราช

        สำหรับพระนามแรก คือ พ่อขุนบางกลางหาว นั้นเป็นพระนามดั้งเดิมเมื่อครั้งเป็น เจ้าเมืองบางยาง เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า พ่อขุนบางกลางหาวเป็น พระนามสมัยเป็นเจ้าเมืองบางยาง โดยแท้จริง

        พระนามที่สองนั้น เป็นพระนามแบบทางการตามอย่างราชประเพณีเขมร เป็นพระนามทรงใช้เมื่อเข้ารับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว พระนาม "ศรีอินทราทิตย์" มีกล่าวไว้อยู่ในศิลาจารึกหลักที่ 2 วัดศรีชุมว่า "ศรีอินทรปตินทราทิตย" ซึ่งเป็นพระนามเกียรติยศที่พระเจ้าแผ่นดินเขมรแต่โบราณสถาปนาให้แก่พ่อขุนผาเมืององค์รัชทายาทผู้ครองเชลียงสุกโขไทในราชวงศ์ศรีนาวนำถม ต่อมาภายหลังพ่อขุนผาเมืองทรงยกให้แก่พระสหายพ่อขุนบางกลางหาวแทน
ฯลฯ..

        โอ้โฮ..อะไรกันนี่

        ชายหนุ่มรู้สึกตื่นตะลึงอยู่ไม่น้อย ที่คนในความฝันมีตัวตนจริง ค้นเรื่องราวเจอในกูเกิ้ลเสียด้วย แต่ว่าใครกันละนี่..ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ไทยของสาวิตรมีน้อยเหลือเกิน

        “พ่อขุนบางกลางหาว นั้นเป็นพระนามดั้งเดิมเมื่อครั้งเป็น เจ้าเมืองบางยาง”  แต่ว่าเมืองบางยางนั้นอยู่ที่ไหน ในประเทศไทยล่ะ ชื่อทั้งหมดที่อยู่ในรายการก็ไม่คุ้นเคยเลย คุ้นเคยอยู่ชื่อเดียวเท่านั้น...“พระร่วง” 
ใช่แล้ว ยามที่แม่ยังไม่จากเขาไป นิทานก่อนนอนที่แม่เล่าให้ฟังเสมอๆ ก็คือเรื่องของพระร่วงนี่แหละ...
สาวิตรยังจำได้ ในวัยเด็กนั้น เขาไม่เคยยอมหลับง่ายๆ เลย จนกว่าจะได้หนุนตักแม่และฟังนิทาน และเรื่องที่แม่เล่าอยู่ตลอดเวลาก็คือเรื่องพระร่วงนี่เอง...ดูเหมือนพระร่วงจะเป็นฮีโร่ในดวงใจของแม่จริงๆ คำพูดของแม่ที่เขายังจำได้ติดใจไม่เลือนเลยก็คือ

        “พระร่วงมีหลายองค์ เป็นเชื้อสายเดียวกันหมด เป็นปู่ ย่า ตา ยาย ลูกหลานสืบต่อๆ กันมา เราเรียกท่านรวมกันว่าพระร่วงเหมือนๆ กันทุกพระองค์ ท่านมีพลังพิเศษไม่เหมือนใคร มาจากฟากฟ้าโน้น เวลาคนไทยโดนรังแก ท่านก็ทนไม่ได้ จะมาช่วยทุกครั้งไป”

        “เหมือน X-Men หรือครับแม่” สาวิตรในวัยเด็กน้อยถาม

        แม่ยิ้ม “ท่านไม่ได้แค่ปราบเหล่าร้ายหรอกลูก ท่านรัก เป็นห่วงเรา ดูแลเราให้เป็นสุข มีบ้าน มีอาหารการกิน เราเดือดร้อนท่านก็ช่วย เราเองอาจเป็นไม่ได้เหมือนท่าน แต่โตขึ้น ลูกต้องเป็นคนดี นึกถึงคนอื่น ดูแลคนอื่นตามอย่างท่านนะ”

        “ครับแม่”

        แล้วแม่ก็จะเล่านิทานสนุกๆ ให้ฟัง เป็นต้นว่าเรื่องขอมดำดิน..ฯลฯ

        “พระร่วงองค์หนึ่ง ท่านมีเชื้อสายกษัตริย์กับพญานาคี แต่ต้องไปอยู่ในความดูแลของนายคงเครา ชาวเมืองละโว้ ซึ่งเป็นนายกองส่งน้ำ รักษาการแทนเจ้าเมือง ขณะนั้นเมืองละโว้อยู่ใต้อำนาจของขอม ต้องส่งส่วยน้ำศักดิ์สิทธิ์จากทะเลชุบศร ทุกๆ สามปี 

        เมื่ออายุ 11 ขวบ ท่านก็รู้ว่าตนเองมีวาจาสิทธิ์ เพราะขณะพายเรือเล่นในทะเลชุบศร พอพายเรือตามน้ำไปได้สักพัก ท่านรู้สึกเหนื่อย ไม่อยากพายเรือทวนน้ำกลับบ้าน จึงพูดเปรยๆ ว่าทำไมน้ำไม่ไหลกลับไปทางเรือนเราบ้างนะ ทันใดนั้นน้ำก็เปลี่ยนทิศ ท่านก็พายเรือตามน้ำกลับไปได้โดยง่าย แต่ว่าได้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับไม่บอกใคร

        ต่อมานายคงเคราสิ้นชีวิตลง ท่านจึงสืบทอดเป็นนายกองส่งน้ำแทน เมื่อครบกำหนด พวกขอมต้องนำกองเกวียน และไพร่พลจำนวนมาก บรรทุกน้ำศักดิ์สิทธิ์จากทะเลชุบศรไปประกอบพิธี ท่านได้บอกให้คนเหล่านั้นเอาโอ่งทิ้งเสีย เพราะมันแตกง่าย แล้วช่วยกันสานชะลอมใส่น้ำแทน โดยรับปากว่าจะสั่งมิให้น้ำไหลออกมา ก็ปรากฏเป็นจริงตามนั้น คนพวกนั้นรู้สึกเกรงกลัวอำนาจวาจาสิทธิ์ของท่าน จึงรีบนำขบวนเกวียนเดินทางกลับเมืองขอมไปแทบไม่ทัน

        ภายหลังเจ้าเมืองขอมได้ทราบเรื่อง ก็เกิดความหวาดเกรงว่า นี่คงเป็นผู้มีบุญมาเกิด ณ เมืองละโว้แล้ว ควรจะรีบยกกองทัพไปจับตัวมาสังหารเสีย พอพระร่วงทราบข่าวนี้ ก็รีบหนีออกจากเมือง ขึ้นไปทางเมืองเหนือ หลบหนีขอมเป็นเวลาหลายปี เมื่ออายุครบบวช ท่านก็บวชเป็นพระ ที่วัดในเมืองสุโขทัย 

        วันหนึ่งนายทหารขอมติดตามมาได้ ก็ได้ใช้ฤทธิ์ดำดินลอดกำแพงวัดเข้าไป เห็นพระร่วงกำลังกวาดลานวัดอยู่ จึงถามว่าพระร่วงอยู่ไหน คุยกันไปคุยกันมาท่านก็รู้ว่าเป็นนายทหารขอมที่ตามมาจับท่าน  ท่านก็บอกว่าเจ้าจงอยู่ที่นี่แหละอย่าไปไหนเลย จะไปตามพระร่วงให้ เจ้าขอมดำดินก็กลายเป็นหินแข็งติดคาแผ่นดินอยู่ตรงนั้นเลย และตอนหลังก็มีคนเชิญท่านไปเป็นเจ้าเมืองสุโขทัย”

        “ท่านทำให้ขอมเป็นหินเลยหรือครับ ทำยังไงนะครับ”

        “ท่านมีวาจาสิทธิ์ไง เป็นพลังพิเศษของท่าน หมายความว่า สั่งให้ใครเป็นยังไง ก็จะเป็นไปตามที่ท่านสั่ง พอท่านพูดให้เจ้าขอมนั่นอยู่ที่นี่ไม่ต้องไปไหนเลย เขาก็ตัวแข็งติดอยู่ตรงนั้น ไปไหนไม่ได้จริงๆ ”
สาวิตรรู้สึกทึ่ง “แล้วแม่เคยเจอพระร่วงไหมครับ”

        แม่ยิ้มอีก “เคยเจอสิลูก”

        “แล้วผมจะได้เจอเหมือนแม่ไหมครับ” คราวนี้แม่ได้แต่ยิ้ม หากไม่มีคำตอบ

        ความคิดคำนึงของสาวิตรขาดห้วงไป เพราะจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้าที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือหายสนิท กลายเป็นภาพของบุรุษใบหน้าเข้ม สวมกรอบหน้าผากที่เขาเพิ่งเห็นในฝันเมื่อเช้านี้ บุรุษนั้นส่งยิ้มอ่อนๆ มาให้

        สาวิตรผงะ...ลุกขึ้นถอยกรูดไปถึงปลายเตียง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับวูบลง...


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น