บทที่ 25
ภาพที่เห็นเบื้องหน้า นำความปิติมาสู่ใจของคนทั้งหกซึ่งยืนอยู่ตรงนั้นยิ่ง ยากนักที่ใครจะได้ชมบารมีของผู้ทรงคุณต่อแผ่นดิน ยามที่กาลเวลาล่วงผ่านมาเกือบ 800 ปีเช่นนี้ ทุกคนได้แต่ตะลึงลาน แม้ว่าจะได้เคยเห็นภาพนิมิตบางอย่างขณะทำสมาธิมาบ้าง แต่มันก็มิใช่การเห็นด้วยสองตาเนื้อสดๆ เช่นที่กำลังเห็นอยู่นี้…
สาวิตรเป็นคนแรกที่ได้สติ เขาทรุดกายลงนั่งคุกเข่ากับพื้น ทุกคนจึงนั่งลงบ้าง แล้วพนมมือกันอย่างพร้อมเพรียง เสียงพระองค์ท่านทรงตั้งจิตอธิษฐานยามนั้นก้องกังวานจนทุกคนต่างได้ยินชัดเจน..
“ขอฟ้าดินจงเป็นสักขี กาลบัดนี้ ชาวเผ่าไทมีความทุกข์ยากยิ่ง ด้วยต้องดำรงอยู่เสมือนหนึ่งเป็นทาสชนเผ่าขอม ตัวข้า พ่อขุนผาเมืองแลพี่น้องทั้งมวล มีความปรารถนาที่จะดับความทุกข์ยากนี้เสียให้สิ้น เราจักจับอาวุธขึ้นสู้ เพื่อยุติการกดขี่ข่มเหงโดยผู้อื่นนี้ให้จงได้ ด้วยเป็นทางเดียวที่เหล่าข้าจักสามารถกระทำ มิมีหนทางอื่นใดอีก หากแม้นเหล่าข้าจักสามารถกระทำการศึก มีชัยชนะแด่ขอม แลสามารถสร้างแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่น มิต้องเป็นทาสชนชาติอื่นใดอีกแล้วไซร้ ขอให้จำปาต้นนี้จงงอกงามแลออกดอกเป็นสีขาว หากแม้นมิเป็นดังคำอธิษฐานที่ข้ากล่าว ก็ขอให้จำปาต้นนี้ จงเหี่ยวเฉาร่วงโรย อย่าได้ยืนต้นขึ้นให้ได้ประจักษ์แก่ตาด้วยเทอญ”
สิ้นคำตรัส พระองค์ทรุดพระวรกายลงกับพื้น แล้วนำจำปาต้นน้อยลงปลูกในดิน ท่ามกลางเสียงสวดชยันโตของพระสงฆ์ พราหมณ์และผู้ร่วมพิธีรายรอบนั้น ก่อนที่ภาพและเสียงจะค่อยๆ เลือนหายไป กลับมาเป็นต้นจำปาต้นเดิมที่ยืนสูงตระหง่านต่อหน้าคนทั้งหกนั้น
สาวิตรและคณะก้มลงกราบกับพื้น…
“ทุกคนได้เห็นเหมือนกันใช่ไหมครับ” เขาถามหลังจากที่เงยหน้าขึ้นแล้ว
“เห็นแล้ว ไม่เคยคาดคิดเลยจริงๆ ว่าจะได้เห็นภาพแบบนี้” ศาสตราจารย์กล่าวขึ้น
“ใช่ อัศจรรย์ใจมากเลย อูย ขนลุก” เรืองชัยว่า
“ยุคนั้นขอมถือตนอยู่เหนือคนไทย กดขี่ข่มเหงเรา ฆ่าตีเอาตามใจชอบ ถ้าพ่อขุนบางกลางหาวท่านเป็นเจ้าเมืองอยู่ใต้ขอม ก็คงจะทำได้และรอดตัวไปครับ แต่ท่านทนเห็นพวกเราทุกข์ยากไม่ไหว ก็เลยชวนคนไทยซุ่มฝึกอาวุธเพื่อปลดแอกตัวเองจากการเป็นเสมือนหนึ่งทาสของพวกขอม ขอใช้คำนี้นะครับ ท่านทำงานนี้ร่วมกับพ่อขุนผาเมือง…เราทุกคนในที่นี้ ล้วนแต่เป็นข้าคนของท่าน ส่วนตัวผม ท่านเคยช่วยชีวิตไว้ ผมจึงสัญญากับท่านว่า จะช่วยท่านรบ แม้จะต้องสิ้นชีวิตไป ก็จะต้องกลับมาช่วยท่านทำการให้สำเร็จให้ได้ เพราะฉะนั้นผมจึงต้องกลับไปยังไงละครับ” สาวิตรหยุดพูดนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“ผมขอขอบพระคุณ คุณอาและทุกคนมากนะครับ ที่ยอมเปลี่ยนเส้นทางมายังนครไทยและช่วยเหลือผมในการครั้งนี้”
ฤทธีเป็นคนแรกที่พูดขึ้น
“ผมเข้าใจแล้วล่ะ คุณวิตร ตอนนี้ก็พร้อมลุยไปกับคุณเต็มที่แล้ว ขอโทษด้วยที่ตอนแรกยังไม่เข้าใจคุณดีนัก”
“ผมด้วย เอาเลยไปไหนไปกัน” เรืองชัยว่า
สายลมพัดโชยมา กลิ่นดอกจำปาหอมชื่นรวยริน กระจายไปทั่วบริเวณ คงกระพันพูดขึ้นว่า
“หอมชื่นใจจัง แล้วดูสิ เราเห็นดอกจำปาไหม ยังคงเป็นสีขาวเหมือนเดิม ต้นจำปาก็ยังอยู่แม้จะผุกร่อนไปตามกาลเวลา เป็นสัญลักษณ์แห่งบารมีอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ท่านและสัญลักษณ์ว่าประเทศของเราจะไม่มีวันอยู่ในสถานะที่เป็นทาสใครอีกเลย” คงกระพันชี้ชวนดูดอกจำปาที่อยู่บนต้นนั้น
“จริง แต่คนรุ่นเราก็ต้องฉลาดรู้ให้ทันนะ ไอ้ลัทธิยึดชาติอื่นมันคงยังอยู่ แล้วก็ไม่ได้ใช้แค่อาวุธ แต่กลวิธีมันล้ำลึกมากมาย คนดีๆ ที่จะขึ้นมานำพาประเทศอย่างพระองค์ท่านก็หาได้ยาก หรือมี ก็ไม่อาจทำงานได้ง่ายๆ เหมือนในยุคบรรพบุรุษ เพราะฉะนั้น อย่างแรก เราต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องก่อน คือรู้ให้ทันเกมต่างชาติ เพื่อจะได้แก้เกมได้ถูก ไม่ตกไปเป็นเหยื่อใคร จนหลงเผาบ้านตัวเอง ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ” ศาสตราจารย์ว่า
“แต่สำหรับผม” สาวิตรว่า “ที่ผมมองเห็นคือจำปาขาวต้นนี้เตือนเราให้นึกถึงคนๆ หนึ่งที่มองเห็นประโยชน์สุขของผู้อื่นก่อนตนเอง ลองนึกดูนะครับ ถ้าเอาสถานะอันยิ่งใหญ่ของท่านออกไป ท่านก็คือมนุษย์คนหนึ่งเหมือนเรา การทำศึกไม่ใช่เรื่องสนุกนะครับ ลำบากล้วนๆ ที่ต้องทำ มันมาจากความเมตตาจริงๆ ท่านไม่ได้หวังอำนาจราชศักดิ์อะไร บางคนก็ไปคิดแทนท่านว่า เพราะท่านหวังผลตอบแทนเข้าตัวเอง แล้วก็เชื่อความคิดตัวเองเป็นจริงเป็นจัง ทำให้คนอื่นเชื่อตามด้วย มันเลยกลายเป็นสังคมที่ไม่มีใครเชื่อในความดี นี่ผมพูดจากที่ผมสัมผัสท่านมาได้นะครับ”
เตชินเห็นว่าการสนทนาทำท่าจะเนิ่นนานออกไป จึงรีบตัดบทด้วยเห็นว่าเวลาของสาวิตรมีอยู่น้อยมากแล้ว
“เอ้อ แต่ตอนนี้ ผมคิดว่า เราไปหาประตูมิติกันก่อนดีไหมครับ ก่อนที่จะมาคุยเรื่องอื่น ผมว่าเป็นไปได้มากนะที่ประตูมิติจะอยู่ที่นี่”
“ดี แล้วก็ขอบคุณครับ เตชิน ที่ช่วยเตือน” สาวิตรว่า
“งั้นเอากุญแจมา จะไปเอาเครื่องมือที่รถ” เรืองชัยรับกุญแจจากเตชินแล้วก็เดินไปนำเครื่องมือลงมาจากรถ
“เราเริ่มกันแถวนี้เลยนะ” เรืองชัยว่าพร้อมกับถือเครื่องมือเดินไปรอบๆ บริเวณ โดยมีเพื่อนร่วมทีมติดตามกันไป ที่สุดเขาส่ายหน้า เพราะเครื่องมือยังคงนิ่งสนิท
“ไม่มีสัญญาณอะไรเลยครับอาจารย์”
“เราไปกราบพระที่โบสถ์กันก่อนดีไหม มาถึงนี่แล้ว กราบพระกันก่อนดีกว่า แล้วค่อยมาลองดูใหม่ เผื่อจะมีสื่ออะไรให้เรารู้ได้บ้าง วิตร ตอนนี้คุณรับรู้อะไรเพิ่มเติมบ้างหรือเปล่า” ฤทธีว่า
“ยังไม่มีอะไรเลยครับ ไปที่โบสถ์กราบพระก็ดีเหมือนกัน” สาวิตรตอบ
คนทั้งหกจึงเดินตามกันไปที่โบสถ์ หลังจากกราบพระประธานแล้ว ทุกคนก็แหงนมองภาพจิตรกรรมฝาผนังซึ่งยังดูใหม่ คงกระพันเลยทำหน้าที่ไกด์เล่าเรื่องราวให้ฟังว่า เดิมจิตรกรรมฝาผนังที่อุโบสถวัดกลางนั้นไม่มี เป็นผนังปูนธรรมดา ต่อมาได้มีการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพุทธประวัติ โดยฝีมือช่างชาวบ้าน แต่ชำรุดทรุดโทรมไป จนประมาณสัก 20 ปีผ่านมา เจ้าอาวาสมีดำริว่าควรจะมีการบูรณะภาพจิตรกรรมฝาหนังใหม่ทั้งหมด จึงมอบหมายให้ช่างฝีมือดีทำการวาดขึ้น
พอคงกระพันพูดจบ เตชินก็พูดขึ้นทันทีว่า “ผมว่า เราไปสำรวจหาประตูมิติกันต่อดีกว่าครับ เวลามีน้อย”
ทุกคนจึงลุกออกจากโบสถ์ไปทำงานต่อ เรืองชัยถือเครื่องมือเดินอีกครั้ง ขณะที่สาวิตรกับเตชินก็คอยมองหาว่าจะมีเครื่องหมายตรีศูลอยู่ที่ไหนบ้าง แต่ก็ปราศจากวี่แววเช่นเคย ในที่สุดเรืองชัยก็ส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นว่า
“เงียบตามเคยเลยครับ คงไม่ใช่ที่นี่แล้วล่ะ”
“เครื่องนี่มันเคยทำงานมาก่อนหรือเปล่าครับ” คงกระพันสงสัยจึงถามตรงๆ
“เคยสิ เราเคยไปที่อียิปต์กับที่ชิลีมากัน เครื่องมันก็ส่งสัญญาณนะครับ เพียงแต่ว่ามันไม่สะดวกที่จะศึกษาที่นั่นอย่างจริงจัง ก็เลยต้องมาเริ่มที่ประเทศไทย” ฤทธีอธิบาย
“ภาพตรีศูล เราช่วยกันดูแล้วก็ไม่มีเหมือนกัน” เตชินว่า
“เราคงต้องช่วยกันคิดใหม่แล้วล่ะ ว่าถ้ามันไม่ใช่ที่นี่แล้วจะเป็นที่ไหน สถานที่ที่ผู้คนพากันมาระลึกถึงพ่อขุนบางกลางหาว” ศาสตราจารย์พูดขึ้น
ทั้งหกคนนิ่งคิด คงกระพันเป็นคนแรกที่แสดงความคิดเห็น
“มันอาจจะเกี่ยวกับประเพณีอะไรสักอย่าง ที่เรามาทำเพื่อระลึกถึงท่านก็ได้นะครับ ที่นครไทยนี่ เขามีประเพณีปักธงชัย ระลึกถึงองค์พ่อขุนบางกลางหาว ประมาณเดือนพฤศจิกายนทุกปี”
“ที่ไหนล่ะ” ศาสตราจารย์ถาม
“บนเขา 3 ลูกครับ คือเขาฉันเพล เขาย่านไฮแล้วก็เขาช้างล้วง ห่างจากตรงนี้สัก 5-6 กิโลเห็นจะได้ ผมพาไปได้ครับ เพราะเคยมาอยู่หลายครั้ง”
“ทุกคนว่าไง” ศาสตราจารย์พูดขึ้น
“ผมว่าที่นี่น่าสนใจครับ” สาวิตรว่า ผู้ร่วมทีมไม่มีใครคัดค้าน
“งั้นเราก็รีบไปกันเถอะ คง นายขับรถนำไปเลย” เตชินว่า
รถของศาสตราจารย์จึงขับตามรถของคงกระพันไป คราวนี้เรืองชัยทำหน้าที่จับพวงมาลัย ขณะที่กำลังเคลื่อนไปได้ไม่ไกลนั้น..
โป้ง!!!เสียงยางระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว รถตู้หมุนคว้าง เรืองชัยเหยียบเบรคได้ทัน รถหยุดตรงข้างทางพอดีแต่ก็เกือบพลิกคว่ำ โชคดีที่ยามนั้นไม่มีรถสวนมา และรถที่ขับตามหลังก็อยู่ห่างไปมากพอควร แต่รถเหล่านั้นก็ไม่มีคันไหนจอดลงมาดูสักคัน รถของคงกระพันที่ขับนำหน้าอยู่ก็หายลับไปแล้ว
พอได้สติ ศาสตราจารย์เป็นคนแรกที่ถามทุกคนขึ้น
“มีใครเป็นอะไรบ้างไหม”
“ไหล่ผมไปกระแทกเก้าอี้ด้านหน้า เจ็บนิดนึง แต่ไม่เป็นไรครับ” เตชินว่า
“หัวเข่าผมก็เจ็บ แต่ไม่เป็นไรเหมือนกันครับ” ฤทธีพูดขึ้น
เรืองชัยรีบลงรถไปดูสภาพของล้อหลังเป็นคนแรกก่อนที่คนอื่นๆ จะทยอยตามกันลงไป
“หมดกัน ผมก็ตรวจสภาพยางก่อนมาแล้วนะครับ ทำไมระเบิดได้ แปลกจริง เราไม่มียางอะไหล่ซะด้วยสิ” เรืองชัยว่า
“จอดอย่างเดียวเลยทีนี้ เฮ้อ..” ฤทธีถอนใจ “แล้วดูสิ รถคงกระพันก็หายไปแล้ว ชิน นายลองโทรตามซิ มันเกิดอะไรขึ้นวะ วันนี้ เริ่มเครียดแล้วนะนี่ ทำไมอะไรๆ มันยากไปหมด”
“จะทำงานใหญ่ ง่ายไม่มีหรอกนาย ใจเราต้องเข้มแข็งให้พอเท่านั้น มันเป็นอย่างนี้ทุกงานจริงๆ” เตชินพูดแล้วก็กดโทรศัพท์หาคงกระพัน
เงียบ…ฝ่ายนั้นไม่ยอมรับสาย เขาเริ่มร้อนใจขึ้นมาบ้าง แล้วก็กดโทรออกใหม่ ปลายสายยังคงเงียบ
“คงนี่มันยังไงวะ หน้าสิ่วหน้าขวานดันไม่รับสาย” เตชินบ่นอย่างเริ่มหงุดหงิด
“มีทางเดียว เราคงต้องคอยคงกระพันแล้วละ ถ้าเขาไม่เห็นรถเรา เดี๋ยวคงเอะใจและย้อนกลับมาเอง” ศาสตราจารย์ว่า
สาวิตรเริ่มร้อนใจ เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ตอนนี้เวลามันก็เข้าบ่ายโมงแล้ว เรื่องของประตูมิติยังมืดแปดด้านอยู่ แถมยังเกิดเหตุไม่คาดฝันที่ทำให้เสียเวลาขึ้นอีก…
แต่เพียงครู่เดียว รถของคงกระพันก็ย้อนกลับมา ชายหนุ่มเริ่มใจชื้น..คงกระพันกลับรถแล้วจอดด้านหลังรถตู้ของคณะ
“ยางระเบิดหรือ” คงกระพันพูดขึ้นเมื่อลงมาสมทบกับทุกคนแล้ว
“เออสิ โทรเรียกนายตั้งนาน ทำไมไม่รับสายเลยวะ” เตชินว่า
“ขอโทษๆ พอดีเอาโทรศัพท์ใส่กระเป๋าไว้ เลยไม่ได้ยิน” คงกระพันว่าก่อนหันไปพูดกับศาสตราจารย์ “ผมขับรถไปถึงที่หมายแล้วครับ พอเข้าจอดก็ไม่เห็นรถอาจารย์ คิดว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ จึงย้อนกลับมา ขอโทษนะครับ อาจารย์”
“ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้เรามาคิดกันก่อนว่าจะทำยังไงต่อดีกว่า พอจะรู้จักร้านรับเปลี่ยนยางที่นี่บ้างไหมละ” ศาสตราจารย์กล่าวขึ้น
“ไม่รู้เลยครับ คงต้องเสิร์ชหาอย่างเดียวเลย” คงกระพันว่า
เตชินหันมามองสาวิตร เห็นสีหน้าของฝ่ายหลังเต็มไปด้วยความวิตก เขาจึงเอามือไปตบไหล่อย่างปลอบโยน
“ใจเย็นๆ นะครับวิตร เวลาเรายังมีอยู่” สาวิตรพยักหน้า เตชินพูดกับคณะต่อว่า
“ผมว่าตอนนี้เรื่องเปลี่ยนยางรอไว้ก่อนดีกว่าครับ เรื่องของวิตรสำคัญที่สุด เราไปหาประตูมิติกันก่อนเถอะ รถก็จอดไว้ที่นี่ เอาแต่เครื่องมือลงไป”
“แล้วเราจะไปกันยังไงล่ะ ถ้าไม่มีรถ” เรืองชัยถาม
“รถของคงกระพันไง เรานั่งเบียดกันไปก่อน ที่หมายมันก็ไม่ไกลนี่นา ได้ไหมคง” เตชินถามเพื่อน
“ได้สิ ไม่เป็นไรหรอก มาเลย” คงกระพันว่า
เรืองชัยจึงขึ้นรถไปนำเครื่องมือลงมาแล้วจัดการล็อครถ ขณะที่สาวิตรก็หยิบดาบของตนลงมา จากนั้นทั้งหกชีวิตก็เบียดกันไปในรถยนต์ของคงกระพัน พอรถออกตัวได้ไม่นาน ฝนซึ่งยังไม่เคยมีเค้ามาก่อน กลับเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา จนแทบมองไม่เห็นเส้นทาง
“นี่มันวันโลกาวินาศหรือไงวะ จะทำอะไร มีอุปสรรคไปหมด” ฤทธีพูดขึ้นอย่างเริ่มหงุดหงิด
“ใจเย็นครับ เราไปหาข้าวกินกันก่อนดีไหมตอนนี้ ยังไงก็ขึ้นเขาไม่ได้อยู่แล้ว นี่มันเลยเวลาข้าวกลางวันนานแล้วด้วย” คงกระพันว่า ก่อนจะจอดรถที่ร้านอาหารริมทาง ทั้งหกคนรีบวิ่งเข้าไปในร้านและสั่งอาหารมื้อกลางวันมารับประทาน พร้อมกับรอเวลาที่ฝนจะหยุดตก
แม้จะหิวมากอยู่ แต่สาวิตรกลับกินข้าวแทบไม่ลง ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะไม่เป็นใจกับเขาเสียเลย ในวาระที่สำคัญเช่นนี้ เตชินคงจะสังเกตเห็นอาการของเพื่อน จึงพูดปลอบใจขึ้นว่า
“อย่าท้อครับ ถ้าเวลายังมีอยู่ เราจะตามหาประตูมิติด้วยกันจนนาทีสุดท้าย ลำบากยังไง ก็ลำบากด้วยกันครับ”
ชายหนุ่มมองหน้าเตชินแล้วยิ้ม…” ขอบคุณครับ”
“พี่ชายที่แสนดี” ความรู้สึกนี้ผุดขึ้นมาในใจของชายหนุ่มอีกครั้ง เมื่อรู้สึกได้ถึงน้ำใจที่เตชินมีให้
“ใช่ มาด้วยกันจนถึงตอนนี้แล้ว เราไม่ทิ้งคุณแน่” เรืองชัยว่า
“ถามหน่อยสิ คงกระพัน พิธีระลึกถึงพ่อขุนบางกลางหาวบนเขานั่น มันยังไงหรือ” ฤทธีถามขึ้น คงกระพันจึงเล่าให้ทุกคนฟัง
“คือ ชาวบ้านเขาจะมาร่วมกันทอผืนธงสามผืน พอเรียบร้อยแล้วก่อนวันปักธงวันหนึ่ง ก็มีการจัดขบวนแห่ ถึงตอนเย็นก็มีพิธีสวดมนต์ พอเช้าก็ทำบุญใส่บาตรแล้วแห่ธงไปเขาช้างล้วง คนที่จะไปปักธงมีทั้งชาวบ้านและพระ หลังกินข้าวเช้าเสร็จก็จะเดินขึ้นเขากัน กว่าจะถึงเขาลูกแรกก็ช่วงเพลพอดี เขาก็จะถวายอาหารเพลที่นี่ แล้วก็ปักธงผืนแรก เขาลูกนี้เลยเรียกกันว่า เขาฉันเพล พระท่านก็สวดมนต์ให้ระหว่างปักธง เสร็จแล้วก็จะเดินต่อไปปักธงผืนที่สอง ที่สามที่เขาย่านไฮกับเขาช้างล้วง ก็เป็นอันเสร็จพิธี ว่ากันว่า พิธีนี้ทำเพื่อการกินดีอยู่ดีของชาวนครไทย อีกทางหนึ่งก็เชื่อกันว่า เพื่อรำลึกถึงชัยชนะของพ่อขุนบางกลางหาวท่าน เมื่อครั้งท่านย้ายมาอยู่เมืองบางยางนี่”
ฝนที่ตกหนักไม่ลืมหูลืมตาเริ่มซาลง ในที่สุดก็หยุดตก แสงแดดกลับมาฉายส่องเหมือนเดิม สาวิตรเริ่มใจชื้น ศาสตราจารย์เป็นคนแรกที่กล่าวขึ้น
“พวกเรารีบไปกันดีไหม ฝนหยุดแล้ว”
ทุกคนเห็นพ้อง การเดินทางจึงเริ่มขึ้น คงกระพันขับรถนำพาคณะไปจนถึงที่หมาย ฤทธีเป็นคนแรกที่เปรยขึ้นหลังจากแหงนมองขึ้นไปบนเขา
“ไม่ใช่ล้อเล่นเลยนี่ ต้องเดินเป็นกิโลๆ วันนี้จะหาเจอหรือเปล่า”
“อย่าบ่น” เตชินพูดขึ้น “ไปเอาเครื่องมือลงมาแล้วเริ่มทำงานได้แล้ว เรามีเครื่องมืออยู่ จะกลัวอะไร”
“ขอรับ เจ้านาย” เขาว่า
ฤทธีเปิดหลังรถแล้วหยิบเครื่องมือออกมาตามคำสั่งของเพื่อนผู้เป็นเสมือนลูกพี่อย่างว่าง่าย พร้อมๆ กับที่สาวิตรหยิบดาบออกมาถือไว้ ไม่นานหลังเปิดสวิทช์ ฤทธีก็ร้องออกมาอย่างดีใจ
“มีสัญญาณครับ แปลว่าเรามาถูกที่แล้ว เย้”
ทีมงานที่เหลือจึงเข้ามารุมล้อมฤทธี ชายหนุ่มอธิบายให้สาวิตรฟังว่า
“ตอนนี้มีสัญญาณ แต่ยังไม่เต็ม แปลว่าประตูมิติอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ ถ้าถึงจุดที่เป็นประตูมิติจริงๆ สัญญาณจะเต็มครับ”
หัวใจของสาวิตรเริ่มมีความหวัง เช่นเดียวกับศาสตราจารย์ที่พูดขึ้นว่า
“งั้นเราก็ไปกันเลยสิ โครงการของเราจะได้ออกสตาร์ทแล้ว”
“ทางขึ้นเขา เดินไม่ยากเท่าไร แต่ตอนนี้คงลื่นมาก ทุกคนเดินระวังๆ กันด้วยนะครับ” คงกระพันเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินนำหน้า โดยมีฤทธีถือเครื่องมือเดินตาม พร้อมกับทุกคนในทีม เมื่อเดินมาระยะหนึ่ง สองข้างทางซึ่งเป็นป่าจะมีหินทรายก้อนใหญ่อยู่เป็นจำนวนมาก สัญญาณในเครื่องก็ยังคงมีอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ทุกคนมีความหวังว่าจะหาประตูมิติพบ ณ สถานที่แห่งนี้ในที่สุด
พรวด!!!
แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ฤทธีซึ่งตาคอยสังเกตสัญญาณในเครื่องมืออยู่ตลอด เกิดก้าวพลาด เขาหกล้มอย่างจังลงบนพื้น เครื่องตรวจวัดที่ถืออยู่กระแทกพื้นอย่างแรงจนหยุดทำงาน สัญญาณดับสนิท ศาสตราจารย์ถลันเข้าไปหยิบเครื่องมือที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาสำรวจ ทั้งภายนอกและภายในตัวเครื่อง
“ต้องเอากลับไปซ่อมแล้วละ ตอนนี้คงใช้ไม่ได้แล้ว” เขาพูดขึ้น น้ำเสียงบอกความผิดหวัง
“ไอ้ฤทธิ์เอ๊ย ทำยังไงกันละคราวนี้” เรืองชัยหันไปพูดกับฤทธีที่กำลังคลำแผลถลอกที่ข้อศอก และมีสีหน้าสลดด้วยรู้สึกว่าตนเองเป็นคนทำให้งานสะดุด
สาวิตรเริ่มใจเสียอีกครั้ง เวลาเหลือน้อยเต็มทีแล้ว แต่ก็พยายามตั้งสติและพูดปลอบเพื่อนร่วมทีมว่า
“ไม่เป็นไรนะครับฤทธี ถึงไม่มีเครื่องมือ เรายังมีสิ่งที่คุรุท่านบอกอีกอย่างหนึ่ง คือให้สังเกตเครื่องหมายตรีศูล เรามาช่วยกันหาเถอะครับ”
“ใช่” เตชินสนับสนุน “ถึงไม่มีเครื่องมือ เรายังมีกำลังใจ มีความตั้งใจที่จะทำให้สำเร็จ เมื่อเวลายังมีอยู่ อย่าท้อใจกันไปเลย เราจะไม่ยอมแพ้ครับ ไปต่อกันเถอะ”
คำพูดของเตชินทำให้แรงใจของทีมงานทุกคนกลับคืนมาอีกครั้ง
“ที่ว่ารูปตรีศูล อาจจะเป็นรอยสลักบนหินของคนโบราณก็ได้นะครับ ที่นี่มีอยู่มาก เราช่วยกันดูเถอะครับ” คงกระพันผู้ชำนาญสถานที่เป็นอย่างดีกล่าวขึ้น
ทีมค้นหาประตูมิติจึงเดินทางต่อไป และแวะสำรวจก้อนหินใหญ่รายทางทุกก้อนอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบเครื่องหมายตรีศูลอย่างที่สาวิตรกล่าวเลย ที่สุด เรืองชัยเป็นคนแรกที่ทรุดกายลงนั่งกับพื้นอย่างอ่อนกำลังทั้งกำลังกายและกำลังใจ
“เฮ้อ อยู่ตรงไหนล่ะนี่ ทำไมโจทย์มันยากอย่างนี้นะ” พูดแล้วก็นั่งกอดเข่า
ศาสตราจารย์ลงนั่งกับพื้นตามเรืองชัย “ขอผมพักสักครู่นะ เหนื่อยมากเลย”
สาวิตรแหงนหน้ามองแสงแดดยามบ่ายที่อ่อนลงทุกที เวลาของเขาก็ใกล้จะหมดแล้ว เตชินก็นิ่งเงียบไป เขาคงไร้คำปลอบใจแล้วเหมือนกัน ชายหนุ่มได้แต่คิดถึงกาลข้างหน้าว่า หลังจากนี้ เขาคงขอตัวเดินทางกลับกรุงเทพฯ ไม่ติดตามคณะของศาสตราจารย์ขึ้นไปสุโขทัยแน่นอน
“ตามสบายครับคุณอา มีแรงแล้วค่อยเดินต่อกัน” สาวิตรเอ่ยตอบ แล้วก็นั่งลงอีกคน
คงกระพันยังคงเดินสำรวจก้อนหินที่อยู่ใกล้บริเวณที่คณะหยุดพัก แล้วก็พูดขึ้นเสียงดัง
“มาดูหินก้อนนี้ครับ เงาของต้นไม้แปลกมาก เหมือนรูปตรีศูลเลย”
ห้าชีวิตจึงรีบลุกขึ้นไปหาคงกระพัน เขาชี้ให้ดูเงาของกิ่งไม้ที่ต้องแสงแดดและทาบลงบนหิน ลักษณะเป็นรูปสามง่ามเหมือนตรีศูลจริงๆ
“แค่เงา ไม่ใช่รอยสลักลงบนหินสักหน่อย มันจะใช่หรือ” ฤทธีพูดขึ้น
“ถึงเวลานี้เราต้องลองดูแล้วล่ะ วิตรทำอะไรสักหน่อยสิครับ” เตชินพูดขึ้น
สาวิตรหยิบดาบในมือขึ้นประนม แล้วสำรวมจิตท่องพระคาถาที่ได้รับถ่ายทอดมาจากท่านคุรุเฒ่า…พุทธัง บังเกิด เปิดโลก เพียงเริ่มเอื้อนเอ่ย...แสงแดดอ่อนยามนั้นดูจะสว่างจ้าขึ้นมาทันที
เมื่อชายหนุ่มท่องพระคาถาเสร็จสิ้น ก้อนหินที่เรียบสนิทอยู่ กลับปรากฏช่องเล็กๆ ขึ้น ตรงส่วนยอดของตรีศูลที่เกิดจากเงาไม้อย่างน่าอัศจรรย์ สาวิตรรับรู้ได้ทันทีว่า เขาต้องนำดาบสอดเข้าตรงช่องนั้น เพราะมันเป็นเสมือนช่องกุญแจสำหรับไขประตูมิติ เปิดออกสู่จุดหมายปลายทางในอีกภพ และถูกเก็บเอาไว้เป็นความลับมานานแสนนาน
เขาร้องขึ้นอย่างตื่นเต้นด้วยไม่คาดคิดว่า มันจะเกิดขึ้นได้จริงๆ เพราะเกือบจะถอดใจไปเสียแล้ว
“เราทำสำเร็จแล้วครับ ทุกคน สำเร็จแล้ว”
3 พ.ย.66
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น