บทที่ 22
วินาทีนี้ มิ่งควรจะตื่นเต้น เพราะมันเป็นครั้งแรกที่จะได้สู้รบกับศัตรูตัวจริง หลังจากฝึกฝนกับคู่ซ้อมมานาน เช่นเดียวกับทิมและเพ็ง แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบมิทันได้ตั้งตัว ทำให้เขาไม่มีโอกาสที่จะรู้สึกเช่นนั้นเลย นึกอย่างเดียวว่า ต้องป้องกันพระองค์ท่านให้ปลอดภัยเท่านั้น ชายหนุ่มรีบร้องบอกทหารองครักษ์ของท่านพ่อขุน
“พี่สุ่น ป้องกันท่านให้ดีเถิด มิต้องเป็นห่วงพวกข้า”
เสียงพระองค์ท่านตรัสกลับมาว่า
“จับเป็นพวกมันให้ได้ เจ้ามิ่ง ข้าอยากรู้นักว่ามันเป็นผู้ใดกัน”
มิ่ง ทิมและเพ็ง ขยับตัวมาหันหลังชนกัน อยู่ด้านหน้าท่านพ่อขุนอย่างพร้อมเป็นเกราะป้องกันภัยให้เต็มที่ ขณะที่นายสุ่นรีบกันท่านพ่อขุนออกไปเสียจากที่ตรงนั้น
ชายทั้งหกคนเริ่มย่างสามขุมเข้ามาหาคนทั้งสาม แล้วการตะลุมบอนฟาดฟันก็เกิดขึ้น หนึ่งในหกนั้นตรงดิ่งเข้าหาเพ็ง อีกสองเข้าหาทิม ส่วนมิ่งนั้น ตอนแรกเขารับมือกับชายสองคนก่อน คนที่สามดูเหมือนยังลังเล แต่ที่สุดก็กระโจนเข้ามาร่วมวงด้วย
มิ่งถือดาบศักดิ์สิทธิ์เข้าฟาดฟันกับดาบสองมือของชายชุดดำแบบสามรุมหนึ่ง ดาบนั้นทรงพลังนัก เมื่อฟาดลงไปก็มีแรงมหาศาลจนคู่ต่อสู้ถึงกับกระเด็นไป และเมื่อจะเพลี่ยงพล้ำ ดาบนั้นก็เหมือนมีวิญญาณฉุดดึงมือเขาให้รับคู่ต่อสู้ได้อย่างถูกต้องไม่ว่าจะมาจากทิศใด รวมถึงดึงตัวเขาให้ฉากหลบได้อย่างทันท่วงที แต่ศัตรูทั้งสามนั้นฝีมือเป็นยอดทีเดียว รวมทั้งต่อสู้หนักหน่วง อย่างดูเหมือนจะพยายามสังหารเขาลงให้จงได้ มิ่งเองยังอ่อนล้าด้วยพิษไข้ ร่างกายจึงต่อสู้ไม่ได้เต็มกำลังนัก แต่ด้วยใจและกำลังของดาบ ทำให้ชายหนุ่มยืนหยัดสู้รบอยู่ได้อย่างไม่ย่อท้อ
ในที่สุด หนึ่งในสามของชายชุดดำที่กลุ้มรุมเขาอยู่เกิดเพลี่ยงพล้ำ ถูกมิ่งฟาดจนดาบหลุดทั้งสองมือและกระเด็นล้มลง ด้วยแรงอันมหาศาลของดาบศักดิ์สิทธิ์ ชายหนุ่มรีบคว้าร่างนั้นขึ้นแล้วล็อคคอไว้อย่างแน่นหนา ส่งผลให้ชายสองคนที่เหลือหยุดชะงักอย่างดูเชิง ไม่กล้าบุกเข้ามาอีก
มิ่งรีบดึงผ้าคลุมหน้าของชายผู้นั้นออก เมื่อแลเห็นใบหน้า เขาถึงกับตกตะลึง
“พี่เดช”
การต่อสู้ของทิมและเพ็งยังคงดำเนินไปอยู่ มีเสียงตะโกนขึ้นท่ามกลางเสียงดาบที่กระทบกันหนักหน่วง
“พวกเจ้าทั้งหมด ยุติการต่อสู้ได้แล้ว”
เสียงของพระองค์ท่านนั่นเอง ชายชุดดำคลุมหน้าทั้งหมดจึงหยุดสู้รบ ทำให้มิ่ง ทิมและเพ็ง หยุดตามและรู้สึกงวยงงอยู่ไม่น้อย
“เปิดผ้าคลุมหน้าของเจ้าเสียด้วย” ท่านพ่อขุนตรัสสั่งต่อ
ทั้งห้าคนที่เหลือจึงปลดผ้าคลุมหน้าออก มิ่งต้องแปลกใจอีกครั้ง เมื่อเห็นโฉมหน้าของคนสองคนในกลุ่มนั้น
“พี่ริด พี่เลื่อง” ทั้งสองคนก้มหน้างุดลงพื้น
“มิต้องแปลกใจอันใดดอก พวกเจ้าทั้งสาม ข้าเพียงอยากทดสอบกำลังใจแลฝีมือของเจ้าเท่านั้น ซึ่งนับว่า ข้าพอใจพวกเจ้าเป็นที่ยิ่ง” ท่านพ่อขุนตรัสขึ้น
ทิมกับเพ็งมองหน้ากันแล้วยิ้มอย่างปลาบปลื้ม
พระองค์ท่านกวาดตามองทุกคนซึ่งต่างได้แผลมีเลือดออกกันไปคนละเล็กละน้อย
“เจ็บกันหน่อยนะพวกเจ้า”
“มิเป็นไรเลยขอรับ” ทิมตอบ มือยังคงกำบาดแผลที่แขนซึ่งมีเลือดซึม “เจ็บเท่านี้นับว่าธรรมดามาก”
“ดี” พระองค์ท่านตรัสตอบ ก่อนจะหันไปทางเดช ริดและเลื่อง
“พวกเจ้าสามคนไฉนจึงทำเกินคำสั่งของข้า ข้าเพียงสั่งให้มาทดสอบกำลังของคน เหตุใดจึงเอาเป็นเอาตาย ราวกับจะเข่นฆ่าไอ้มิ่งลงให้จงได้เช่นนั้น”
ทั้งสามคนมีสีหน้าสลด แต่ก็ไร้คำตอบ ได้แต่ก้มหน้าลงอย่างเกรงอาญา
“ข้าก็รับรู้อยู่ ว่าพวกเอ็งมีเรื่องบาดหมางกับไอ้มิ่ง แต่เพลานี้ มิใช่เพลาที่คนของเราจักมามุ่งร้ายกันเองเช่นที่เอ็งทำ จนฝ่าฝืนคำสั่งของข้า”
น้ำเสียงบ่งบอกว่ากริ้วหนัก เดช ริดและเลื่องยังคงก้มหน้านิ่ง
“พวกเจ้าสามคนยังคิดว่าตนเองเป็นทหารของข้าอยู่ฤาไม่”
เดชเป็นคนแรกที่ตอบว่า “เป็นขอรับ” แล้วริดกับเลื่องก็ตอบด้วยคำตอบเดียวกันตามมา
“ในการศึก หากทหารมิฟังคำของนายทัพ กองทัพจักรบได้เยี่ยงไร เมื่อพวกเอ็งเป็นทหารของข้า ก็ต้องยอมรับการลงอาญาของข้า ให้สมควรแก่ความผิด”
“ไอ้สุ่น” พระองค์ท่านตรัสเรียกองครักษ์
“ขอรับ” นายสุ่นรีบรับคำ
“เอาหวายที่เตรียมมาโบยหลังพวกมันสามคนให้จงหนักคนละห้าสิบที”
มิ่งได้ฟังแล้วตกใจจนไปทรุดกายลงนั่งเบื้องหน้าพระองค์ท่าน
“อย่าเลยขอรับ อย่าลงอาญาพี่ทั้งสามคนเลย ข้าเห็นว่าพี่เดช พี่ริด พี่เลื่องทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุด หากพี่ทั้งสามมิสู้รบเต็มกำลัง จักรู้ได้เช่นไรว่าข้ามีกำลังฝีมือแลกำลังใจเพียงไหน ขอให้ท่านเมตตายกโทษให้พี่ทั้งสามสักครั้งหนึ่งเถิดขอรับ”
ท่านพ่อขุนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตรัสว่า
“เอาละ เห็นแก่เจ้ามิ่ง ข้าจะยกโทษให้พวกเอ็งทั้งสามคนในครานี้ ไอ้เดช ไอ้ริด ไอ้เลื่อง มีอันใดจักกล่าวกับมันก็กล่าวเสีย”
มิ่งขยับกายไปนั่งตรงหน้าเดช และท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน….เขาก้มลงกราบเดชที่พื้น
“ข้าได้ทำเยี่ยงนี้ให้พี่เดชได้ ข้ายินดีนัก ที่ผ่านมาข้ากราบขอขมาที่ทำให้พี่เป็นทุกข์ใจ ทั้งๆ ที่พี่เดชดีกับข้าอย่างที่สุด ยามที่ข้าพลัดบ้านพลัดเรือนมา ก็มีพี่เดชนี่แหละที่ดูแลข้าทุกอย่างประหนึ่งน้องชาย ทำให้ข้ามีชีวิตใหม่ได้ การที่ข้าทำให้พี่ครั้งนี้ ก็ยังมิเท่าน้ำใจที่พี่มีต่อข้าเลย”
กล่าวเสร็จ เดชยังคงนิ่ง มิ่งทำใจแล้วว่า หากเดชยังคงโกรธแค้นและระบายความแค้นใส่เขา ชายหนุ่มยินดีน้อมรับ เหมือนกับที่เคยน้อมรับมาแล้ว แต่เดชกลับยิ้มอ่อนๆ และตบไหล่มิ่งก่อนจะพูดว่า
“เมื่อข้าไปอยู่บางยางกับพ่อขุนท่าน ข้าก็เริ่มคิดได้หลายเรื่อง เรื่องแม่ปรางนั้น ข้าคิดแล้วว่า หากนางเป็นคู่ของข้าจริง คงพอใจข้ามาเนิ่นนานแล้ว แต่นี่เป็นข้าฝ่ายเดียวที่มุ่งหวังในตัวนาง นางถูกทั้งข้า พ่อแม่ข้า แลพ่อของนางบีบบังคับ นับว่าสร้างกรรมให้แก่นางโดยแท้ ยิ่งหากได้ออกเรือนกับข้าไป นางคงมิมีความสุข ตัวข้าเองก็จักมิมีความสุขด้วย ขอให้เจ้าสบายใจได้เรื่องนี้ ข้ามิคิดบังคับใจนางอีกต่อไปแล้ว”
มิ่งยิ้มออกราวยกภูเขาออกจากอก ความทุกข์ในรักดังไฟสุมใจมาตลอด ยามนี้เหมือนอุปสรรคเปลาะใหญ่ได้หลุดออกไปหนึ่งเปลาะแล้ว
“ข้าขอขอบคุณในความเมตตาของพี่เป็นที่ยิ่ง ยามนี้ข้าประจักษ์ใจแล้วในน้ำใจของพี่ เหตุใดพี่จึงเป็นที่รักของใครๆ มากมายนัก รวมถึงพี่ริดแลพี่เลื่อง”
ชายหนุ่มหันหน้าไปทางคนทั้งสองที่เพิ่งพูดถึง ทั้งคู่ขยับกายมานั่งใกล้ๆ
“เมื่อครู่นี้ เป็นข้าสองคนที่คิดเอาเป็นเอาตายกับเจ้า มิใช่พี่เดชดอก แต่พี่เดชคงเห็นเจ้าเข้มแข็งนัก เกรงว่าพวกข้าจักสู้มิได้ จึงเข้ามารุมด้วย ข้าต้องขออภัยแทนพี่เดช แลขออภัยด้วยที่รุนแรงกับเจ้า” ริดพูดขึ้น
“มิเป็นไรดอก พี่ริด พี่เลื่อง” ชายหนุ่มว่า
“แลข้าต้องขออภัยที่เคยหมายมั่นเอาชีวิตเจ้า จนถึงขนาดเป่าลูกดอกให้สิ้นสติ แล้วจ้างคนเอาไปโยนทิ้งเหว แต่เมื่อเจ้าหวนคืนมาได้ กลับมิบอกพ่อครูพันตามจริง ทำให้ข้าสองคนพ้นจากการถูกลงโทษหนัก เพลานี้เจ้ายังขอพ่อขุนให้งดโทษพวกข้าอีก ทั้งที่ข้าฟาดฟันเจ้าด้วยกำลังโทสะ ยกโทษให้แก่ความเลวร้ายของพวกข้าด้วยหนา” เลื่องพูดขึ้นบ้าง
เมื่อเดชได้ยินดังนั้นก็ดุคนสนิททั้งสองว่า
“นี่พวกเจ้า ทำอันใดกัน ข้ามิเคยมีความประสงค์ให้พวกเจ้าทำเช่นนี้เลย”
“มิเป็นไรดอกพี่เดช มันผ่านไปแล้ว พี่ทั้งสองทำ เพราะรักพี่ ข้าเองก็รอดปลอดภัยมาแล้ว อย่าดุว่าพี่ริดพี่เลื่องเลย” มิ่งว่า
“ขอบใจเจ้ามาก ไอ้มิ่ง ที่ให้อภัยแลมีไมตรีกับพวกข้า” ริดกล่าวพร้อมกับแตะไหล่มิ่งอย่างขอบคุณจากใจจริง ทำให้มิ่งหวนนึกถึงคำของท่านคุรุเฒ่า ที่ว่าแท้จริง เหตุที่เกิดเป็นกรรมของมิ่งเอง อย่าผูกใจเจ็บต่อผู้กระทำ อย่าเอาเรื่องเอาราวใครแม้แต่น้อย
วันนี้เขาได้เห็นแล้วว่า การเชื่อฟังคำท่านคุรุเฒ่าเป็นผลอย่างไร และผลพลอยได้คือการเปลี่ยนศัตรูมาเป็นมิตรได้นั้น ยังความอิ่มเอิบใจมาให้มากมายเพียงใด
ทิมก้าวมานั่งใกล้ๆ มิ่งบ้าง และก้มตัวลงจะกราบ มิ่งจับมือทิมไว้ทันก่อนจะลงแตะพื้น
“อันใดอีกเล่าเจ้า” มิ่งว่า “เราเข้าใจกันดีแล้วนี่หนา”
“ข้าอยากขอขมาพี่” ทิมว่า “ที่เคยจาบจ้วงพี่ไว้ ข้ายังมิเคยเอ่ยขอขมาพี่เลยสักคำ แลความจริง ข้าก็ยังติดใจอยู่เสมอ เรื่องพี่กับพี่เดชแลพี่ปราง มาวันนี้ทุกอย่างกระจ่างชัดแล้ว ข้าจึงขอขมาที่เคยคิดไม่ดี แลพูดทำไม่ดีกับพี่เอาไว้”
“ไม่มีโทษ ไม่มีภัยอันใดทั้งสิ้น สบายใจเถิด น้องชายข้า”
พ่อขุนบางกลางหาวมองภาพของคนทั้งห้าด้วยความยินดียิ่ง ก่อนจะตรัสขึ้นว่า
“ข้ายินดีนักที่เจ้าทิ้งความบาดหมางระหว่างกันลงได้สิ้น ข้ามิต้องการเห็นความผิดใจกันในหมู่พวกเราเลย มันเป็นการตัดกำลังของเราลงเองให้พ่ายศัตรูโดยง่าย แลข้าต้องชื่นชมในน้ำใจของพวกเจ้าทุกคน ที่มีความเมตตาแลให้อภัยกันเยี่ยงนี้”
พระองค์ท่านหันไปมองมิ่งโดยเฉพาะและยิ้ม
“นับว่าสิ่งที่ท่านคุรุบอกให้ข้ากระทำ เกิดผลดีโดยแท้”
ชายหนุ่มเข้าใจได้ในทันทีว่า เหตุที่เกิดทั้งหมด การที่พระองค์ท่านกริ้วจนถึงขั้นจะลงอาญาเดช ริดและเลื่องล้วนเป็นอุบายทั้งสิ้น นึกแล้วก็ให้ซาบซึ้งในความเมตตาของท่านคุรุเฒ่าและท่านพ่อขุน ที่ช่วยให้พบทางออกจากอุปสรรคอันใหญ่หลวงในชีวิตได้
…..
สาวิตรตื่นขึ้นพร้อมกับปาดน้ำตาที่เอ่อล้นหางตาอยู่ จากความรู้สึกที่ได้สัมผัสในภาพความฝัน เดช ริดและเลื่องกลับมาเป็นมิตรที่ดีแล้ว และได้พบกันแล้วในภพปัจจุบัน เช่นเดียวกับทุกคนรายรอบตัว ธิโมที นาถนพิน อาพสิฐ อายุพเยาว์ ศาสตราจารย์วิรุฬห์ เขาระลึกได้แล้ว…แม้แต่ปรางนวล
แต่ว่าปรางล่ะ…ปรางอยู่ที่ไหนกัน เหตุใดเขาจึงไม่พบนางในภพปัจจุบันนี้เลย
ความคิดถึงแล่นขึ้นมาจับใจสาวิตรทันที อยากพบปรางเหลือเกิน เขาถอนใจ ไม่เป็นไรน่ะ เขาปลอบใจตัวเอง ถึงอย่างไร ปรางก็คงยังอยู่ที่ไหนสักแห่ง นางคงมาแล้ว แต่เขาอาจจะยังไม่ได้เจอนางในภพนี้ก็เป็นได้ ถ้าเช่นนั้น เขาก็จะรอ รอเพื่อจะได้เป็นดวงอาทิตย์ที่สาดแสงให้ความอบอุ่นแก่ชีวิตของนาง…เสมอ
แต่ว่าถ้าทางเดียวที่จะได้พบนางคือการกลับสู่อดีตเท่านั้น และถ้ากลับไปแล้ว…มิ่งล่ะ?
ยิ่งคิดก็ยิ่งหาทางออกไม่เจอ แต่ความคิดก็ต้องสะดุดหยุดลง เมื่อได้ยินเสียงแม่บ้านสาวมาตะโกนเรียกที่นอกบ้าน สาวิตรจึงลุกขึ้นไปเปิดประตูระเบียงดู
“คุณวิตรไม่ไปทานข้าวเช้าหรือคะ ใครๆ ออกไปข้างนอกกันหมดแล้วนะคะ”
อุ๊ตามเคย อุ๊ผู้มีหน้าที่ประจำคือมาปลุกเจ้านายที่นอนหัวค่ำแต่ตื่นสายอย่างสาวิตร
“เหรอครับ งั้นเดี๋ยวผมลงไปนะ” สาวิตรตอบแม่บ้านสาวที่ยืนแหงนหน้าอยู่
เขาทำธุระส่วนตัวแล้วก็ไปบ้านผู้เป็นอา จัดการกับอาหารเช้าเงียบๆ ก่อนจะสั่งข้าวฟ่างที่ยืนเช็ดจานอยู่ไม่ไกลนักว่า
“วันนี้ไม่ต้องหาข้าวกลางวันให้ผมนะครับ เดี๋ยวออกไปหาทานข้างนอกเอง”
“ค่ะ” แม่บ้านสาวรับคำ เธอคุ้นเคยดีและชื่นชมกับความช่างเกรงใจของเจ้านายหนุ่ม เมื่อเห็นไม่มีใครอยู่ ก็ไม่อยากรบกวนใครให้มาดูแลตัวเองเพียงคนเดียว แม้ว่าบางทีจะดูแปลกๆ อยู่บ้าง อย่างเรื่องการนอน เหตุใดคนหนุ่มขนาดนี้ถึงได้นอนเอาเป็นเอาตายได้ขนาดนั้น !!
เธอเคยนับนิ้วถึงชั่วโมงการนอน นับตั้งแต่มองเห็นแสงไฟที่บ้านสาวิตรดับ จนถึงยามสายที่นายหนุ่มตื่นขึ้นมา
“โอ้โฮ คุณวิตรนี่นอนคืนนึง 12-13 ชั่วโมงเลยนะ” ข้าวฟ่างตั้งข้อสังเกตกับอุ๊ จนป้าสายที่นั่งหั่นผักอยู่ใกล้ๆ รู้สึกอดรนทนไม่ได้
“นี่เอ็งคอยสำรวจพฤติกรรมเจ้านายละเอียดขนาดนี้เลยเหรอวะ นังข้าวฟ่าง”
“นั่นสิ ตกลงเขาจ้างเอ็งมาเป็นนักสำรวจสินะนี่” ลุงแช่มพูดขึ้นบ้าง
“รับไปคนเดียวนะ ข้าวฟ่าง ข้าไม่เกี่ยวนะโว้ย” อุ๊พูดขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนสาวเริ่มจะโดนรุมจากผู้อาวุโสทั้งสอง
“แหม ป้าก็ หนูไม่ได้เกลียดคุณวิตรนะ แกใจดีจะตาย เพียงแต่ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมถึงได้นอนเป็นงานหลักแบบนั้น”
“มันก็ไม่ใช่ธุระอะไรของเอ็งนี่หว่า ที่จะไปคอยนับเขานอนกี่ชั่วโมง ตื่นกี่ชั่วโมง เที่ยวไปสนใจเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่เอ ก็ไม่แน่นะ” ป้าสายทำหน้าครุ่นคิด
“แกอาจจะไม่ใช่แค่นอนหลับธรรมดา แต่ตอนนอนน่ะ แกอาจจะทะลุมิติไปเที่ยวไหนต่อไหนเพลินก็ได้”
อุ๊กับข้าวฟ่างมองหน้ากันแล้วยิ้มที่ป้าสายมีข้อคิดเห็นต่อ “เรื่องไม่เป็นเรื่อง” ที่เพิ่งพูดถึง
“เอ็งสองคนสนิทกับคุณวิตร แกเคยเล่าอะไรทำนองนี้ให้พวกเอ็งฟังหรือเปล่าวะ” ป้าสายถามต่อ
“ไม่เคยจ้ะป้า แต่เคยได้ยินคุณวิตรคุยกับคุณพินเรื่องแกฝัน แล้วก็พูดถึงพ่อขุนๆ อะไรเนี่ย แต่หนูก็ไม่รู้หรอกนะป้า” อุ๊ว่า
“น่าคิดเหมือนกันนะ” ป้าสายว่า
“แกนี่บ้าละครจนเพี้ยนยิ่งกว่านังข้าวฟ่างละ ทำกับข้าวต่อเถอะไป๊ ยายสาย” ลุงแช่มตัดบท ทำให้การสนทนายุติลง
…..
สาวิตรกลับขึ้นไปที่ห้องพระ เขานั่งลงและหยิบดาบขึ้นพิจารณา นึกถึงภาพที่เห็น ดาบนี้ช่างมีอานุภาพมากนัก และราวกับมีวิญญาณเสียจริงๆ เวลาอยู่ในการสู้รบ
เขาพลิกดาบและนึกถึงภาพมิ่งที่สามารถกำหนดจิตให้ดาบปรากฏหรือหายไปก็ได้ แล้วก็ลองกำหนดนึกแบบนั้นดูบ้าง
ไม่ได้ผล ดาบนั้นยังคงอยู่ที่เดิม…ทำไมละหนอ เขาเคยทำได้นี่นา ในภพของมิ่ง สาวิตรถอดดาบออกจากฝักแล้วเพ่งพินิจและลูบไล้ตัวอักษรที่สลักอยู่บนดาบนั้น..ยังไงกัน นี่เพิ่งตื่นแท้ๆ ดันรู้สึกหนังตาหนักขึ้นมาอีกแล้ว พอชักรู้สึกไม่ไหว สาวิตรก็เอนกายพิงผนังกำแพงและหลับตาลง เพียงไม่นาน ภาพของท่านคุรุเฒ่าก็ปรากฏ
สาวิตรรู้สึกปิติยินดีล้นเหลือที่ได้พบผู้มีพระคุณที่จากกันมาเนิ่นนาน เขาก้มลงกราบท่าน
“เจ้าทำไม่ได้อย่างเดิมใช่ฤาไม่” ท่านว่า
“ครับ” สาวิตรตอบ
ท่านยิ้ม “นั่นมันเป็นเพราะภพนี้เจ้ามิได้ฝึกจิตมาดีเหมือนภพที่แล้ว ครานี้ มันถึงเพลาแล้ว ทุกค่ำคืน ขอให้เจ้าสวดมนต์แลเข้าสมาธิ มันสำคัญกับเจ้ามาก จงอย่าเกียจคร้าน เพราะใกล้เพลาที่เจ้าจักต้องเปิดประตูมิติแล้ว”
“อักขระบนดาบนั่น คือพระคาถาหรือกุญแจที่จะไขประตูมิติสู่ยุคสุโขทัย ซึ่งเจ้าจักต้องกลับไป ขอให้เจ้าเริ่มปฏิบัติตั้งแต่คืนนี้ เพื่อถอดรหัสออกมาให้จงได้” ท่านยังพูดต่อ
ยาก ยากจัง ยากเหลือเกิน สาวิตรรู้สึก
“ยากอย่างไรเจ้าก็ต้องทำ แลการปฏิบัตินั้นเป็นสิ่งที่เจ้าเคยทำได้มาแล้ว ข้านี้มิได้มีสิทธิบอกเจ้าไปได้ทุกเรื่อง เจ้าเองต้องใช้สติปัญญาแลต้องฝึกฝนกำลังจิตตนขึ้นมา เพราะทั้งหมดทั้งมวล มันเป็นเรื่อง เป็นหน้าที่ของเจ้าโดยแท้” ท่านพูดอย่างหยั่งรู้ลงไปในความรู้สึกของสาวิตร
“ครับ” สาวิตรตอบได้เพียงเท่านี้ ก่อนที่จะลืมตาขึ้นอีกครั้งในยามสายของวันนั้น
…..
เมื่อยามค่ำคืนมาถึง สาวิตรก็เข้าห้องพระและสวดมนต์ ทำสมาธิตามที่ได้รับปากท่านคุรุเฒ่าไว้ ตอนแรกก็รู้สึกยากที่จะทำความสงบได้ เพราะใจนั้นอยากอ่านอักขระให้ออก จิตจึงไม่สามารถรวมตัวได้ จนเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง สาวิตรพยายามสลัดความคิด ความอยากทั้งหมดทิ้งและจดจ่อกับคำบริกรรมให้มากขึ้น ในที่สุดจิตก็ดิ่งลึกลงเรื่อยๆ..
ภาพของดาบที่อยู่เบื้องหน้าขณะหลับตา ปรากฏขึ้นในสมาธิโดยที่มิได้ลืมตาดู รวมถึงตัวอักขระ ก็มองเห็นได้ชัดเจน แล้วจิตรู้ก็บอกขึ้นมาเองว่าอักขระนั้นอ่านออกเสียงได้ว่า
“พุทธัง บังเกิด เปิดโลก”
สาวิตรรู้สึกดีใจจนจิตตกจากสมาธิ และรู้สึกอัศจรรย์ใจที่ตนเองสามารถทำได้สำเร็จ
“เรารู้แล้ว รู้แล้ว” เขาคิดอย่างลิงโลด
“มันมิใช่เพียงนั้นดอก” เสียงท่านคุรุเฒ่าดังขึ้นในห้วงสำนึก ทำให้ความยินดีของสาวิตรต้องหยุดชะงักลง
“อักขระนั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ยังมีอักขระอีกมากที่มิได้จารึกแลมิสามารถจารึกลงบนดาบนี้ เจ้าจักรู้ได้อย่างเดียวก็โดยการปฏิบัติทางจิตนี้แล มันเป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้มีสิทธิในดาบ ข้าขออธิบายด้วยภาษาในยุคของเจ้าแบบนี้ ขอให้เจ้าตั้งใจปฏิบัติต่อไปเถิด แล้วเจ้าจักสามารถรับรู้ได้ถึงพระคาถาทั้งหมด”
สาวิตรรู้สึกท้อใจขึ้นมาฉับพลัน ที่ดูเหมือนงานนี้จะยังไม่สำเร็จ แต่ก็คิดว่า ในเมื่อคืนนี้ ยังสามารถทำได้ คืนต่อไป ก็คงไม่ยากจนเกินไปนัก
เวลาผ่านไปหลายคืน สาวิตรสวดมนต์ทำสมาธิอย่างต่อเนื่อง เมื่อจิตสงบนิ่งดี เขาก็ได้เห็นนิมิตตัวหนังสือสีทอง วิ่งอยู่บนท้องฟ้า คืนละเล็กละน้อย เขาจำได้แม่นยำและจดเอาไว้เมื่อออกจากสมาธิ จนได้พระคาถาทั้งหมดครบถ้วน
พุทธังบังเกิดเปิดโลก โลกะวิทู นะมะพะทะ พุทโธ ธัมโม สังโฆ โลกะทีปัง อากาสะกสิณัง วิโสทะยิ อิกะวิติ พุทธะสังมิ โลกะวิทู
อิติอรหัง ทิพจักขุง อุททะปาทิยานัง พุทธะนิมิตตัง อุปปันนังโหติ
อิติอรหัง ทิพจักขุง อุททะปาทิยานัง ธัมมะนิมิตตัง อุปปันนังโหติ
อิติอรหัง ทิพจักขุง อุททะปาทิยานัง สังฆะนิมิตตัง อุปปันนังโหติ
อิติอรหัง ทิพจักขุง วิโสทะยิ
พุทธังบังเกิดเปิดโลก ธัมมังบังเกิดเปิดโลก สังฆังบังเกิดเปิดโลก เปิดโลกด้วยนะโมพุทธายะ
“ดีมาก เจ้าจงท่องจำให้ขึ้นใจทุกตัวอักขระ เจ้าได้กุญแจดอกนั้นแล้ว” นั่นเป็นเสียงของท่านคุรุเฒ่าที่เขาได้ยินในคืนที่รู้ว่าสามารถถอดพระคาถาทั้งหมดออกมาได้…
26 ก.ย.66
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น