บทที่ 21 พบพ่อขุนบางกลางหาว


บทที่ 21

เพ็งเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ จึงถามขึ้นเมื่อเห็นมิ่งยังคงนิ่งเฉย

“เหตุอันใดพี่ปิ่นจึงใส่ใจพี่เช่นนี้ ตอนนางนำของมาฝากให้พี่ ข้านี้งวยงงหนัก”

“ข้าเองก็มิอยากให้นางมาสนใจใยดีอันใดกับข้าดอก แต่ห้ามแล้ว มิเคยฟัง นี่ถ้าข้ารับกับมือนางเอง ข้าคงคืนนางไปแล้ว”

สาวน้อยจ้องหน้ามิ่ง พร้อมกับทำตาเจ้าเล่ห์

“รึว่า พี่ข้าจะได้ครองทั้งสองนาง ทั้งพี่แลน้อง หนุ่มทั้งบางคงอิจฉาพี่จนพากันตายหมดแน่ ทั้งสองนางงามออกปานนั้น”

พูดไม่พูดเปล่า ยังหัวเราะคิกคักอีกต่างหาก มิ่งถอนใจ


“ข้ามิเคยคิดอันใดกับแม่ปิ่นเลยแม้แต่น้อย” มิ่งว่า

“กลัวพี่ปรางโกรธกระนั้นรึ พี่ปรางว่าเยี่ยงไรบ้าง”

“ข้ากับนางมิได้พูดเรื่องแม่ปิ่นมากนัก เพียงแต่ครั้งหนึ่งนางเคยขอให้ข้าช่วยดูแลแม่ปิ่น แต่ข้ามิได้รับคำ”

เพ็งยิ้ม

“นับว่าพี่ข้าเป็นชายที่หายากโดยแท้ ปรารถนาเพียงหญิงเดียว แม้อีกนางหนึ่งจะใยดีด้วย แต่ก็นั่นแหละ พี่ปรางกับพี่ปิ่นหน้าเหมือนกันมากมาย หากนิสัยต่างกันราวฟ้าดิน ข้าว่าหากพี่อยู่กับพี่ปิ่น คงต้องเอาใจนางหนัก เหมือนกับที่น้าพันเคยเอาใจนางมาก่อน แม่ข้าเล่าว่า ตอนยังเล็ก นางป่วยกระเสาะกระแสะบ่อย แม่ก็มิมี เป็นกำพร้าเสียแต่น้อย ใครจักมาดูแล นางก็มิใคร่จักยอม น้าพันเลยต้องเอาใจนางมากกว่าพี่ปราง โตขึ้นนางจึงมิค่อยยอมหากผู้ใดมาขัดใจเข้า”

มิ่งพยักหน้า นั่นเองเป็นเหตุให้พ่อครูพันต้องจัดหาบ่าวคือนางแฟงมาคอยรับใช้ใกล้ชิดปิ่นแทบจะทุกฝีก้าว หากปรางไม่มี แต่น้ำใจของนางนั้น ไม่เคยริษยาผู้เป็นน้องเลย กลับรักใคร่และดูแลปิ่นอย่างดี เขาเองก็รู้อยู่แก่ใจ แต่ก็อีกนั่นแหละ เขาจะได้ครองคู่กับปรางหรือ โอกาสเป็นไปได้มีน้อยเหลือเกิน

“ข้าก็รู้ก็เห็นเรื่องแม่ปิ่นอยู่ แต่แม่ปรางนั้น ยากนักที่จักได้อยู่ด้วยกัน ยังมิเห็นหนทางเลย”

เพ็งมองหน้ามิ่งตรงๆ

“พี่อย่าทุกข์ใจอันใดไปเลย หากพี่ทั้งสองเป็นคู่กันมา ย่อมมิมีทางคลาดแคล้วกันเด็ดขาด ดูอย่างพ่อกับแม่ข้านั่น ตากับยายข้ามิชอบพ่อเลย หมายมั่นจักให้แม่ออกเรือนไปเสียกับชายอื่น แต่สุดท้าย ชายผู้นั้นก็คลาดแคล้วกับแม่ไปเสียจนได้ แม่จึงได้ออกเรือนกับพ่อ เรื่องนี้พ่อชอบเอามาล้อเลียน พูดเล่นหัวกับแม่บ่อยๆ ข้ากับพ่อทิมจึงได้รับรู้”

จริงสิ หากแม้นเขากับปรางเป็นคู่แท้จริงแล้ว อย่างไรเสียก็ต้องได้ครองคู่กันจนได้ คิดแล้วก็มีกำลังใจขึ้นจนยิ้มออกมา เพ็งยิ้มตอบเมื่อเห็นพี่ชายต่างสายเลือดดูผ่อนคลายขึ้น

…..

คืนนี้อากาศสดชื่นนัก ลมพัดกลิ่นดอกแก้วอบอวลหอมจับใจ มิ่งคิดถึงปราง คิดถึงท่าน้ำที่เคยอยู่เคียงกันยามราตรี มีกลิ่นดอกไม้หอมกระจายตามสายลมดุจเดียวกันนี้ เขาหยิบสไบของปรางขึ้นลูบไล้ นึกถึงภาพเจ้าของสไบขึ้นมาทันที แล้วก็นึกต่อว่าตัวเอง ที่มิได้มอบสิ่งใดไว้ให้แทนตัวแก่คนรักเลย นางจะทนทุกข์ด้วยความคิดถึงเขาสักเท่าไรกันนะ เขาเองยังคิดถึงนางขนาดนี้ แต่ก็นั่นแหละ คนที่มีเพียงตัวอย่างเขา ก็มิรู้จะมอบของสิ่งใดให้นางเหมือนกัน นอกจากดวงใจทั้งดวงที่มี…

เวลาล่วงเลยไปจนดึกสงัด มิ่งเอนกายหลับไปเมื่อใด เขามิรู้ตัวเลย จนกระทั่ง…ฝัน

ในฝันนั้น เขากับปรางนั่งอยู่ด้วยกันในเรือลำน้อย นางห่มผ้าสไบผืนที่มอบให้มานี้ เกล้าผมมวย พันด้วยมาลัยดอกมะลิ สีหน้านางดูช่างอิ่มเอิบด้วยความสุข มิ่งพายเรือไปเรื่อยๆ ในคลอง สายลมพัดอ่อนๆ ต้องผิวกาย เย็นสบายยิ่งนัก แต่ความสุขในใจมิ่งดูจะแช่มชื่นยิ่งกว่า

มือก็พายเรือไป ตาก็จับจ้องมองดวงหน้างามเบื้องหน้าโดยมิคลาดสายตา ราวกับอยากประทับเอาไว้ในใจตลอดไป แต่ทันใดนั้นเอง สายลมพัดเอื่อยเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นรุนแรง ต้นไม้ใหญ่ชายคลองเอนลู่ราวกับจะหัก ใบไม้ปลิวกระจาย ท้องฟ้าดำมืดไปทั่วด้วยเมฆฝนกลุ่มใหญ่ สีหน้าของปรางเต็มไปด้วยความตระหนก มิ่งพยายามพายเรือกลับเข้าสู่ฝั่ง แต่กำลังแขนก็สู้ความเชี่ยวกรากของสายน้ำไม่ไหวเสียแล้ว

เรือลำน้อยโคลงเคลงด้วยแรงของลมและกระแสน้ำ ที่สุดก็คว่ำลง ทั้งมิ่งและปรางร่วงลงน้ำ มิ่งพยายามคว้าตัวปราง นางก็พยายามว่ายน้ำเข้าหามิ่ง แต่ยิ่งเคลื่อนไหวมากเท่าใด กระแสน้ำก็ยิ่งพัดพาคนทั้งคู่ให้ห่างกันออกไปมากเท่านั้น แล้วสายฝนก็เทลงมาห่าใหญ่ ร่างของปรางที่ลอยห่างออกไปทุกทีถูกบดบังด้วยม่านน้ำฝนหนาทึบจนสิ้น

“แม่ปราง” มิ่งตะโกนเรียกจนสุดเสียง เขาได้ยินเสียงนางเรียกเขาตอบเช่นกัน แต่มันแผ่วเบาเต็มที และที่สุดก็หายไปกับคลื่นและเสียงสายฝน

มิ่งสะดุ้งจนสุดตัว ลุกขึ้นนั่ง หัวใจยังเต้นระทึก เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วที่ภายนอก บอกให้รู้ว่า…เช้าแล้ว

เขานั่งสงบสติอารมณ์อยู่ครู่ใหญ่ ด้วยภาพนั้นเหมือนจริงยิ่งนัก แต่ที่สุดก็บอกตัวเองได้ว่า “ข้าแค่ฝันไป” พร้อมกับปลอบใจตัวเองว่า ฝันเท่านั้น อย่ากลัวให้มากไปเลย อุปสรรคอันมากมายระหว่างเขากับปราง คงทำให้ฝันน่ากลัวขนาดนี้…

“สไบล่ะ” มิ่งมองหาสไบของปราง ก่อนพบว่ามันกองอยู่ด้านหลังของตัวเขา เมื่อเห็นแล้วก็หยิบขึ้นมาพับอย่างทนุถนอมแล้ววางไว้บนที่นอน ก่อนจะออกไปทำภารกิจเช่นทุกวัน

“อย่ากลัวอันใด แลอย่าคิดถึงมันอีกเลย” เขาปลอบใจตัวเองอีกครั้ง

…..

วันนี้มิ่งฝึกการรบบนหลังม้ากับพ่อครูอินและศิษย์คนอื่นๆ จนกระทั่งสมควรแก่เวลา พ่อครูก็กลับขึ้นเรือนไปพัก มิ่งก็นั่งพักเหนื่อยเช่นกัน สักครู่หนึ่ง เพ็งก็มานั่งข้างๆ หลังจากคุยเรื่องสัพเพเหระกันพักหนึ่ง เพ็งก็เข้าเรื่อง

“พี่มิ่ง พ่อทิมบอกข้าว่า อยากมาฝึกดาบกับพี่ พี่จักช่วยฝึกให้มันได้ฤาไม่”

เขานึกในใจ นี่เจ้าเด็กจอมยโสคงสนใจเคล็ดวิชาดาบที่เคยบอกไปแต่ไม่กล้ามาขอเองสินะ จึงต้องวานพี่สาวมาเป็นปาก ขอแทนให้

“ข้าก็งงอยู่ ว่ามันคิดญาติดีกับพี่เมื่อใด” เพ็งยังคงพูดต่อ แต่มิ่งก็เฉยเสีย ไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเพ็งไม่อยู่ให้นางฟัง

“ได้สิ ข้ายินดียิ่ง” มิ่งตอบออกไป เพ็งจึงเหลียวหลังไปตะโกนเรียกน้องชาย

“พ่อทิม มานี่เถิด พี่มิ่งจักสอนดาบให้เจ้าแล้ว”

เจ้าเด็กหนุ่มจอมโอหัง ซึ่งคงยืนอยู่ไม่ไกล จึงปรากฏกายออกมา แล้วนั่งลงตรงหน้าแคร่ที่มิ่งกับเพ็งนั่งอยู่ สีหน้ายังบึ้งตึง ไม่มีรอยยิ้มสักนิด

มิ่งมองผู้เยาว์วัยกว่าตรงหน้าแล้วคิด นี่ยังไม่ละทิ้งมานะสิท่า ที่เคยไม่ถูกชะตากับเขามาตลอด นึกๆ ไปมันก็น่าแกล้งนัก แต่คิดอีกที ก็น่าชื่นชมในความเป็นผู้ใฝ่รู้มากอยู่ แต่ยังไงก็ควรดัดนิสัยกันบ้างสักเล็กน้อย เขาจึงบอกไปว่า

“ถ้าอยากเรียนจริง เจ้าไปเตรียมดอกไม้ธูปเทียนมายกครูกับข้าด้วย”

ทิมเงยหน้าขึ้นมองราวกับจะถามมิ่งว่า ต้องขนาดนี้เลยรึ แล้วก็ยังคงนิ่งอยู่ จนเพ็งกล่าวขึ้นอย่างนึกรำคาญว่า

“ชักช้าจริงนะเจ้า ข้าไปจัดให้ก็ได้ รอบัดเดี๋ยวก็แล้วกัน”

พูดแล้วนางก็เดินลับไปทางท้ายเรือนโดยพลัน เมื่ออยู่เพียงลำพัง มิ่งจึงถามทิมขึ้นว่า

“เจ้าสนใจฝึกฝนเคล็ดวิชานั้นจากข้ากระนั้นสิ”

เจ้าเด็กหนุ่มหันมาตอบ

“ถูกต้อง แต่ข้าเพียงหวังจักทำหน้าที่นักรบของพ่อขุนให้ดีที่สุด ขับไล่ศัตรูไปให้พ้น มิมากุมเหงพวกเราอีก ให้พวกเราได้อยู่กันเป็นสุขเสียที”

แววตาของทิมมุ่งมั่นนัก จนมิ่งนึกชื่นชมในความตั้งใจอันดีนั้น แต่กระนั้นคำตอบก็เหมือนบอกเป็นนัยๆ อยู่ว่า มิใช่ว่าข้าอยากจะญาติดีกับเจ้าดอกนะ นึกขึ้นมาแล้วก็รู้สึกขำขึ้นมากลายๆ แต่ก็พูดออกไปเพียงว่า

“เคล็ดวิชานี้ พ่อครูพันถ่ายทอดไว้ให้แก่ศิษย์แลแม่ปราง ซึ่งพ่อครูพันมิเคยหวงเลย หากผู้นั้นมีความมุ่งมั่นที่จะปลดปล่อยเผ่าไทเรา ท่านเองได้สั่งข้าไว้ก่อนมา ให้ถ่ายทอดให้เจ้าแลแม่เพ็ง ซึ่งเป็นหลานแท้ๆ ของท่าน หากพวกเจ้าสนใจ ดังนั้นจึงเป็นการสมควรแล้วที่เจ้าจักได้เรียนรู้ไว้”

เมื่อเด็กหนุ่มได้ยินคำตอบนั้น ก็เงยหน้าขึ้นมองผู้ที่กำลังสนทนาด้วย อย่างประหลาดใจหน่อยๆ ว่า นี่เขามิได้โกรธขึ้งตัวเองเลยจริงๆ หรือ ที่ได้เคยทำไม่ดีด้วยเอาไว้

เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เพ็งก็เดินกลับมาพร้อมกับดอกไม้ธูปเทียนไหว้ครู จัดใส่พานมาเรียบร้อย นางส่งพานนั้นให้ทิม แล้วก็ลงนั่งข้างๆ ผู้เป็นน้องชาย

“ทีนี้การยกครู เขาทำกันอย่างไรเล่า” มิ่งแกล้งถามทิม

ทิมมองนิดหนึ่งก่อนขยับมาใกล้ และคุกเข่าตรงหน้ามิ่ง เขาส่งพานธูปเทียนให้มิ่งรับ เมื่อรับแล้ว ก็ขยับตัวจะกราบลงแทบเท้า มิ่งรีบก้มตัวลงรับมือของทิมเสียโดยพลัน ก่อนจะถึงพื้น ใจก็นึกชื่นชมอยู่ที่ทิมยอมสลัดมานะในตนลงได้ เพื่อทำในสิ่งที่ควรกระทำให้ดีที่สุด

“มิต้องกราบข้าดอกเจ้า พานครูนี้ ข้าถือว่าเจ้าบูชาพ่อครูพันแลครูบาอาจารย์ของท่านแล้ว ข้าเองเป็นเพียงตัวแทนรับไว้ แลเป็นตัวแทนถ่ายทอดความรู้ของท่านให้แก่เจ้า มิต้องวิตกอันใด ข้าเห็นแม่เพ็งเป็นน้องสาวเช่นใด ข้าก็เห็นเจ้าเป็นน้องชายเช่นนั้น มิเคยคิดเดียดฉันท์เลย”

เด็กหนุ่มมองหน้ามิ่งอีกครั้ง แววตาที่เคยกระด้างดูอ่อนโยนลงจนเห็นได้ชัด แต่ก็มิได้ปริปากอันใดออกมา เพ็งที่นั่งอยู่ข้างน้องชายก็ยิ้มออกด้วยความยินดี

กาลผ่านไป ทิมเริ่มคลายความไม่ถูกชะตากับมิ่งลงเรื่อยๆ เขาได้ฝึกโดยใช้ดาบสองมือคู่กายของมิ่ง จนวันหนึ่งมิ่งก็มอบดาบคู่นั้นให้ทิมไป เพราะเห็นผู้อ่อนวัยกว่าดูจะถูกใจดาบของเขามากอยู่

“พี่มิ่งให้ข้าเสีย แล้วพี่จะมีดาบใช้ฤา” ทิมถามขึ้นเมื่อมิ่งมอบดาบให้เขา แม้สีหน้าจะพอใจจนเห็นได้ชัดที่ได้เป็นเจ้าของดาบคู่นั้น

“มิเป็นไรดอก เจ้าชอบ ข้าก็ยินดีแล้ว บัดเดี๋ยวข้าคงหาใหม่ได้”

มิ่งตอบ ในใจคิดว่า อย่างน้อยเขาก็มีดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับมาจากท่านคุรุเฒ่าเป็นอาวุธคู่มือแล้ว ส่วนดาบสองมือนั้น อาจขอใหม่ได้จากสำนักพ่อครูพัน หรือของพ่อครูอินก็พอจะใช้ได้อยู่

“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ขอบใจพี่มาก” เจ้าหนุ่มน้อยตอบ มิ่งพยักหน้ารับ

…..

อาการไข้ทำให้มิ่งเผลอหลับไปทั้งที่เป็นเวลาสาย มารู้สึกตัวก็เมื่อเพ็งมาเขย่าตัวเพื่อปลุกให้ตื่น

“พี่มิ่ง พี่มิ่ง ตื่นเถิด ท่านพ่อขุนมาที่เรือน ไปเฝ้าท่านกันเถิด”

มิ่งงัวเงียลืมตาขึ้น

“พี่ไม่สบายฤา” เพ็งถาม

เขายันกายลุกขึ้น “ข้าเป็นไข้ ปวดหัวยิ่งนัก”

“บัดเดี๋ยวข้าจักต้มยาให้ ยานี่ดีนัก รักษาไข้หายทุกคน แต่เพลานี้ เราไปเฝ้าพ่อขุนกันก่อน ใครๆ ในเรือนไปกันหมดแล้ว ข้ามิเห็นพี่ จึงมาตามนี่แหละ”

ชายหนุ่มขยับเครื่องแต่งกายให้เข้าที่เรียบร้อย แล้วรีบเดินตามเพ็งไปในทันที จนกระทั่งถึงลานบ้าน ซึ่งขณะนี้ท่านพ่อขุนบางกลางหาวประทับนั่งอยู่กับพ่อครูอินบนแคร่ มีเหล่าลูกศิษย์หญิงชายรายล้อมอยู่ด้านล่าง

“พ่อมิ่ง รีบมาเถิด จักได้รู้จักท่านพ่อขุนไว้” พ่อครูอินพูดขึ้น เมื่อเห็นมิ่งเดินเข้ามา

“เจ้ามิ่ง เหตุอันใดจึงมาช้ากว่าผู้อื่นนัก” พระองค์ท่านทักขึ้น

“ท่านรู้จักพ่อมิ่งด้วยฤา” พ่อครูอินถามด้วยความสงสัย

“ข้าเคยพบเจ้ามิ่งตั้งแต่อยู่เรือนพ่อครูพันแล้ว” พระองค์ท่านตรัสเพียงเท่านี้ มิได้เท้าความไปถึงครั้งที่พบมิ่งตกเหวสลบไสลอยู่ และนำตัวมาให้ท่านคุรุเฒ่ารักษา

พ่อครูอินพยักหน้า

“ข้าเป็นไข้ มิใคร่สบาย เลยเผลอหลับไปขอรับ แม่เพ็งไปตาม จึงรู้ว่าท่านมา” มิ่งตอบ

“สีหน้าเจ้าก็ดูอิดโรยอยู่ ระวังรักษาตัวด้วย หายากินเสียแลดูแลตัวเองให้ดี จักได้มีกำลังกาย เพลานี้ใครคนใดคนหนึ่งจักอ่อนแอมิได้”

“ข้าตากฝนเมื่อวานนี้ กลับเข้าที่ร่มมิทันจึงเป็นเช่นนี้ ต่อไปข้าจักรักษาตัวเอง มิให้เป็นเยี่ยงนี้อีก” มิ่งตอบ

ท่านพ่อขุนพยักหน้า แล้วจึงสนทนากับพ่อครูอินต่อ

“ลูกศิษย์ท่านที่ฝึกอยู่เพลานี้ พร้อมแล้วฤาไม่ที่จักเป็นนักรบ”

“พร้อมแล้วพระองค์ท่าน แต่ละคนฝีมือใช้ได้แล้ว เพราะต่างขยันฝึกอาวุธกันทุกคน เพียงแต่เพลานี้ ศิษย์หญิงมีมากกว่าชายนัก”

พระองค์ท่านยิ้ม และหันไปทางศิษย์หญิงที่นั่งรวมกลุ่มกันอยู่ “ถึงกายจักไม่เข้มแข็งเท่าชาย แต่หัวใจพวกเจ้า แกร่งเกินชายไปแล้ว ใช่ฤาไม่”

ศิษย์หญิงเหล่านั้นพากันยิ้ม และตอบเกือบจะพร้อมกันว่า “ใช่ เจ้าค่ะ”

“ดี ข้ายินดีนักที่พวกเจ้าจักมาเป็นนักรบของข้า ข้านับถือหัวใจเจ้ายิ่งที่พร้อมจักจับอาวุธเยี่ยงชาย โดยมิคำนึงถึงความอ่อนแอทางกายของเจ้าเองแม้แต่นิดหนึ่ง”

คำพูดนี้ดูจะจับใจผู้ฟัง เพราะทุกคนมีสีหน้าอิ่มเอิบเบิกบานจนเห็นได้ชัด พระองค์ท่านตรัสต่อ

“การครั้งนี้ ข้ามิอาจทำเพียงผู้เดียว ต้องอาศัยกำลังของพวกเจ้าทั้งมวล ขอบใจที่พวกเจ้าทั้งชายแลหญิงเสียสละ มิเห็นแก่เหน็ดเหนื่อย มิเห็นแก่ความสุขส่วนตน สู้ยอมทิ้งครอบครัวมาฝึกอาวุธสู้รบ มิเกรงต่อการเอาชีวิตเป็นเดิมพันในภายหน้า ข้ามิรู้จะตอบแทนพวกเจ้าได้เยี่ยงไร นอกจากคำขอบใจเพียงเท่านี้”

“ท่านอย่ากังวลไปเลย” พ่อครูอินตอบ “พวกเราทุกคน ณ ที่แห่งนี้เต็มใจรบเคียงข้างท่าน ใช่ฤาไม่”

พ่อครูพูดเสียงดังเป็นพิเศษ มีเสียงตอบกลับมาจากทุกคนว่า…ใช่…พ่อครูอินพูดต่อ

“พวกเราทุกคนต้องขอบพระคุณท่านพ่อขุนยิ่งที่มาเป็นผู้นำให้แก่เรา เหน็ดเหนื่อยยิ่งกว่าเราหลายร้อยเท่านัก หากมิมีท่าน ก็คงมิมีผู้ใดริเริ่ม หาทางให้เราพ้นอุ้งตีนขอม จักต้องเป็นทาสมันไปชั่วกัลปาวสานฤา มีเพียงการต่อสู้เท่านั้นที่จักทำให้เราหลุดพ้นได้ แม้นข้าแลทุกคนดับชีพไป อย่างน้อยการตายของเราก็จักเป็นกุศลอันใหญ่ มิเพียงแค่ให้ซากศพเป็นทานแร้งกาเท่านั้น”

“ถ้าเช่นนั้น ต้องฝากคำขอบคุณของท่านถึงท่านผาเมืองด้วย เพราะข้าเองจักเป็นผู้นำการนี้แต่เพียงผู้เดียวก็หาได้ไม่ เราร่วมคิดร่วมทำด้วยกันตลอดมา ท่านผาเมืองก็กำลังเร่งเตรียมรี้พลของท่านอยู่ เราจักต้องร่วมรบเคียงกันในอีกมินาน หากท่านเห็นข้าเป็นผู้นำแล้ว ก็จงเห็นท่านผาเมืองเป็นผู้นำเสมอกันด้วยเถิด”

“ข้าขอน้อมรับคำของท่าน พวกเราทุกคนน้อมรับด้วยเช่นกัน ใช่ฤาไม่”

ทุกคนในที่นั้นตอบพร้อมเพรียงกันว่า…ใช่…อีกครั้ง

ท่านพ่อขุนยังคงสนทนากับพ่อครูอิน แม่พุ่มและทุกคนในที่นั้นอยู่อีกครู่ใหญ่ แล้วจึงตรัสว่า “สมควรแก่เวลาแล้ว ข้าคงขอลาไปก่อน” แล้วก็หันไปตรัสกับทหารที่มาด้วย

“ไอ้สุ่น เตรียมตัว”

นายสุ่นที่นั่งอยู่แทบพระบาทจึงหยิบดาบและธนู อาวุธประจำกายขึ้นเตรียมพร้อม ขณะที่ทุกคนในที่นั้น ต่างก้มกราบพระองค์ท่าน

“พ่อครู ข้าขอให้เจ้ามิ่งแลพ่อทิม แม่เพ็ง ตามไปส่งข้าที่ปากทางสักหน่อยเถิด เจ้ามิ่ง เจ้ายังป่วยไข้อยู่ สะดวกใจไปส่งข้าฤาไม่”

มิ่งได้ฟัง อาการไข้ดูจะหายเป็นปลิดทิ้งด้วยหัวใจพองโต ที่จะมีโอกาสใกล้ชิดผู้มีพระคุณอีกครั้ง

“ข้ายินดีนัก พระองค์ท่าน อาการไข้ของข้าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ขอท่านอย่าได้กังวลเลย”

พูดแล้วก็ขอตัวกลับที่พัก กำหนดจิตเรียกดาบศักดิ์สิทธิ์ออกมา ดาบก็ปรากฏขึ้น ชายหนุ่มถือดาบนั้นกลับออกมา เมื่อพระองค์ท่านเห็น ก็ทรงยิ้มและตรัสว่า

“คงจักได้ใช้ดาบนี่เสียทีนะ”

“ถ้ามีเหตุมิชอบมาพากล ข้าก็จักใช้ดาบนี่ให้เต็มที่ขอรับ” เขาตอบ

แล้วการเดินทางก็เริ่มขึ้น มิ่งซึ่งยังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่ เดินตามหลังท่านพ่อขุนร่วมกับทิมและเพ็ง ขณะที่นายสุ่นเดินนำหน้า ลัดเลาะชายป่าจนไปถึงทางเดินใหญ่

“ส่งข้าแค่นี้ก็พอแล้วพวกเจ้า กลับเรือนไปเถิด” ท่านพ่อขุนหยุดยืนบอกกล่าวแก่ผู้มาส่งทั้งสาม ใจมิ่งนั้นอยากไปส่งให้ไกลกว่านี้นัก จึงกล่าวออกไปว่า

“ให้พวกข้าไปส่งท่านไกลกว่านี้สักหน่อยเถิด”

“มิเป็นไรดอก กลับไปทำกิจของพวกเจ้าต่อดีกว่า”

เมื่อเป็นพระประสงค์ คนทั้งสามจึงทรุดกายลงกราบพระองค์ท่านที่พื้น แต่เสียงสวบสาบเหยียบใบไม้ที่ดังขึ้นเบื้องหลัง ทำให้ทุกคนต้องรีบเงยหน้าขึ้นและหันไปมอง

ภาพที่เห็นคือชายฉกรรจ์ 6 คน ในชุดดำ มือถือดาบสองมือ สวมผ้าคลุมใบหน้ามิดชิดยืนจังก้าอยู่เบื้องหน้า อย่างพร้อมที่จะบุกเข้ามาปลิดชีพแล้ว…


23 ก.ย.66


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น