บทที่ 20 ศัตรูที่มิอยากก่อ

 



บทที่ 20

วันเดินทางย้ายที่พำนักมาถึง พ่อครูพันพามิ่งเดินทางลัดเลาะชายป่า ไปถึงบ้านพ่อครูอิน พร้อมกับศิษย์อีกสองคนที่ให้ไปเป็นเพื่อนยามเดินทางกลับ พ่อครูอินเป็นชายวัยใกล้เคียงกับพ่อครูพัน แก่กว่าเพียงไม่มากนัก แต่สีหน้าท่าทางและแววตาบอกความใจดีจนมิ่งรู้สึกได้ ทันทีที่เห็นพ่อครูพัน พ่อครูอินก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจ

“เป็นอย่างไรเล่าท่าน มิมาเรือนข้าเสียนาน เห็นทีเย็นนี้ ต้องให้อยู่กินข้าวกับข้า แล้วก็คุยกันสักคืนให้หายคิดถึง ค่อยกลับวันพรุ่ง” พ่อครูอินว่า

“ยินดีเลยท่าน ข้าก็คิดถึงฝีมือกับข้าวของพี่พุ่มอยู่ คงต้องขอฝากท้องที่บ้านท่านสักมื้อสองมื้อ” พ่อครูพันตอบ

ผู้ที่ถูกเอ่ยถึงก้าวเข้ามาพร้อมบ่าวที่ยกผลไม้ปอกแล้วใส่ถาดมาให้พ่อครูอิน

“แม่พุ่ม น้องชายของท่านมาเยี่ยมแลจักค้างคืนที่นี่ วานพี่สาวช่วยทำเครื่องคาวหวานถูกปากเป็นมื้อเย็นสักหน่อยเถิด บ่นว่าคิดถึงน้ำมือของพี่นัก” พ่อครูอินว่า

มิ่งได้รับรู้ตอนนั้นว่า ที่แท้แล้วพ่อครูอิน มีศักดิ์เป็นพี่เขยของพ่อครูพัน

แม่พุ่มสั่งบ่าวให้ไปจัดผลไม้เพิ่มขึ้นเพื่อรับรองพ่อครูพันและผู้ที่มาด้วย ก่อนจะหันไปพูดกับพ่อครูพัน

“หายหน้าไปนานนะเจ้า ที่มาเยี่ยมเยียนนี่เพราะอยากกินกระนั้นรึ ถ้าเช่นนั้น บัดเดี๋ยวข้าจักเตรียมให้กินอิ่ม จนเดินมิไหว ต้องคลานกลับเรือนเลยทีเดียว”

พ่อครูพันกับพ่อครูอินหัวเราะพร้อมกัน


“พี่พุ่มฝีปากคมคายเยี่ยงเคย” พ่อครูพันว่า แม่พุ่มยิ้มแทนคำตอบ

“ที่มาวันนี้มีธุระอันใดฤา” พ่อครูอินถามขึ้น

“ข้าจักนำศิษย์มาฝากท่านสักคนหนึ่ง ชื่อไอ้มิ่ง” พ่อครูพันผายมือมาที่มิ่ง “มันเรียนจบดาบมือเดียวแลสองมือจากข้าแล้ว ครานี้ข้าจักให้มันมาฝึกกับท่านให้คล่องขึ้นอีกหน่อย แลหากมีวิชาใดที่ท่านเห็นควรสอน ก็ช่วยสอนมันต่อด้วยเถิด”

มิ่งและศิษย์อีกสองคนที่มาด้วยยกมือไหว้พ่อครูอินพร้อมกัน

“หน้าตา หน่วยก้านก็ดี เหตุอันใด ท่านจึงไม่สอนมันต่อเล่า”

“ข้าอยากให้มันได้เรียนรู้วิชาสำนักท่าน มันเองก็ประสงค์เช่นนั้น แลความจริง ต้องเรียกมันว่าเป็นศิษย์แม่ปราง เพราะข้าให้แม่ปรางสอนมัน ด้วยจักฝึกนางขึ้นมาเป็นครูถ่ายทอดวิชาดาบ” พ่อครูพันว่า

พ่อครูอินมีสีหน้าตื่นเต้น

“เช่นนั้นฤา เพลานี้ เรือนข้าก็มีศิษย์หญิงมากนัก ลูกสาวชาวบ้านอยากเป็นทหารกันมาก นี่ถ้าได้แม่ปรางมาช่วยสอนให้คงดียิ่ง นางจักได้ฝึกด้วย ข้าคิดว่าผู้หญิงสอนกันเองคงจักดีกว่า ให้นางมาอยู่เสียที่นี่สักพัก ได้ฤาไม่”

พ่อครูอินพยักเพยิดให้พ่อครูพันมองไปที่ลานบ้านที่มีหญิงสาวจำนวนหนึ่งกำลังฝึกดาบอยู่อย่างขมักเขม้น พ่อครูพันหน้าถอดสี…จักให้แม่ปรางมาอยู่ใกล้ไอ้มิ่งในที่ไกลตาเช่นนี้ฤา ข้าพามันกลับเรือนเสียดีกว่า

“เอ้อ คงมิได้หรอกท่าน ข้ามอบหมายธุระให้นางสอนลูกชาวบ้านต่อที่เรือนข้าแล้ว”

พ่อครูอินพยักหน้า “เสียดายยิ่ง ถ้าท่านเปลี่ยนใจเมื่อใด ข้าคงยินดีนัก นี่คงมิใช่เพราะหวงลูกสาวดอกกระมัง” พ่อครูอินสัพยอกพร้อมหัวเราะ แต่พ่อครูพันถึงกับสะดุ้ง เพราะแทงใจดำพอดี

ขณะนั้น บ่าวยกผลไม้กับน้ำมาเพิ่มให้พอดี

“พวกเอ็ง ช่วยไปตามแม่เพ็งกับพ่อทิมมาหน่อยเถิด บอกไปว่า น้าพันมาเยี่ยม” แม่พุ่มบอกบ่าวที่นำถาดผลไม้มาวางให้ผู้มาเยือน

“แม่ปรางเป็นอย่างไรบ้าง พ่อพัน” แม่พุ่มถามขึ้น

“นางสบายดี” พ่อครูพันพูดไม่เต็มปากนัก

“แล้วแม่ปิ่นล่ะ” แม่พุ่มถามต่อ

“ลูกคนนี้ดื้อนัก” พ่อครูพันว่า “ข้าส่งไปอยู่คุ้มพ่อขุน หมายให้เรียนวิทยาการทั้งหลาย นางก็ดื้อรั้น ขอกลับเรือนอย่างเดียว เพลานี้นางจึงอยู่ที่เรือนกับนางแฟง”

พ่อครูพันจำกล้ำกลืนความจริงไว้ ว่ายามนี้ ไม่ว่าปรางหรือปิ่น ผู้เป็นลูกสาว ก็มิได้ดั่งใจไปทั้งนั้น แม่ปรางซึ่งเคยอยู่ในโอวาทพ่อทุกอย่าง ก็มาขัดใจ เพราะไปผูกสมัครรักใคร่กับไอ้มิ่ง จนต้องจับแยกมาฝากพ่อครูอินไว้นี่แหละ

หัวอกคนเป็นพ่อและพ่อครู ใครเลยจะเข้าใจ จะขับไล่ไสส่งไอ้มิ่งไปแบบไม่สนใจไยดี ในยามอื่นก็คงทำได้ แต่ในยามที่บ้านเมืองกำลังต้องการกำลังคน เพื่อสู้รบ ปลดปล่อยตัวเองจากการเป็นทาสขอม บอกเลยว่าทำไม่ได้ กำลังคนที่ฝึกฝนอาวุธขึ้นมาแล้ว ทุกคนมีความสำคัญเป็นที่ยิ่ง

“แม่ปิ่นยังเยาว์วัยนัก หากอายุมากขึ้นแลออกเรือนไป คงจักดีขึ้นดอก เอ้อ แล้วแม่ปราง เจ้าจักให้ออกเรือนกับพ่อเดชยามใดฤา” แม่พุ่มว่า

มิ่งฟังแล้วได้แต่สะท้อนในหัวอก...หากวันใดปรางออกเรือนกับเดช เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรกัน

“วันใด ข้าจักมาแจ้งแก่พี่อีกที จักให้พี่ช่วยทำครัวเป็นการใหญ่ ให้ร่ำลือกันไปทั่วเมืองถึงรสมือป้าของนางทีเดียว”

แม่พุ่มหัวเราะ มิ่งได้แต่ก้มหน้าด้วยความรู้สึกแปลบปลาบในใจ

“เอ้า พ่อหนุ่ม หน้าตาก็น่าแล เหตุอันใดเอาแต่ก้มหน้าเยี่ยงนี้” แม่พุ่มทักมิ่งเมื่อเห็นอากัปกิริยา เขาสะดุ้งและยิ้มเจื่อนๆ แต่ก่อนที่จะคิดหาคำตอบ เสียงใสๆ ก็ดังขึ้น เบี่ยงเบนความสนใจของแม่พุ่มไปทันที

“น้าพัน”

หญิงสาวร่างเล็กทมัดทแมงเรียกชื่อพ่อครู ก่อนจะเดินเข้ามาทรุดลงนั่งบนพื้นด้านหน้าพ่อครูอิน แล้วยกมือไหว้พ่อครูพัน เด็กหนุ่มที่เดินตามมาก็นั่งลงข้างๆ และยกมือไหว้ตามกันไปด้วย การสนทนาที่เสียดแทงใจจึงยุติลง

“ข้าดีใจที่ท่านน้ามาวันนี้ อยู่คุยกับข้ากับแม่นานๆ เถิด” นางว่า

“น้าเจ้าเขาจักค้างที่นี่ คงได้คุยกันจนอิ่มแล แม่เพ็ง” แม่พุ่มว่า

“พ่อทิม มิได้ปะเสียนาน มาครานี้เป็นหนุ่มใหญ่ขึ้นมากเลย” พ่อครูพันว่า เด็กหนุ่มได้แต่ยิ้ม

การสนทนาของหมู่ญาติยังดำเนินต่อไป ด้วยเสียงหัวเราะแบบคนที่ถูกคอกันดี มิ่งได้แต่มองแม่เพ็งที่นั่งอยู่ตรงข้าม ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่า นางช่างละม้ายนางแม้นเสียเหลือเกิน และยิ่งมองเขาก็ยิ่งคิดถึงน้องสาวที่โตขึ้นมาด้วยกันในเรือนของปู่กับย่า แม่เพ็งยังคงคุยเจื้อยแจ้วกับผู้เป็นน้าเสียจนไม่รู้ตัวว่าถูกเขามองจ้องอยู่

…นางแม้นเอย ถ้าเอ็งยังมีชีวิต ข้าคงพาเอ็งมาด้วย และเอ็งก็คงเห็นว่า พี่ชายคนนี้ที่เอ็งเคยพร่ำบ่นว่า มิเอาการเอางานเรื่องการฝึกวิชาสู้รบ เปลี่ยนไปเป็นคนละคนแล้ว…มิ่งรำพึงในใจ

ความคิดทั้งหมดของมิ่งต้องสะดุดหยุดลงทันที เพราะสายตาของเด็กหนุ่มชื่อทิม ซึ่งคงสังเกตเห็นว่า เขากำลังมองพี่สาวของตนอยู่ สายตานั้นบ่งบอกความไม่พอใจชัดเจน จนมิ่งต้องเบนสายตาออกไปเสียจากคนทั้งคู่

“พ่อทิม พ่อวานหน่อยนะ ช่วยจัดที่หลับที่นอนให้สองคนนี่หน่อย ส่วนคนนี้ พ่อมิ่ง เขาจักมาอยู่กับเรา ช่วยจัดที่พักให้เขาด้วย”

ทิมรับคำผู้เป็นพ่อแต่เพียงสั้นๆ มิ่งเองพยายามส่งยิ้มให้เขาเป็นการผูกมิตร แต่ฝ่ายนั้นไม่ยิ้มตอบ ดูเหมือนสีหน้าจะยิ่งบึ้งตึงกว่าเดิมด้วย

นี่เราจักมาเจอศัตรูที่มิคิดจะก่ออีกแล้วฤา มิ่งคิด

…..

กาลผ่านไปในบ้านของพ่อครูอิน มิ่งได้รับความเมตตาจากพ่อครูและแม่พุ่มประหนึ่งลูกหลาน เขาได้ฝึกวิชาการสู้รบด้วยความใส่ใจ พร้อมๆ กับช่วยฝึกอาวุธให้เพ็งและลูกศิษย์หญิงทั้งหลาย ประหนึ่งว่านางเป็นน้องสาว บ่อยครั้ง มิ่งเล่าถึงนางแม้น น้องสาวให้เพ็งรับฟัง จนที่สุด นางก็บอกแก่เขาว่า

“แม้พี่จักรับข้าเป็นน้องสาวแทนแม่แม้น ข้าก็ยินดีนัก ข้าเองมีพ่อทิมเป็นน้องชายแต่เพียงผู้เดียว ท่านเองก็ดูแลข้าประหนึ่งพี่ชายตลอดมา”

มิ่งยิ้ม “ข้าเองก็ยินดี ที่จักมีเจ้าเป็นน้อง เพราะเจ้าทำให้ข้าคิดถึงนางแม้นมาแต่ต้น แต่พ่อทิมดูเหมือนมิพอใจข้านักที่มาสนิทสนมกับเจ้า”

“ข้าเองก็มิแน่ใจว่ามันจักไม่ชอบพี่ด้วยเหตุอันใด แต่พ่อทิมเป็นคนดี ข้าคิดว่ามินาน มันคงเลิกเดียดฉันท์พี่”

“ข้ามิถือสาอันใดกับพ่อทิมดอก”

เพ็งนิ่งไปครู่หนึ่งอย่างชั่งใจก่อนจะพูดขึ้นว่า

“ถ้าพี่เห็นข้าเป็นน้อง ข้าขอถามพี่เรื่องหนึ่ง แต่ขอพี่อย่าเคืองข้านะ”

มิ่งสงสัยแต่ก็พยักหน้า เพ็งจึงถามขึ้นว่า

“ท่านคิดถึงพี่ปรางใช่ฤาไม่”

มิ่งตกตะลึง นี่เพ็งรู้เรื่องระหว่างเขากับปรางด้วยหรือ…เพ็งยิ้ม

“ข้าได้ปะไอ้คง มันนั้นแลเป็นคนบอกข้าเรื่องพี่กับพี่ปราง แต่อย่าตำหนิมันเลย ข้าเป็นห่วงพี่ ข้าเองเห็นพี่เศร้าใจบ่อยครั้ง ก็คิดว่าคงเป็นเรื่องนี้ ถ้าพี่คิดถึงพี่ปราง อีกไม่กี่วัน พ่อแม่ ข้าแลเจ้าทิมจักไปบ้านน้าพัน ท่านจักฝากความอันใดไปถึงนาง ข้าก็ยินดี หรือพี่จักให้ข้าช่วยอันใด ก็จงบอกข้ามาเถิด”

ในค่ำคืนก่อนจากบ้านพ่อครูพันมา เขาเคยบอกปรางว่าจะหาทางกลับไปพบนางให้ได้ แต่จนบัดนี้ ยังมิรู้ว่า จะไปพบนางได้อย่างไร เพราะถึงกลับไปได้จริง ก็ยากนักที่จะได้พบนาง จึงต้องทนอยู่กับความรู้สึกโหยหาในใจตลอดมา เพิ่งรู้ว่าความทุกข์เศร้านี้ เพ็งก็ยังสังเกตเห็น เขารู้สึกซาบซึ้งใจที่เพ็งจะช่วยเป็นสื่อให้ แต่กระนั้น มิ่งก็ตอบนางไปว่า

“ขอบใจมาก แม่เพ็ง แต่ข้าเกรงว่าจักทำให้เจ้าลำบากหากพ่อครูพันแลพ่อครูอินรู้เรื่องเข้า”

“มิเป็นไรดอกพี่ เชื่อใจข้าเถิด ข้าไปบอกนางโดยลำพังมิให้ใครรู้ได้”

“เช่นนั้น ขอฝากไปบอกนางว่า ข้าสุขสบายดี ขอนางอย่าเป็นกังวล ข้ามิได้ลืมสัญญาว่าจักกลับไปพบนาง เพียงแค่ยังมิมีโอกาสเท่านั้น”

“เพียงนั้นยังน้อยไป ข้ารู้ดอก ที่จริงพี่อยากบอกนางด้วยว่า พี่คิดถึงแม่ปรางมาก” คำสุดท้าย เพ็งลากเสียงยาว แถมมิได้พูดเปล่า หากยังยิ้มล้อเลียนด้วย จนมิ่งรู้สึกขวยเขิน

“ผู้ชายก็เขินอายด้วย” นางยังยิ้มล้อเลียนต่อ

“พี่ขอตีน้องสาวสักทีได้ฤาไม่”

มิ่งแกล้งเงื้อมือขึ้น ส่วนเพ็งก็เบี่ยงกายหลบและหัวเราะอย่างสนุกสนาน ทั้งสองคนหารู้ไม่ว่า ทิมซึ่งคอยจับตาความสัมพันธ์ของทั้งคู่อยู่โดยตลอด กำลังซุ่มยืนดูอยู่ไม่ไกลนัก

…..

ก่อนออกเดินทางไปบ้านพ่อครูพัน เพ็งยังแอบมาย้ำกับมิ่ง

“ข้าจักบอกพี่ปรางว่าพี่เป็นอย่างไร แลจักนำความจากพี่ปรางมาแจ้งแก่พี่ด้วย มิต้องเป็นห่วง”

เมื่อพ่อครูอินออกเดินทางไปแล้ว ทิมได้เดินมาหา ขณะมิ่งอยู่ลำพัง มิ่งแปลกใจนัก เพราะโดยปกติแล้ว ทิมไม่เคยคิดจะมาสุงสิงกับเขาเลย และยังแปลกใจด้วยที่ทิมไม่ได้เดินทางไปบ้านพ่อครูพันตามที่เพ็งเคยบอกไว้

“นายมิ่ง ข้าขอเจรจากับเจ้าสักหน่อย”

ทิมพูดขึ้นตามปกติธรรมดาของเขาที่ไม่เคยเรียกมิ่งว่าพี่ แม้จะอ่อนวัยกว่า

“มีอันใดฤา” มิ่งสงสัย

“ข้าขอให้เจ้าอยู่ให้ห่างพี่สาวข้า”

“ด้วยเหตุอันใดเล่า ข้าถ่ายทอดวิชาดาบของพ่อครูพันให้นาง ช่วยนางฝึกซ้อม เราคงอยู่ห่างกันมิได้ดอก”

“เกี้ยวพาพี่ปรางคนเดียวยังมิพออีกรึ ช่างกระไรยังมาคิดรวบรัดพี่สาวข้าอีก ข้าเห็นดอกว่าเจ้ามองพี่สาวข้ามิวางตา ตั้งแต่ข้ายังมิรู้ว่าเจ้าเป็นใครด้วยซ้ำ พอรู้ว่าเจ้าคือไอ้มิ่ง ข้าจึงมิอาจปล่อยให้เจ้าลามปามพี่เพ็งได้” ทิมพูดอย่างโกรธเกรี้ยว

“เจ้าเข้าใจผิด ฟังข้าสักนิดก่อนเถิด” มิ่งพยายามหาทางอธิบาย

“มิผิดดอก คนอย่างเจ้าไว้ใจมิได้แม้สักน้อยหนึ่ง ข้ามิเข้าใจเลย เหตุใดน้าพันจึงมิกำจัดเจ้าไปให้พ้นๆ แต่ยังส่งเจ้ามาที่นี่ ให้คิดทำเสื่อมเสียอีก”

“ข้าทำเสื่อมเสียอันใด”

“พี่ริด พี่เลื่องเล่าให้ข้าฟังแล้ว พี่เดชรักและดีกับเจ้ายิ่ง เจ้ายังมีหน้าไปแย่งพี่ปรางมาจากพี่เดช ช่างมิรู้คุณคนสักนิด นี่เจ้าจักทำอันใดกับพี่สาวข้า อย่าคิดว่าข้ามิรู้ ข้านับญาติกับเจ้ามิลงดอก”

โธ่เอ๋ย มิ่งรำพึงในใจ จะบอกให้ทิมเข้าใจอย่างไรดีหนอ

“ถ้าเจ้ายังมิฟังข้า ข้าขอท้าดวลดาบกับเจ้า”

“ดวลดาบ…”

“หากเจ้าแพ้ข้า จงออกไปจากเรือนข้าเสีย ไปแห่งใดก็ตามแต่เจ้า” ทิมว่า

นี่ทิมโกรธเกลียดเขาถึงขนาดนี้เลยหรือ มิ่งรำพึงในใจ เขาพยายามตั้งสติระงับความเศร้าใจที่ผุดขึ้นมายามนั้น

“แต่ถ้าเจ้าแพ้ข้าเล่า”

ทิมนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “ถ้าข้าแพ้เจ้า ข้าจะออกจากเรือนเอง”

“มิต้องดอก ที่นี่เป็นเรือนของพ่อเจ้า ถ้าเจ้าแพ้ ขอเพียงนั่งลงยอมรับฟังเรื่องที่ข้าจักเล่า ตกลงฤาไม่”

“ก็ได้” ทิมว่าอย่างมิเต็มใจนัก “รอข้าสักครู่หนึ่ง”

กล่าวแล้วก็เดินออกไป และกลับมาพร้อมกับดาบสองมือ มิ่งรู้สึกตกใจว่านี่จะต้องเอาจริงเอาจังขนาดนี้เลยหรือ

“เพียงดาบหวายก็พอรู้แพ้รู้ชนะกันได้แล้ว นี่จักใช้ดาบจริงเลยรึเจ้า”

“มิต้องพูด หากเจ้าเป็นลูกผู้ชายจริงไปหยิบดาบของเจ้าออกมา”

มิ่งจึงเดินเข้าไปในกระต๊อบที่พักอาศัย ทำความสงบกำหนดจิตให้ดาบศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นมา เขาเพ่งมองดาบที่ปรากฏขึ้นในมือทั้งสอง แต่แล้วจิตก็บอกว่า ยังไม่ถึงเวลาที่ควรทดลองใช้ เพราะจะทำให้ตัวเองได้เปรียบทิมจนเกินไป ทิมมิใช่ศัตรู เขาจึงตั้งจิตให้ดาบนั้นหายไปเสีย แล้วหยิบดาบคู่มือที่ได้รับจากพ่อครูพันขึ้นมา ถือเดินออกไปพบทิม ฝ่ายนั้นยืนจังก้ารออยู่อย่างพร้อมลุยแล้ว

“เจ้าเริ่มได้เลย” มิ่งว่า

ทิมจึงเป็นฝ่ายรุกมิ่งก่อน ดาบที่ฟันมาแต่ละครั้งรุนแรงหนักหน่วงด้วยความโกรธในใจ ท่วงท่าทั้งมือและเท้าบ่งบอกว่า ทิมชำนาญการฟันดาบสองมือเป็นอย่างดี ทั้งคู่ผลัดกันรุกผลัดกันรับครู่หนึ่ง ที่สุดมิ่งก็รับดาบของทิมด้วยดาบในมือขวา แล้วใช้คมดาบด้านนั้น เกี่ยวเสื้อของทิมจนขาดเป็นทางนิดหนึ่ง ทิมชะงัก

“เจ้าแพ้ข้าแล้ว” มิ่งว่า แต่ทิมยังไม่ยอมหยุด กลับกระโจนเข้ารุกมิ่งต่ออีก ทั้งคู่ต่อสู้กันครู่หนึ่ง ที่สุดมิ่งรับดาบของทิมอีกครั้งเช่นเดิม แต่ด้วยแรงที่มากกว่าเดิม และใช้คมดาบเกี่ยวเสื้อของทิมจนขาดมากกว่าครั้งแรก ทิมหยุดอีกครั้ง พร้อมกับหอบด้วยความเหนื่อย เขาก้มหน้าลงมองเสื้อของตัวเองที่ขาดเป็นทางยาว

“เจ้าควรพอได้แล้ว ทิม”

ทิมทิ้งดาบในมือลงพื้นอย่างไม่สบอารมณ์นัก

“คราวนี้เจ้าต้องทำอย่างที่ตกลงกับข้าไว้ นั่งลงกับพื้น แล้วฟังข้าเสียโดยดี”

หนุ่มน้อยทรุดกายลง แต่เมินหน้าไปเสียอีกทาง ไม่ยอมหันมาทางคู่ต่อสู้ที่ตัวเองเพิ่งพ่ายแพ้มาเมื่อครู่

มิ่งลงนั่งกับพื้นเช่นกัน

“เจ้าจักมิหันหน้ามาฟังข้าดอกรึ”

“มิต้อง เจ้าพูดไปเถิด หูข้ามิได้หนวก” ทิมว่า

“ข้ารักแลเอ็นดูแม่เพ็งประหนึ่งน้องสาว นางเองก็รักข้าดุจพี่ชาย ข้ามิได้เป็นเช่นที่เจ้าคิด”

เจ้าหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่าเบนหน้ามานิดหนึ่ง แต่ยังไม่ยอมสบตากับมิ่ง เขาพูดต่อ

“ความรักเฉกเช่นหนุ่มสาว ข้ามีให้แม่ปรางเพียงคนเดียว มิคิดจะผูกสมัครรักใคร่ใครอื่นแม้แต่คนเดียว”

ทิมยังคงนิ่ง “แต่เรื่องของข้ากับแม่ปราง ข้าเองก็มิสบายใจที่ทำให้พี่เดชเสียใจ แต่นางมิได้พึงใจพี่เดชมาแต่ต้น เมื่อมาพบข้า เราเหมือนผูกพันกันมาเนิ่นนาน ข้าจนใจยิ่งนักเรื่องพี่เดช หวังว่าเจ้าคงเข้าใจ”

“เจ้าพูดจบแล้วใช่ฤาไม่” ทิมว่าพร้อมกับลุกขึ้นยืน

“จบแล้ว แลทั้งหมดนี้เป็นความจริง ข้ามิได้โกหกแม้แต่คำเดียว”

ทิมหยิบดาบและทำท่าจะเดินจากไป

“บัดเดี๋ยวก่อน” มิ่งพูด ทิมชะงัก

“เจ้ามิอยากรู้ฤา ว่าข้าเอาชนะเจ้าเยี่ยงไร”

มิ่งลุกขึ้นยืนเบื้องหน้าทิมที่หยุดรออยู่

“เรื่องท่วงท่าแลแม่ไม้ ลูกไม้ต่างๆ เจ้ามิได้ด้อยไปกว่าข้า แต่เคล็ดวิชามีอยู่นิดเดียว เจ้าก็อาจแลเห็น แต่มิทันสังเกต คือข้าพลิกเอาสันดาบรับดาบของเจ้าแทนคม ดาบของเจ้าก็เลื่อนหลุดไป จังหวะนั้นแล ข้าก็หาจุดฟันเจ้าได้ การฟันแทงสังหารศัตรูทำได้เยี่ยงนี้ ลองดูเถิด ดาบของข้าที่ได้จากพ่อครูพัน ด้านสันตีไว้ให้หนา ก็เพื่อการนี้ หากฟันดาบมือเดียว ก็ใช้เคล็ดนี้เช่นกัน”

มิ่งส่งดาบให้ผู้อ่อนวัยกว่าดู ฝ่ายนั้นเหลือบแลมองคล้ายไม่สนใจและยังคงเฉยอยู่เช่นเดิม

“หากเจ้าสนใจจะฝึกเคล็ดวิชานี้ ข้าก็ยินดีเสมอ”

ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ เช่นเคย จนมิ่งต้องพูดออกมาเองอย่างทนไม่ได้ว่า

“มิมีอันใดแล้ว เจ้าจักไปก็ไปเถิด”

เจ้าหนุ่มน้อยจึงเดินงุดๆ กลับไปในพลันนั้น

…..

หลังจากเพ็งกลับมา นางก็รีบมาพบมิ่งเพื่อบอกข่าว

“ข้าบอกพี่ปรางเรื่องพี่มิ่งแล้วนะ นางดีใจที่พี่อยู่สุขสบายดี แลดีใจที่พี่ยังคิดถึงนาง แต่นางดูซูบซีดไปมาก เหมือนป่วยไข้ พอข้าถาม นางก็บอกว่ามิเป็นไร แต่ข้าดูออกว่านางอมทุกข์ คงคิดถึงพี่ แลไอ้คงเล่าว่า สักวันสองวันก่อน แม่พี่เดชมาที่เรือน ต่อว่าน้าพันเสียยกใหญ่ น้าพันถึงกับหน้าเสีย แล้วไปเกรี้ยวกราดเอากับนาง นางคงกังวลใจเรื่องนี้ ข้าสงสารนางเสียจริง”

รับฟังแล้ว มิ่งก็สลดใจ โธ่แม่ปรางเอ๋ย ทั้งข้าและท่านจักมีวันพ้นจากห้วงทุกข์นี้ไหมหนอ เสร็จศึกเมื่อใด หากข้ายังมีชีวิต ข้าจักต้องหาทางครองคู่อยู่กินกับท่านให้ได้ มิเช่นนั้น การพลีชีพในการศึกยังน่ารื่นรมย์เสียยิ่งกว่านัก…

เสียงของเพ็งทำลายความเงียบขึ้นว่า

“นางฝากของมาให้พี่ด้วย ผ้าสไบ นางว่าให้ไว้แทนตัวนางในยามที่พี่คิดถึง”

ว่าแล้วนางก็ส่งผ้าที่ปรางฝากมาให้มิ่ง มิ่งรับมาอย่างทนุถนอม ผ้านั้นเนื้อนุ่มนัก ภาพของปรางขณะห่มผ้าผืนนี้ปรากฏขึ้นในห้วงความคิด หากเพ็งมิได้อยู่ตรงนั้น เขาคงจุมพิตผ้าด้วยคิดถึงแก้มนวลของปรางแล้ว

“เอ้อ พี่มิ่ง ตอนข้าจักกลับ ข้าปะกับพี่ปิ่น นางก็ฝากผ้าคล้องไหล่ผู้ชายให้พี่ไว้ใช้สอยเช่นกัน”

เพ็งหยิบผ้าอีกผืนส่งให้มิ่ง พร้อมสายตาที่มีคำถามอย่างเห็นได้ชัด...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น