บทที่ 23 เราต้องไปบางยางก่อน

บทที่ 23

วันเดินทางเพื่อการศึกษาเรื่องประตูมิติของศาสตราจารย์วิรุฬห์ใกล้มาถึง ระหว่างนี้ เขาก็จัดการนัดพบทีมงานทั้งสามคนกับสาวิตรบ่อยครั้ง ส่วนหนึ่งเพื่อประชุมปรึกษาหารือกัน อีกส่วนนั้นเพื่อการสร้างความสนิทสนมระหว่างเตชิน ฤทธีและเรืองชัยกับสาวิตรให้มากขึ้น โดยเฉพาะบ้านของพี่สาวกับพี่เขยนั้นก็เปิดประตูต้อนรับเขาและทีมงานอยู่ตลอดเวลา ศาสตราจารย์วิรุฬห์จึงพาคณะแวะมาอยู่สม่ำเสมอ มีบางครั้งที่ชวนกันไปคุยนอกสถานที่พร้อมกับลิ้มลองอาหารรสชาติแปลกๆ ใหม่ๆ ร่วมกันอยู่บ้าง

จากความสนิทสนมที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้สาวิตรรู้ว่าเพื่อนซึ่งเป็นทั้งเพื่อนใหม่และเพื่อนเก่าของเขาทั้งสามคนอยู่ในฐานะที่จะมาทำงานของศาสตราจารย์วิรุฬห์ได้โดยไม่ต้องพะวงเรื่องการทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างน้อยๆ ก็ในขณะนี้ เตชินนั้น บิดาและมารดาเสียชีวิตหมดแล้ว เขาและพี่น้องได้รับส่วนแบ่งมรดกเป็นที่ดินและตึกแถว บ้านเช่า แยกกันไปเรียบร้อย ก็ได้ค่าเช่านี้แหละ เป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน

ส่วนฤทธีและเรืองชัย เป็นหนุ่มเชื้อสายจีน ที่บ้านมีธุรกิจโรงงานประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีพ่อแม่และพี่ๆ ดูแลอยู่ ทั้งสองคนขอเวลามาทำงานกับศาสตราจารย์วิรุฬห์สักพักหนึ่ง แล้วค่อยไปช่วยธุรกิจครอบครัว ซึ่งทางบ้านก็ไม่ขัดข้อง

ครอบครัวของเตชิน ฤทธีและเรืองชัย มีบ้านอยู่ใกล้กัน จึงรักใคร่สนิทสนมกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ต่างคนต่างเรียนคนละมหาวิทยาลัยแต่เลือกเรียนในวิชาเดียวกัน เตชินเป็นคนแรกที่ได้พบกับศาสตราจารย์วิรุฬห์ที่มาบรรยายพิเศษในมหาวิทยาลัย ช่วงแวะกลับมาเมืองไทย ก่อนจะกลายเป็นศิษย์อาจารย์ที่สนิทกันเหมือนญาติ แล้วนำพาฤทธีและเรืองชัยเข้ามาอยู่ร่วมขบวนการด้วย

เวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน มิมีสิ่งใดยืนยงเที่ยงแท้ จากครูดาบและนักดาบฝีมือดีในกาลก่อน กลายมาเป็นนักวิทยาศาสตร์ในกาลนี้…


สาวิตรเป็นเพียงคนเดียวที่มิได้อยู่ในแวดวงเดียวกับบุคคลทั้งสี่ ศาสตราจารย์วิรุฬห์จึงมักพยายามถ่ายทอดวิชาการความรู้ให้เป็นพิเศษ กระนั้นก็ยังเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง เพราะมิได้มีพื้นฐานเหมือนคนทั้งสาม ยกเว้นแต่ความรู้บางเรื่องที่มิได้เป็นเชิงวิชาการมากนัก

“เรื่องการเปิดประตูมิตินี้ คนโบราณดูเหมือนจะมีความรู้มากกว่าเรา คนรุ่นเราซะอีกที่ห่างไกลความรู้นี้ออกไปทุกที มีหลายที่บนโลกนี้ที่เชื่อว่าเป็นประตูมิติ แต่ที่คลาสสิกมากๆ คือ Puerta de Hayu Marca ในเปรู ซึ่งแปลความหมายได้ว่า ประตูแห่งเทพเจ้า มันเป็นเหมือนช่องประตูสี่เหลี่ยมปิดทึบที่สลักลงไปในหิน มีตำนานอยู่ว่า ครั้งที่ชาวสเปนบุกเปรูเพื่อยึดครองทองคำของชาวอินคา พระรูปหนึ่งชื่อ Amaru Meru ได้ใช้ Hayu Marca นี่ล่ะ เป็นช่องทางหลบหนีผู้บุกรุก โดยเอาแผ่นทองคำที่เชื่อว่าเป็นกุญแจ เสียบเข้าตรงกลางช่องประตู แล้วก็หายวับไปเฉยๆ ไม่มีใครได้พบเจอเขาอีกเลย” ศาสตราจารย์วิรุฬห์เล่าให้สาวิตรและทีมงานทั้งสามคนฟัง

“นี่เป็นตำนานที่เล่าขานกันมา แต่ปัจจุบันเมื่อสัก 5-6 ปีมานี้ นาซ่าได้ออกมาประกาศยอมรับว่า ประตูมิติบนโลกมีจริง และตัวเองก็ได้ศึกษามาระยะหนึ่งแล้ว แต่เดิมน่ะ ประตูมิติที่นาซ่าค้นพบอยู่ห่างจากโลกเป็นหมื่นกิโลเมตรเลย คนที่เริ่มไขความลับของประตูมิติบนโลกนี้ ชื่อว่า Jack Scudder เป็นอาจารย์ทางฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยไอโอวา และได้รับทุนจากนาซ่า เขาบอกว่า ประตูมิติจะอยู่ตรงจุดที่สนามแม่เหล็กของโลกเชื่อมต่อกับสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ แต่ประตูมิตินี้ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจะเปิดหรือปิดเมื่อใด กระนั้นก็พบว่าบริเวณนั้นน่ะ เป็นจุดที่มีการแพร่กระจายของอิเลคตรอน เรียกว่าเป็นจุด X-points ทำให้นาซ่าเริ่มสังเกตและศึกษาประตูมิติจากจุดๆ นี้แหละ ดังนั้นสรุปว่าตอนนี้ เรื่องประตูมิติบนโลกยังอยู่ในขั้นต้นของการศึกษา ส่วนการเปิดประตูให้ได้น่ะ คงยังอีกไกล เครื่องมือของอาก็ทำขึ้นเพื่อค้นหาประตูมิตินี้แหละ แต่ถ้าโชคดี ก็อาจจะถึงขั้นเปิดมันออกก็ได้ พวกเราต้องช่วยกัน”

สาวิตรฟังจบแล้ว เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะบอกศาสตราจารย์วิรุฬห์ว่า

“คุณอาครับ ผมต้องขออภัย ที่ผ่านมา ผมมิได้เล่าให้คุณอากับเพื่อนๆ ฟัง แต่ตอนนี้ พวกเรามาเป็นทีมเดียวกันแล้ว ผมคิดว่าไม่ปิดทุกคนดีกว่า คือผมคิดว่า ผมได้รับทราบวิธีเปิดประตูมิติมาแล้ว แต่มันมิใช่ในเชิงวิทยาศาสตร์นะครับ”

ศาสตราจารย์วิรุฬห์และทีมงานทั้งสามจ้องมองสาวิตรเป็นตาเดียวกัน ศาสตราจารย์วิรุฬห์เป็นคนแรกที่พูดขึ้นว่า

“เล่ามาได้เลย มันเป็นยังไง พวกเราไม่เคยปฏิเสธมิติทางจิตอยู่แล้ว”

“ใช่ พวกเราทุกคนเป็นนักปฏิบัติธรรมด้วย ไม่ใช่เป็นนักวิทยาศาสตร์อย่างเดียว สิ่งที่ตามองไม่เห็น แต่จิตรู้ได้ เราต่างก็เคยสัมผัสกันมาทุกคน ไม่ต้องกลัวว่าเราจะว่าคุณงมงายหรอกนะวิตร” เตชินเสริม สาวิตรจึงเริ่มเรื่อง

“คือผมมีดาบโบราณเล่มหนึ่ง คุณพ่อผมซื้อเอาไว้ ผมได้รู้ว่าดาบนี้เป็นกุญแจเปิดประตูมิติ ใช้คู่กับกับคาถาชุดหนึ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านให้ท่องให้ขึ้นใจ..”

“ทำนองเดียวกับการเปิดประตูมิติ Hayu Marca ที่เปรูเลยสิ มีของศักดิ์สิทธิ์เป็นกุญแจเปิด” ศาสตราจารย์เอ่ย “แล้วครูบาอาจารย์ท่านนั้นเป็นใครหรือ”

“เท่าที่ทราบในความฝัน ใครๆ เรียกท่านว่าท่านคุรุเฒ่าครับ แต่ผมยังไม่รู้นะครับ ว่าประตูมิติอยู่ที่ไหนแล้วจะเปิดได้อย่างไร ท่านมิได้บอกให้ทราบ ผมรู้แต่ว่าดาบกับพระคาถาเป็นกุญแจเปิดประตูเท่านั้น”

ทุกคนมิได้แปลกใจในสิ่งที่สาวิตรกล่าว เพราะต่างก็เคยสัมผัสผู้คนและสิ่งต่างๆ ที่คนส่วนใหญ่ไม่อาจเข้าใจได้กันมาบ้างแล้ว

“นั่นไง อาถึงว่า วิตรมีความเหมาะสมกับโครงการของอา นับว่าเซนส์ของอาไม่พลาด เรื่องที่วิตรไม่รู้นั่น ไม่เป็นไร เดี๋ยวพวกเราระดมสมองช่วยกัน คงมีทางแน่ ขอให้ไปถึงสถานที่เสียก่อน

“ถ้าพวกเราผ่านเข้าประตูมิติได้นี่ จะเป็นความสำเร็จที่โลกตะลึงเลย” ฤทธีเสริมขึ้น

“ถ้าอย่างนั้น เราก็อย่าช้ากันเลย เอาเป็นว่า พวกเรารีบแพ็คของไปสุโขทัยกันเลยดีไหมครับอาจารย์ ผมอยากไปเต็มทีแล้ว” เรืองชัยกล่าวขึ้นบ้าง

“ดี” ศาสตราจารย์กล่าวขึ้น “ถ้างั้นไปเตรียมตัวกันได้แล้ว วันจันทร์เช้าทุกคนมาหาผมที่บ้าน แล้วเราค่อยไปรับวิตรกัน วิตร วันจันทร์นี้พร้อมเดินทางนะ”

“ครับ” สาวิตรตอบเพียงนั้น เพราะรู้ว่า เวลาอันสำคัญของชีวิตเขากำลังจะมาถึงแล้ว

…….

มิ่งกำลังนั่งพักอยู่ที่แคร่ใกล้เรือน เมื่อทิมซึ่งเดินมากับเพ็ง ร้องเรียกเสียงดัง

“พี่มิ่ง ดูสิว่าใครมาหาพี่”

สองพี่น้องซึ่งเดินเคียงกัน เบี่ยงตัวออก ทำให้ชายหนุ่มมองเห็นผู้ที่เดินตามหลังมาชัดเจน

“พี่เดช” มิ่งอุทานอย่างดีใจ ก่อนที่เดชจะเดินตรงมานั่งลงบนแคร่ข้างๆ มิ่ง

“พี่มีธุระอันใดฤา แม่เพ็ง เจ้าช่วยหาน้ำหาท่าให้พี่เดชได้ฤาไม่” มิ่งว่า

“มิต้องดอก เมื่อครู่ข้าไปไหว้พ่อครูอินมา น้าพุ่มให้บ่าวหาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว” เดชว่า

“แล้วที่พี่มาหาข้า..”

“ข้าจักกลับบ้านไปหาแม่แลย่า รวมถึงพ่อครูพัน จักไปเจรจาเพื่อขอเลิกข้อผูกพันที่ผู้ใหญ่ทำไว้ ระหว่างข้ากับแม่ปราง เพื่อนางจักมิต้องทุกข์ร้อนอีก ที่ข้ามานี่ ก็เพื่อพาเจ้าไปด้วยข้า เจ้าสะดวกฤาไม่”

หัวใจมิ่งพองโตคับอกด้วยความปิติสุขอย่างฉับพลัน เมื่อได้ยินสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินจากปากของเดช ศัตรูหัวใจโดยตลอดมา ต่อแต่นี้ มันคงจบสิ้นแล้ว ความทุกข์ที่ท่วมทับใจเขาและปรางมาตลอด จบสิ้นแล้ว อุปสรรคที่คิดว่าชาตินี้คงไม่มีวันคลี่คลาย เส้นทางของเขาและปรางมีหนทางที่จะบรรจบกันเป็นเส้นเดียวได้แล้ว

ขอบคุณ ขอบคุณเหลือเกิน พี่เดช ชายผู้มีน้ำใจอันประเสริฐมิมีผู้ใดเหมือน..

“สะดวกขอรับ ข้า ข้าขอบพระคุณพี่เดชเป็นที่ยิ่ง”

มิ่งพนมมือไหว้เดชด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ แต่เดชรีบจับมือของมิ่งไว้เสียก่อน

“มิต้องไหว้ข้าดอก ข้าเพียงทำสิ่งที่ควรทำ เพราะมิอยากสร้างกรรมทำร้ายจิตใจผู้ใดให้เนิ่นนานออกไปเท่านั้น แลข้าต้องขอขมาเจ้าด้วย ที่เคยทำร้ายร่างกายเจ้าในครั้งก่อนนั้น” เดชว่า

“มิเป็นไรดอกพี่ ข้ามิได้นึกถึงมัน แลมิเคยเคืองพี่เลย” มิ่งตอบ

ทิมกับเพ็งมองภาพของชายทั้งสองด้วยความรู้สึกพลอยยินดีที่ต่างคนมีน้ำใจดีๆ ให้กัน เพ็งพูดขึ้นว่า

“พี่ทั้งสองอิ่มอกอิ่มใจกันแล้ว ไปหาเรื่องอิ่มท้องกันเถิด เพลานี้ข้าหิวแล้ว เชิญพี่เดชกับพี่มิ่ง ไปกินข้าวแล้วคุยกันให้หายคิดถึงดีกว่า”

“ดีเลย รีบไปกันเถิด ป่านนี้แม่ตั้งสำรับคอยแล้ว” ทิมกล่าวขึ้นบ้าง

เดชหันมากล่าวกับมิ่ง

“คืนนี้ข้าขอค้างกับเจ้าสักคืน แล้วรุ่งเช้า เราค่อยออกเดินทางไปบ้านพ่อครูพันกันนะ”

“ได้ขอรับ” มิ่งตอบ


ดึกมากแล้ว..เสียงกรนเบาๆ ของเดชที่นอนอยู่ใกล้ๆ บอกว่าเขาคงหลับสนิทไปแล้ว แต่มิ่งกลับนอนไม่หลับ ตาลืมโพลงอยู่ในความมืด ด้วยความปิติที่ท่วมท้นในใจ ในชีวิตนี้ ชายหนุ่มไม่เคยคิดเลยว่า ความสมหวังในรักจะเกิดขึ้นได้ อีกไม่นานแล้วสินะ เขาจะได้พบกับปราง นางก็คงไม่คาดฝันเช่นกัน ว่าเดชจะเป็นผู้ปลดพันธะที่ผูกพันกันมาด้วยตัวเอง ครานี้ก็เหลือแต่เพียงผู้ใหญ่ คือแม่ ย่าของเดช และพ่อครูพันเท่านั้น แต่ก็คงไม่ยากจนเกินไปแล้ว แสงแห่งความหวังทอประกายเจิดจ้ายามนี้

แม่ปราง…มิ่งหยิบสไบผืนน้อยที่ปรางมอบให้ขึ้นดอมดมในความมืดด้วยความคิดถึงอันท่วมท้น…

ต่อไปนี้เราคงไม่มีอุปสรรคอันใดอีกแล้วนะ..


…..

รถตู้เลี้ยวเข้ามาในบ้านสาวิตรตอนเช้ามืดวันจันทร์ตามนัดหมาย ศาสตราจารย์วิรุฬห์และคณะนั่นเอง สาวิตรแพ็คกระเป๋าพร้อมแล้วตั้งแต่เมื่อวาน ตอนนี้ก็เหลือเพียงขึ้นไปหยิบดาบในห้องพระข้างบนเท่านั้น

เขาเดินขึ้นไปบนห้องพระ ก่อนที่จะนำดาบใส่ลงไปในถุงผ้ากำมะหยี่สีแดงที่ตัดขึ้นเป็นพิเศษ สาวิตรเพ่งพินิจอาวุธเล่มงามนั้น อาวุธที่เป็นกุญแจเปิดประตูมิติ เขายังไม่รู้เลยว่า จะเปิดประตูสำเร็จไหม และถ้าเปิดได้แล้ว มันจะเป็นอย่างไร เขาจะต้องพบกับมิ่ง ซึ่งเป็นอดีตของตัวเอง ต้องพบกับปราง ผู้เป็นยอดดวงใจ แล้วคราวนี้จะต้องทำตัวทำใจอย่างไรกัน…

ช่างมันเถอะ…สาวิตรสลัดความคิดเหล่านั้นทิ้ง ถึงอย่างไรก็ต้องไป ไหนๆ ชะตาชีวิตก็พัดพามาจนถึงจุดนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้แล้ว คำตอบและทางออกคงจะได้พบเจอเองในที่สุดกระมัง

รถตู้ของศาสตราจารย์วิรุฬห์ มีผู้ร่วมเดินทาง 5 ชีวิต คือทีมงานทั้งหมดซึ่งรวมสาวิตรด้วย โดยมีเตชิน ฤทธีและเรืองชัยผลัดกันเป็นคนขับตามที่ตกลงกัน ที่นั่งด้านหลังซึ่งว่างอยู่หลายที่ จึงเป็นที่วางสัมภาระของทุกคนรวมถึงเครื่องตรวจหาประตูมิติของศาสตราจารย์วิรุฬห์ด้วย ยกเว้นดาบของสาวิตรที่เขาขอวางไว้ข้างหน้ารถเพราะถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ แต่ก่อนที่จะนำไปวาง ทุกคนก็ได้ชมความงามของดาบเล่มนี้โดยทั่วกัน

เช้ามืดวันนี้ ยุพเยาว์ตื่นขึ้นมาทำข้าวต้มปลาให้ทุกคนได้อิ่มท้องกันก่อนออกเดินทาง พสิฐและนาถนพินรวมถึงคนในบ้านมายืนคอยส่งกันสาวิตรและคณะเดินทางกันอย่างพร้อมหน้า เตชิน พี่ชายใจดีที่สาวิตรแอบเรียกอยู่ในใจ ทำหน้าที่ขับรถคนแรก ทำไมจะไม่ใจดีเล่า สาวิตรคิด ในเมื่อเสียสละได้ทั้งความโกรธและของรักให้มิ่งอย่างยากจะหาใครทำได้ นิสัยนี้จะติดตัวมาถึงภพนี้ไหมนะ สาวิตรเคยคิด เพราะยังไม่สนิทกันมากนักในขณะนี้

พอรถตู้ออกจากบ้านได้ไม่นาน สาวิตรเกิดอาการหนังตาหนักขึ้นมาทันที จนต้องบอกศาสตราจารย์วิรุฬห์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ว่า

“ผมของีบสักพักนะครับคุณอา ขอโทษด้วยที่ตอนนี้คงมิได้คุยกับทุกคน” แล้วก็กดปุ่มให้ที่นั่งเอนลงพร้อมกับหลับตานิ่ง

“ตามสบายเลยวิตร” ศาสตราจารย์ว่า แต่เรืองชัยซึ่งนั่งด้านหน้าคู่กับเตชินหันมามองนิดหนึ่งแล้วกล่าวว่า

“ข้าวต้มอาเยาว์นี่นอกจากอร่อยแล้วยังออกฤทธิ์เร็วอีกด้วยแฮะ คุณวิตรม่อยเป็นคนแรกแล้ว ชิน เพื่อนอย่าเพิ่งตามไปนะโว้ย ถ้าจะตามไป รีบสะกิดบอกกันก่อนเลย”

“ไม่หรอก” เตชินตอบ “ผมว่าคุณวิตรไม่ได้หลับเพราะง่วงนอนนะ เขาคงได้รับสื่ออะไรสักอย่างมากกว่า อาจจะเกี่ยวกับการเดินทางของเราหรือสิ่งที่เขาต้องทำก็ได้”

เตชินพูดถูก ยามนี้สาวิตรกำลังล่องลอยกลับไปสู่โลกของมิ่งอีกครั้งหนึ่งแล้ว…

….

เวลาเดินทางของมิ่งมาถึง เขาขี่ม้าเคียงคู่กับเดชไปยังบ้านพ่อครูพันแต่เช้าด้วยหัวใจที่แช่มชื่น แม้ร่างกายจะอิดโรยอยู่บ้างเพราะหลับได้น้อยเมื่อคืนที่ผ่านมา

เมื่อขี่ม้ามาได้สักครู่ ทั้งสองคนก็หยุดพัก มิ่งเอนกายพิงต้นไม้แล้วหลับตางีบไปพักหนึ่ง ขณะที่เดชวักน้ำล้างหน้าล้างตาเพื่อคลายความร้อน แต่เสียงดังเอะอะของคน 4-5 คน ปลุกให้มิ่งต้องรีบลืมตาขึ้นอย่างฉับพลัน

ไอ้ผัน คนหมู่บ้านเดียวกับพ่อครูพันและลูกเด็กเล็กแดงกับคนในครอบครัวเขานั่นเอง ดูเหมือนจะรีบร้อนไปไหนสักที่

“พี่เดช พี่มิ่ง เร็วเข้าเถิด ไอ้ขอมมันยกพวกบุกบ้านพ่อครูพัน ตอนนี้รบกันหนัก พวกพี่รีบไปช่วยพ่อครูเถิด ที่ข้าต้องหนีมานี่ เพราะบ้านข้าเด็กเยอะ ยังไงก็สู้มันไม่ไหว แต่พวกพี่รีบไปเลย”

เดชมีสีหน้าตกใจสุดขีด เช่นเดียวกับมิ่ง

“มันเป็นไปได้อย่างไร ไอ้ผัน บ้านพ่อครูพันเป็นที่ปลอดภัยแล้วหนา” เดชว่า

“ข้าก็มิรู้ดอกพี่ แต่พี่อย่าช้าเลย รีบไปเถิด”

เดชหันมามองหน้ามิ่ง แล้วทั้งสองคนต่างก็รีบโดดขึ้นม้าแล้วควบออกไปโดยไม่มีคำพูดใดๆ ต่อกัน ระยะทางจากจุดนั้นถึงบ้านพ่อครูพันมิได้ไกลมากนัก แต่มิ่งรู้สึกว่ามันช่างยาวไกลเหลือเกิน…หัวใจเขาเร่าร้อนด้วยความเป็นห่วงนางผู้เป็นที่รัก แม้จะรู้ดีว่าฝีมือการต่อสู้ของนางนั้นมิได้เป็นรองผู้ใดเลย

แม่ปราง…ยามนี้หัวใจมิ่งแทบจะเต้นเป็นชื่อของนาง อย่าเป็นอะไรไปนะ อย่าเป็นอะไรเลย ข้ากำลังไปหาท่านแล้ว

เมื่อใกล้ถึงบ้านพ่อครู เสียงเอะอะโวยวายของผู้คน เสียงกระทบกันของดาบได้ยินชัดเจน เดชรีบลงจากหลังม้าแล้ววิ่งเข้าไปในทันที แต่มิ่งยังหยุดอยู่ เขาพยายามกำหนดจิตเรียกดาบศักดิ์สิทธิ์เช่นที่เคยทำมา

หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…ทำไมดาบไม่ปรากฏขึ้นมาเลย หรือยามนี้จิตเขาไม่นิ่งพอ แต่เวลาไม่มีเสียแล้ว มิ่งชักดาบสองมือที่เหน็บหลังเอาไว้ออกมา ถึงจะยังใช้ได้ไม่ดีเท่าดาบคู่เดิมที่ให้ทิมไป แต่อย่างน้อยๆ เขาก็มีวิชาดาบที่ต่อสู้ศัตรูได้นี่นะ

มิ่งรีบวิ่งเข้าไปยังกลุ่มคนที่กำลังตะลุมบอนกันอยู่ เขาพยายามมองหาปรางว่านางอยู่ตรงไหน แล้วภาพที่เห็นก็คือ..นางกำลังประดาบกับชายฉกรรจ์ที่มารุมล้อมถึง 4 คน นางต่อสู้เต็มที่ แต่ดูเหมือนใกล้จะเพลี่ยงพล้ำและคงอ่อนล้าเต็มทีแล้ว..

“ไอ้ระยำ” มิ่งสบถออกมาอย่างโกรธจัด แล้วกระโดดเข้าฟาดฟันชายทั้งสี่นั้นอย่างสุดกำลัง จนพวกมันแตกกระจายกันออกไป ปรางถูกศิษย์พ่อครูคนหนึ่งคุ้มกันออกไปแล้ว แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

ดาบเล่มหนึ่งจากมือของเหล่าร้ายที่ลอบมาด้านหลังเสียบเข้าที่หลังของมิ่งอย่างเต็มแรง ความเจ็บปวดรวดร้าวแผ่ซ่านทั่วกาย พร้อมกับเลือดอุ่นๆ ที่หลั่งไหลออกมาจนเขารู้สึกได้ พอดีกับที่เดชและเจ้าคงถลันเข้ามาและปลิดชีพเจ้าขอมวายร้ายนั้น

“พี่มิ่ง” ปรางกรีดร้องอย่างสุดเสียง ร่างเล็กๆ ที่ใบหน้าและร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อและเลือด ผมเผ้าหลุดลุ่ย รีบวิ่งเข้ามารับร่างที่ซวนเซของเขาโดยพลัน และนั่นเป็นภาพและเสียงสุดท้ายที่มิ่งได้รับรู้..

แม่ปราง ข้าได้ใช้ชีวิตของข้าตอบแทนท่านแล้ว…


สาวิตรรู้สึกตื่นตะลึงกับภาพที่ได้เห็น แต่ตาก็ยังลืมไม่ขึ้น ภาพของมิ่งกับปรางค่อยๆ เลือนหายไป…ภาพของพ่อขุนบางกลางหาว “พระองค์ท่าน” ที่เขาคุ้นเคยปรากฏชัดขึ้นมาแทนที่

“เพลาของเจ้าเหลือน้อยมากแล้วหนา สาวิตร ยามนี้เจ้าคงพอรู้แล้วว่า ด้วยเหตุอันใด เจ้าจึงต้องกลับไป จงรีบเร่งเข้าเถิด ประตูทางเข้าของเจ้าอยู่ที่บางยาง จงใช้สติปัญญาแลเครื่องมือของพวกเจ้า ช่วยกันค้นหาเถิด เจ้ามีเพลาเพียงภายในวันนี้เท่านั้น หากช้าไปกว่านี้จักไม่ทันการณ์ ช่วยเจ้ามิ่งไม่ได้ แลช่วยข้า ช่วยเผ่าไทของเรามิได้เช่นกัน บอกพวกของเจ้าให้ไปบางยางกันก่อน”

“แต่เราเตรียมไปสุโขทัยกันนะครับ”

“ข้าจักรวมพลที่บางยางก่อน ก่อนไปตีสุโขทัย เจ้ามิ่งก็ยังอยู่ในเมืองของข้า พูดเพียงนี้ เจ้าคงเข้าใจนะ”

ภาพของพระองค์ท่านเลือนหายไปแล้ว ชายหนุ่มยังคงตกใจและลืมตาขึ้นมา หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ เมื่อหันไปมองข้างตัวก็พบว่าศาสตราจารย์วิรุฬห์ไม่อยู่เสียแล้ว มีเพียงเตชินที่ยังคงนั่งอยู่ที่คนขับ

“คุณวิตรตื่นแล้วหรือ” เตชินมองสาวิตรจากกระจกมองหลังและคงมองเห็นสีหน้าไม่ค่อยดีของชายหนุ่ม จึงถามต่อว่า

“เป็นอะไรไปหรือเปล่าครับ”

“ผมเจอเรื่องน่ากลัวมากเมื่อกี้ครับ เอ แล้วตอนนี้ทุกคนไปไหนกันหมด”

“เขาลงไปกินกาแฟกันน่ะ ผมขออยู่เป็นเพื่อนคุณวิตร เลยไม่ได้ลงไปกับเขา มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ผมคงต้องคุยกับทุกคน” สาวิตรว่า “เพราะเราคงต้องเปลี่ยนเป้าหมายไปกันที่เมืองบางยางก่อนอื่นแล้ว”

“บางยางหรือ” เตชินพูดขึ้น “แล้วมันอยู่ตรงไหนกัน”


3 ต.ค.66



 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น