บทที่ 24 คืนนครบางยาง


บทที่ 24

“เมืองบางยางเป็นชื่อสมัยโบราณครับ เท่าที่ผมเคยอ่านหนังสือมา เมืองบางยางตอนนี้เป็นอำเภอนครไทยในจังหวัดพิษณุโลก” สาวิตรกล่าวกับเตชิน บ่อยครั้ง เขานึกอยากไปเยือนดินแดนแห่งนี้ ไปชมบ่อเกลือในตำบลบ่อโพธิ์ ถิ่นที่เคยพำนัก เคยหาบน้ำมาต้มทำเกลือตามวิถีคนในท้องถิ่น เวลานี้ชายหนุ่มอ่านในเว็บไซต์พบว่า ชาวบ้านแถบนั้นยังคงดำรงชีวิตด้วยการค้าเกลือตามแบบบรรพบุรุษ ด้วยน้ำจากบ่อดั้งเดิมที่ถือกันว่าเป็นบ่อศักดิ์สิทธิ์ แม้เวลาจะล่วงเลยมานานหนักหนาแล้ว

และที่สำคัญ…บ้านพ่อครูพัน ที่ซึ่งได้ใกล้ชิดพบรักกับปราง ที่แห่งความสุขคลุกเคล้าความทุกข์ แม้ว่ายามนี้ทุกสิ่งคงจะเลือนสลายไปตามกาลเวลา ไม่มีแม้แต่ซากให้ได้พบเห็นแล้วก็ตาม เพียงได้ไปเยือนจุดอันเคยเป็นที่ตั้งให้ได้รำลึกถึงความหลัง ก็คงเพียงพอแล้ว

“ผมว่า เราคงต้องคุยปรึกษากันนะครับ เราลงไปร้านกาแฟกันดีกว่า พวกเขาเพิ่งลงไปกันเมื่อกี้นี้เอง”

เตชินกล่าวชวนสาวิตรลงจากรถ แล้วเดินนำหน้าพาไปยังร้านกาแฟภายในปั๊มน้ำมันที่คณะมาจอดรถแวะพัก ศาสตราจารย์ ฤทธีและเรืองชัยยังคงนั่งอยู่ในร้าน พร้อมแก้วกาแฟตรงหน้า สาวิตรและเตชินเดินไปสั่งกาแฟที่ตนต้องการแล้วไปนั่งร่วมโต๊ะกับคนทั้งสาม

“ตะกี้พอคุณวิตรตื่นขึ้น เราคุยกันว่า คงต้องไปที่อื่นก่อนสุโขทัยน่ะครับ” เตชินเริ่มเรื่องให้

ศาสตราจารย์วิรุฬห์มีสีหน้าฉงน “ก็เราเตรียมพร้อมไปสุโขทัยกันแล้ว จะต้องไปที่ไหนก่อนอีกหรือ” เขาถามขึ้น


“นั่นสิ ทำไมมาเปลี่ยนตอนนี้” ฤทธีพูดขึ้นบ้าง

สาวิตรหยุดไปนิดหนึ่ง อย่างชั่งใจตัวเอง ว่าจะให้เหตุผลอย่างไร เพราะเรื่องของเขามันพิสดารพันลึก อย่างที่ตัวเองยังยากจะเชื่อ แล้วคนอื่นเล่า จะมีใครยอมเชื่อไหมนะ แต่ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจว่าจะพูดทั้งหมด เพราะนั่นเป็นหนทางเดียว ที่น่าจะทำให้คณะเปลี่ยนเป้าหมายไปยัง “เมืองบางยาง” ก่อนได้

“คืออย่างนี้ครับ ผมทราบเรื่องราวในอดีตของตัวเองตลอดมา ผมเป็นทหารคนหนึ่งที่พ่อขุนบางกลางหาวท่านมาตามให้กลับไปทำหน้าที่ ตัวผมเองยังไม่รู้หรอกว่า ผมจะช่วยท่านได้ยังไง แล้วทำไมท่านถึงต้องมาตามผมขนาดนี้ แต่ที่ผมเห็นเมื่อครู่ที่ผมหลับไป คือภาพของตัวผมเองในครั้งกระนั้น ถูกศัตรูฟันจนเจ็บหนัก และผมในภพนี้ต้องกลับไปทำหน้าที่แทนตัวผมในยุคนั้นครับ”

ทุกคนฟังแล้วนิ่งอึ้ง สาวิตรเล่าต่อ

“ตอนที่ผมหลับไปเมื่อตะกี้ พระองค์ท่านคือพ่อขุนบางกลางหาวมาบอกผมให้ไปเมืองบางยาง แล้วเข้าประตูมิติที่นั่นกลับไปครับ ก่อนจะไปตีเมืองสุโขทัยกับท่าน เมืองบางยางก็คืออำเภอนครไทยในพิษณุโลก แต่ผมไม่มีเวลามากนัก ต้องผ่านประตูมิติไปให้ได้ภายในวันนี้ครับ”

ทีมงานทุกคนยังคงเงียบจนสาวิตรเริ่มใจไม่ดีว่า แต่ละคนจะยินยอมเปลี่ยนแปลงจุดหมายตามที่เขาขอหรือไม่ แต่แล้วศาสตราจารย์ก็เป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบนั้น

“ลองดูก็ได้นะ เราไม่ได้รีบร้อนอะไรกันอยู่แล้ว เผื่อจะได้เริ่มศึกษากันตั้งแต่ที่นี่เลย”

“ผมว่าไปแวะดูก็ได้ ยังไง มันก็ไม่ได้ออกนอกเส้นทางมากอยู่แล้ว” เรืองชัยกล่าวขึ้นบ้าง

“เอ็งล่ะว่าไง” เรืองชัยพยักเพยิดถามฤทธี

“ไม่มีอะไรขัดข้องอยู่แล้วล่ะ” ฤทธีตอบ

“ส่วนผมก็ยินดีเหมือนกัน” เตชินกล่าว

สาวิตรเริ่มโล่งอก

“แต่ว่าเราจะเริ่มยังไง ตรงไหนล่ะ” ฤทธีกล่าวขึ้น “ไปอำเภอนครไทยน่ะ เปิดจีพีเอสเอาก็ได้ ไม่ยากหรอก แต่ประตูมิติที่ว่านั่น มันจะอยู่ตรงไหนของนครไทยล่ะ อำเภอมันก็ไม่ใช่เล็กๆ หรอกนะ ถ้ามีจีพีเอสบอกประตูมิติได้ก็คงดีหรอก”

“นั่นสิ” ศาสตราจารย์เอ่ยขึ้น ทำให้สาวิตรเริ่มหนักใจขึ้นมาไม่น้อย ในเมื่อสารที่เขาได้รับสื่อมา มันมีแค่ “เมืองบางยาง” เท่านั้น เตชินเป็นผู้หาทางออกให้ว่า

“เอางี้ ผมคิดว่า เราไปที่นั่นกันก่อนดีกว่า พอไปถึงแล้ว วิตรคงได้รับทราบเองว่า เราจะต้องไปที่ไหนกัน ตัวช่วยเราก็มีอยู่นี่ เครื่องมือไง จะได้ทดลองใช้กันเลย มันคงไม่ยากเกินไปหรอก”

ทีมงานยังคงนิ่ง

“และถ้าหากวิตรจะต้องไปจริงๆ ในพวกเรานี้ ควรมีใครสักคนที่ติดตามไปด้วย เพื่อสังเกตการณ์และเก็บข้อมูลมาสำหรับการศึกษาในครั้งนี้ ซึ่งผมจะขอไปกับวิตรเองครับ” เตชินอาสา 

“แน่ใจนะ เตชิน” ศาสตราจารย์ถามขึ้น

“ครับ มันก็มีโอกาสทั้งสำเร็จและไม่สำเร็จ แล้วมันก็เสี่ยง แต่ผมไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วในชีวิตนี้ ถ้าได้กลับคืนมา ก็จะได้นำความรู้ใหม่มาเปิดเผยกับคนบนโลก”

“งั้นก็ได้ วิตรตกลงตามนี้ไหม” ศาสตราจารย์ว่า

สาวิตรนิ่งไปครู่หนึ่ง เขากำลังคิดว่า หากเตชินจะต้องไปพบกับตัวเองในภพอดีตที่ยังมีชีวิตล่ะ อะไรจะเกิดขึ้น คงทำตัวลำบากมิใช่น้อย… แต่ความตั้งใจของเตชินนั้นแน่วแน่ จนชายหนุ่มไม่อาจปฏิเสธได้ลง

“ครับ”

“แล้วการกลับออกมาจากมิติอดีตล่ะ ถ้าคุณวิตรไปได้ จะทำยังไง” เรืองชัยถาม

“ผมก็คงใช้วิธีเดียวกับตอนเปิดเข้าไปครับ” สาวิตรว่า

“เอาล่ะ ตอนนี้พวกเรารีบไปกันดีกว่า ในเมื่อคุณวิตรมีเวลาน้อย ถ้าคุณวิตรไปได้จริงๆ ก็นับว่า โครงการของเราประสบความสำเร็จเกินคาดตั้งแต่ก้าวแรกเลย” ฤทธีกล่าว

“ถ้าอย่างนั้น ผมคงต้องโทรบอกคงกระพัน ว่าเราจะไปนครไทยกันก่อนสุโขทัย เพราะเขาเตรียมการจะเลี้ยงอาหารพวกเราเย็นนี้” 

เตชินกล่าวก่อนที่จะกดโทรศัพท์ไปหาเจ้าของรีสอร์ทที่คณะของเขาจะไปพักกันที่สุโขทัย แล้วบอกเลาการเปลี่ยนเป้าหมายอย่างปัจจุบันทันด่วนของคณะกับทางโน้น

“โอเคครับ คงกระพันรับรู้แล้ว เขาจะลงมาหาพวกเราที่นครไทยด้วย เขารู้จักที่นี่เพราะมาอยู่บ่อยครั้ง ผมว่าดีเลย จะได้มาช่วยพวกเราค้นหาประตูมิติด้วย” เตชินว่าหลังจากคุยกับปลายสายอยู่ครู่หนึ่งและวางหูโทรศัพท์แล้ว

คณะเดินทางกลับขึ้นรถกันหมดเรียบร้อย คราวนี้ฤทธีทำหน้าที่เป็นคนขับโดยใช้จีพีเอสนำทางมุ่งหน้าสู่นครไทย ศาสตราจารย์วิรุฬห์ที่นั่งข้างๆ สาวิตรดูเหมือนจะหลับไปในเวลาไม่นาน ส่วนชายหนุ่มได้แต่นั่งปล่อยให้ความคิดคะนึงล่องลอยไป…ปราง นี่เราจะได้พบกับปรางแล้วจริงๆ หรือ ความรู้สึกสุขใจแผ่ซ่านขึ้นมา ไม่อยากจะคิด ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันกำลังจะเกิดขึ้นได้จริง แต่ถ้าเขาหวนคืนไปอดีตไม่ได้หรือไม่ทันการณ์ล่ะ ความฝันของเขาคงสลาย เช่นเดียวการกู้แผ่นดิน ขับไล่ขอมของพระองค์ท่านอาจพลิกผันไปเป็นอื่นก็เป็นได้

คิดแล้วก็เริ่มรู้สึกถึงภาระหน้าที่อันหนักหน่วงขึ้นมาทันที ชายหนุ่มจึงตั้งจิตอธิษฐานขอให้การครั้งนี้สำเร็จลุล่วงด้วยเถิด ถึงจะเสี่ยงแค่ไหนอย่างไร เขาก็ยอม แต่แล้วขณะนั้นความรู้สึกทั้งมวลกลับดับวูบลง ภาพของท่านคุรุเฒ่าปรากฏขึ้น สาวิตรยกมือไหว้ทำความเคารพเช่นที่เคยทำมา

“ประตูมิติที่เจ้าจักใช้เป็นทางผ่าน อยู่ในที่ที่ผู้คนกระทำการรำลึกถึงพ่อขุนบางกลางหาว ขอให้สังเกตเครื่องหมายตรีศูลในสถานที่แห่งนั้นให้ดี ตรงยอดของตรีศูลนั่นแลเป็นช่องกุญแจประตูมิติ ข้าพูดเพียงนี้เจ้าคงพอเข้าใจ เพราะวิธีไขประตู ข้าก็ได้ถ่ายทอดให้เจ้าสิ้นแล้ว เจัายังจำพระคาถาทั้งหมดได้ฤาไม่”

“ได้ครับ” สาวิตรตอบ “ผมท่องอยู่ทุกคืนจนขึ้นใจ”

“ดีแล้ว ที่เจ้าจำได้ไม่ลืม” ท่านคุรุเฒ่ากล่าว “แต่เวลาของเจ้า มีเพียงวันนี้เท่านั้น ก่อนที่ชีวิตของเจ้ามิ่งจะดับสูญ ขอให้รีบเร่งเข้าเถิดนะ”

สาวิตรรับคำท่านแล้วสะดุ้งรู้สึกตัวขึ้นมา เส้นตายในการผ่านประตูมิติของเขามันมีน้อยจนน่าหวาดหวั่นเหลือเกิน…ถ้าเขากลับไปไม่ได้ล่ะ?

“คุณอาครับ” สาวิตรรีบปลุกศาสตราจารย์ที่นั่งหลับอยู่ข้างๆ ฝ่ายหลังปรือตาขึ้นมา

“ผมได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประตูมิติแล้วครับ พวกเราแวะคุยกันสักนิดดีกว่า”

ศาสตราจารย์จึงบอกให้ฤทธีหาที่หยุดรถอีกครั้ง ชายหนุ่มรับคำแล้วเลี้ยวรถเข้าไปในปั๊มน้ำมันริมทางแห่งหนึ่ง เมื่อหาที่นั่งในร้านกาแฟได้เรียบร้อย สาวิตรก็เริ่มเรื่องทันที

“ตะกี้ผมได้ข้อมูลเพิ่มเติมแล้วครับ ท่านมาบอกว่าประตูมิติอยู่ตรงที่ที่ผู้คนทำการรำลึกถึงพ่อขุนบางกลางหาว ตรงนั้นให้สังเกตเครื่องหมายตรีศูล ตรงยอดของตรีศูลจะเป็นช่องกุญแจไขสู่ประตูมิติ”

พูดจบชายหนุ่มก็กวาดตามองผู้นั่งร่วมโต๊ะทุกคน สีหน้าของเพื่อนร่วมทีมช่างว่างเปล่าจนเขารู้สึกวิตก 

“แบบนี้มันก็ยากมากสิ เรามีเวลาไม่กี่ชั่วโมงเองจะหาเจอเหรอ อำเภอนครไทยก็ไม่ใช่เล็กๆ ด้วย แถมเราก็ไม่เคยมากัน น่าจะให้เวลาสักวันสองวันนะ” ฤทธีพูดขึ้น

“นั่นสิ” เรืองชัยว่า “แล้วข้อมูลที่คุณวิตรได้มามันก็เป็นปริศนาซะเหลือเกิน มันจะไปหาเจอที่ไหนกัน”

“แต่ผมว่าผมเข้าใจนะ” เตชินกล่าวขึ้นบ้าง “งานใหญ่แบบนี้ มันก็ต้องใช้สติปัญญามากหน่อย จะให้รู้ง่ายๆ มันก็คงไม่ได้ใช้ปฏิภาณไหวพริบอะไรเลย พวกเราต้องลองช่วยกันดู อย่าเพิ่งท้อ สำหรับเรามันเป็นการศึกษา จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ไม่ซีเรียส แต่ว่ามันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคุณวิตรมากๆ เพราะฉะนั้นพวกเราต้องช่วยกันให้เต็มที่ เพราะเราคือทีมเดียวกัน”

“คือพวกเราอาจจะสงสัย ว่าสิ่งที่คุณวิตรบอกมันจะเป็นไปได้หรือ เตชินพูดต่อ “แต่ถ้าคุณวิตรผ่านมิติไปได้พร้อมกับผม มันก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์คำพูดของเขาด้วย เราค่อยว่ากันใหม่ตอนนั้นแล้วกัน”

ขอบคุณมาก…พี่ชายที่แสนดี สาวิตรคิด เขาพอจะสัมผัสได้อยู่ว่าทุกคนยังไม่เชื่อสนิทใจในสิ่งที่เขาบอกกล่าว เพราะฉะนั้นมันอาจจะยากที่จะให้ทุกคนมาร่วมมือกันช่วยเขาทำเรื่องยากๆ แบบนี้

“งั้นตอนนี้เราก็ต้องมาช่วยกันคิด” ศาสตราจารย์พูดขึ้นหลังจากนั่งฟังทีมงาน “อย่างแรกนั้น สถานที่ที่คนมารำลึกถึงพ่อขุนบางกลางหาวมันควรจะเป็นที่ไหน”

ทุกคนนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วเรืองชัยก็โพล่งขึ้นว่า

“มันน่าจะเป็นอนุสาวรีย์ของท่านสิ ถ้าอย่างนั้น ที่ที่ทุกคนมารำลึกถึงท่าน”

“เออ วันนี้เอ็งฉลาดว่ะ” ฤทธีพูดขึ้น

“วันอื่นข้าเคยโง่งั้นสิ” เรืองชัยตอบกลับผู้เป็นพี่ชาย และทำท่าจะพูดต่ออีก จนศาสตราจารย์ต้องห้ามทัพ

“เอ้า อย่าเพิ่งต่อล้อต่อเถียงกัน สองคนนี่ ตอนนี้คุยงานกันให้จบก่อน เตชินกับวิตรว่าไง เห็นด้วยกับเรืองชัยไหม”

เตชินเป็นคนแรกที่ตอบ “ถ้าคำใบ้มาแบบนี้ ผมก็ว่าน่าจะเป็นอนุสาวรีย์นะครับ”

“ผมก็คิดไม่ออก เราลองไปหาที่อนุสาวรีย์ของท่านก่อนก็ดีนะครับ” สาวิตรว่า

“แล้วที่นครไทยมีอนุสาวรีย์พ่อขุนบางกลางหาวรึเปล่า” ศาสตราจารย์ถาม

“น่าจะมีนะ เพราะที่นี่เคยเป็นเมืองของท่าน เราลองเปิดกูเกิ้ลค้นดูสิ” เรืองชัยว่า

“ผมว่าลองโทรถามคงกระพันดูดีกว่า เขารู้จักพื้นที่ จะได้นัดให้มาสมทบกับพวกเราด้วย” เตชินพูดแล้วก็กดโทรศัพท์ไปหาคงกระพันอีกครั้ง หลังสนทนากันครู่หนึ่ง เขาก็บอกกล่าวกับเพื่อนร่วมทีม

“คงกระพันบอกว่าที่นครไทยมีอนุสาวรีย์ของพ่อขุนบางกลางหาว ก่อนถึงตัวอำเภอ ให้เราเดินทางไปเลย เขาจะไปรอที่นั่น”

คณะของศาสตราจารย์วิรุฬห์จึงออกเดินทางอีกครั้ง เตชินทำหน้าที่คนขับโดยอาศัยจีพีเอสนำทาง ในที่สุดก็ไปถึงที่หมาย…

สาวิตรก้าวลงจากรถเป็นคนแรก บริเวณนั้นเป็นที่โล่งกว้าง มีขั้นบันไดเดินขึ้นไปบนลานชั้นบน ซึ่งมีพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนบางกลางหาวประทับยืนอยู่…

เสียงศาสตราจารย์สั่งงานผู้ร่วมทีม

“ฤทธีไปเอาเครื่องมือลงมาด้วย จะได้เริ่มสำรวจหาประตูมิติกันตอนนี้เลย”

ฤทธีจึงขึ้นไปด้านหลังรถเพื่อหยิบเครื่องมือซึ่งบรรจุอยู่ในกล่องโลหะลงมา

ชายหนุ่มคนหนึ่ง เดินตรงมายังรถตู้ของคณะ ทันทีที่เข้ามาใกล้และสาวิตรเห็นหน้าถนัด เขาถึงกับอุทานในใจ

“ไอ้คง”

ความรู้สึกของสาวิตรบอกว่า ชายหนุ่มคนที่เดินมาตรงหน้านี้แหละ คือเจ้าเด็กหนุ่มผู้ทำหน้าที่เป็นสื่อรักระหว่างมิ่งกับปราง และทำหน้าที่ดีเยี่ยมเสียจนตนเองต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย

เตชินเดินมาสมทบ เขาแนะนำผู้มาใหม่

“นี่ไงล่ะ คงกระพัน เอ้า มาทำความรู้จักพวกเราสักหน่อย”

แล้วเตชินก็แนะนำให้ผู้มาใหม่รู้จักเพื่อนร่วมทีมทุกคน รวมถึงศาสตราจารย์ด้วย คงกระพันยกมือไหว้ทุกคนอย่างนอบน้อม เขายังคงมองสาวิตร

“ผมคุ้นกับคุณมากเหมือนเราเคยสนิทกันมาก่อนนะครับ คุณวิตร ความจริง ผมรู้สึกคุ้นเคยกับทุกคนแหละ แต่กับคุณนี่ รู้สึกสนิทมากๆ จริงๆ “ คงกระพันว่า

สาวิตรได้แต่ยิ้ม เวลานี้คงยังไม่เหมาะหรอกที่จะทักอดีตชาติใคร ทั้งที่ชายหนุ่มจำได้แม่น ไอ้คง ลูกพี่ขาบ เด็กหนุ่มผู้อาศัยบ้านพ่อครูพัน เวลานี้ไอ้คงกลายมาเป็นคุณคงกระพัน เจ้าของรีสอร์ทที่คณะกำลังจะไปพัก…เวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน แต่การวนเวียนในภพยังทำหน้าที่ไม่เคยเปลี่ยน

“เราเริ่มงานกันเลยดีมั้ย” เรืองชัยพูดขึ้น

เตชินกวาดตามองไปรอบๆ “เอ ตามความรู้สึกของผม  ผมว่าประตูมิติไม่น่าจะอยู่นี่ได้ แล้วก็ดูเหมือนสถานที่นี้จะสร้างขึ้นไม่นานด้วย ไม่น่าจะเป็นไปได้นะครับ”

“ยังไงเรามาถึงแล้ว ก็ควรจะลองดูก่อน” ศาสตราจารย์ว่า “อย่าเพิ่งใช้ความรู้สึกวัดเลย บางทีประตูมิติอาจจะอยู่ในที่ที่เราคิดไปไม่ถึงก็ได้นะ”

หกชีวิตรวมถึงคงกระพันผู้มาใหม่ จึงเดินขึ้นไปบนลานหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ หลังจากทำความเคารพแล้ว ทั้ง 5 คนก็เดินตามฤทธีซึ่งเดินถือเครื่องมือตรวจหาประตูมิตินำหน้าไป

“นี่เป็นครั้งแรกที่เราจะใช้เครื่องมือนี้ หากบริเวณนี้เป็นจุดเชื่อมต่อของสนามแม่เหล็กของโลกกับดวงอาทิตย์และมีการแพร่กระจายของอิเล็กตรอน เครื่องมือก็จะส่งสัญญาณขึ้นมา ซึ่งนั่นหมายถึงบริเวณนี้เป็นประตูมิติ” ศาสตราจารย์อธิบายให้คงกระพันฟัง

ฤทธีซึ่งถือเครื่องมือที่เปิดใช้งานแล้วส่ายหน้า “นิ่งสนิท ไม่มีสัญญาณอะไรเลยครับ อาจารย์”

“เป็นเพราะเอ็งถือแน่เลยว่ะ เครื่องมันเลยไม่อยากทำงาน มา ลองให้ข้าถือมั่งดีกว่า” เรืองชัยว่า

ฤทธีส่ายหน้า “มันจะเกี่ยวตรงไหนวะ”

เรืองชัยแย่งเครื่องมือจากฤทธีมาถือไว้ในมือ แต่ทุกอย่างยังคงนิ่งสนิทเหมือนเดิม

“ผมว่าไม่ใช่ที่นี่แล้วล่ะ ลองดูปริศนาข้อต่อไปด้วยสิ ที่ที่มีเครื่องหมายตรีศูล ตรงนี้มองเท่าไร ก็ไม่เห็นมันจะมีเลย คง ที่นครไทยมีอนุสาวรีย์พ่อขุนบางกลางหาวอีกไหม ลองไปดูที่ใหม่กันดีกว่า” เตชินพูดขึ้น ทุกคนในคณะต่างเห็นด้วย

“มี เดี๋ยวผมพาไปเอง ขับรถตามมาแล้วกันครับ”

คงกระพันขึ้นรถของตนแล้วขับนำทางคณะของศาสตราจารย์ไปยังจุดหมายใหม่ซึ่งอยู่ไม่ไกล เมื่อรถกำลังจะเลี้ยวตรงประตูทางเข้า ฤทธีอ่านตัวหนังสือที่อยู่ด้านบนประตูให้ทุกคนฟังว่า “วัดกลาง” แล้วก็ขับตามไปจอดข้างๆ รถของคงกระพัน

เมื่อทุกคนลงไปรวมตัวกันแล้ว คงกระพันซึ่งคุ้นกับสถานที่ดีก็เริ่มแนะนำ “ที่นี่คือวัดกลางศรีพุทธารามครับ สันนิษฐานว่า พ่อขุนบางกลางหาวทรงสร้างขึ้น ตามมา ผมจะพาไปที่อนุสาวรีย์ของพระองค์” 

บริเวณวัดวันนี้ช่างดูเงียบอย่างประหลาด ไม่มีคนอื่นสักคนเดียวนอกจากคณะของศาสตราจารย์วิรุฬห์ จุดที่เป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ที่คงกระพันพาคณะมานั้น มีพระบรมรูปของพ่อขุนบางกลางหาว 2 พระองค์ องค์เล็ก คงกระพันซึ่งทำหน้าที่ไกด์ไปโดยปริยายบอกว่าเป็นฝีมือของช่างท้องถิ่น ส่วนองค์ใหญ่เป็นฝีมือของช่างจากทางการ ใกล้ๆ กันยังมีพระบรมรูปของพระองค์เมื่อขึ้นเป็นพ่อขุนศรีอินทราทิตย์แล้ว

“มาถึงนี่กันแล้ว เราไปดูต้นจำปาขาวกันก่อน ต้นไม้ประวัติศาสตร์ที่พ่อขุนบางกลางหาวท่านปลูกเชียวแหละ อายุก็คงเกือบๆ 800 ปีแล้วครับตอนนี้” ไกด์จำเป็นว่า ก่อนพาคณะเดินไปหลังพระราชานุสาวรีย์ที่ซึ่งต้นจำปาขาวยืนตระหง่านอยู่

“จำปาที่อื่นออกดอกสีเหลืองใช่ไหม แต่ต้นนี้ออกดอกสีขาวตามคำอธิษฐานของพ่อขุนบางกลางหาวท่าน เคยมีคนเอาไปปลูกที่อื่น ก็ออกดอกเป็นสีเหลืองเหมือนดอกจำปาทั่วไป ไม่เป็นสีขาวเหมือนที่นี่”

พูดแล้วคงกระพันก็หยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมาเปิดหาข้อมูล แล้วอ่านให้ทุกคนฟัง

“พ่อขุนบางกลางหาว ท่านทรงปลูกต้นจำปานั้นประมาณปี พ.ศ. 1823 ก่อนที่พ่อขุนจะได้ขึ้นครองราชย์ 3 ปี การปลูกต้นจำปานั้นพ่อขุนได้ประชุมพระสงฆ์ทั่วทั้งสังฆมณฑลภายในเมืองบางยางและชีพ่อพราหมณ์ เหล่าขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเป็นอันมาก เมื่อพร้อมเพรียงเป็นไปตามฤกษ์งามยามดีแล้ว จึงได้อธิษฐานปลูกต้นจำปาไว้ภายในวัดกลางแห่งนี้ ปัจจุบันต้นจำปาได้ผ่านกาลเวลามานานจนทุกวันนี้นับได้ประมาณเกือบ 800 ปีแล้ว….” 

“อะไรนั่น” ศาสตราจารย์เป็นคนแรกที่อุทานขึ้น หลังลมพัดมากราวใหญ่ คงกระพันหยุดอ่านข้อความทันที ภาพเบื้องหน้าหมุนวนและเลือนราง จนทุกคนรู้สึกตระหนกและรีบมายืนเกาะกลุ่มกัน… จำปาขาวต้นใหญ่เบื้องหน้าดูจะค่อยๆ หดเล็กลง จนกลายเป็นไม้ต้นเล็กเตี้ยที่ยังไม่ได้นำลงดิน บริเวณโดยรอบมีพระสงฆ์และผู้คนจำนวนมากรายล้อมอยู่

ณ จุดตรงกลางนั้น ทุกคนเห็นเหมือนกันหมด… ร่างสูงสง่าของบุรุษผู้หนึ่งประทับยืนอยู่

“ท่านพ่อขุนบางกลางหาว”  สาวิตรอุทาน..


17 ต.ค.66

 

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น