บทที่ 26
สาวิตรตบไหล่เพื่อนผู้มาใหม่ แต่เป็นคู่หูที่รู้ใจในกาลก่อน “ขอบคุณมากนะ คงกระพัน ถ้าไม่ได้คุณ เราคงหาไม่พบแน่”
“ผมดีใจครับที่มาแล้วเป็นประโยชน์กับทุกคน” คงกระพันว่า
“เออ ตอนหาแทบตายน่ะไม่เจอ พอหยุดหากลับเจอเสียนี่” ฤทธีพูดกลั้วหัวเราะ
“เขาถึงว่า แสวงหาแทบตายกลับไม่พบ หยุดแสวงหาถึงจะพบไงล่ะเอ็ง” เรืองชัยตอบ
สาวิตรหันไปพูดกับเตชินที่อาสาเป็นเพื่อนเดินทางข้ามมิติไปกับเขาด้วย
“เตชิน พร้อมเดินทางไหมครับ” สาวิตรถาม ผู้ถูกถามพยักหน้า
“พร้อมครับ”
ศาสตราจารย์เห็นดังนั้นจึงรีบสั่งการ
“ฤทธีกับเรืองชัยเตรียมถ่ายรูปถ่ายวิดีโอไว้ด้วยนะ สงสัยวันนี้เราคงต้องหาโรงแรมค้างกันที่นี่แล้วล่ะ จะได้ซ่อมเครื่องมือให้เสร็จแล้วกลับมาทดลองศึกษาที่นี่อีกครั้ง รวมทั้งเก็บข้อมูลของสถานที่นี้ไว้วิเคราะห์ด้วย ส่วนวิตรกับเตชินน่ะ ควรจะจำเบอร์โทรของอาหรือของใครในทีมไว้ให้ได้นะ ตอนกลับมา ถ้าไม่เจอพวกเรา จะได้หาทางโทรติดต่อกัน”
“เอาของคุณอาก็ได้ครับ ส่วนมือถือกับของๆ ผม ผมขอฝากเอาไว้นะครับ” สาวิตรว่า
สาวิตรส่งโทรศัพท์ของเขากับกระเป๋าสตางค์ให้กับศาสตราจารย์ เช่นเดียวกับเตชิน ก่อนที่ทั้งคู่จะท่องจำเบอร์โทรของศาสตราจารย์วิรุฬห์ ที่ฝ่ายหลังเป็นคนบอกให้
“คุณวิตรจำชื่อรีสอร์ทของผมที่สุโขทัยไว้ด้วยนะครับ จำง่ายๆ ชื่อสุขหทัยรีสอร์ท เผื่อลืมเบอร์อาจารย์ จะได้หาทางติดต่อไปที่นั่น” คงกระพันกล่าวขึ้น
สาวิตรพยักหน้าก่อนจะกล่าวกับเพื่อนร่วมทีม
“ตอนนี้คงต้องลาทุกคนก่อนนะครับ ถ้าอยู่นานไป ไม่รู้ว่าช่องกุญแจนี้จะถูกปิดเมื่อไร เดี๋ยวจะไปไม่ได้”
ทีมงานที่เหลือจึงกล่าวคำอำลาสั้นๆ กับผู้เดินทางทั้งสอง แล้วถอยออกไปจากหินก้อนนั้น สาวิตรหันมาพยักหน้ากับเตชินก่อนจะจับมือผู้เป็นเพื่อนไว้ ขณะที่อีกมือหนึ่งสอดดาบเข้าไปในหินเบื้องหน้า มันช่างพอดีเสียจริง เขาคิด ดาบนั้นลื่นไหลเข้าไปโดยที่ไม่มีการติดขัดเลยแม้แต่น้อย
เมื่อดาบเข้าไปจนสุด สิ่งมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นอีกครั้ง…หินทั้งก้อนแยกออกเป็นช่องราวมีใครกดรีโมต แสงสว่างจ้าพวยพุ่งออกมาถึงเบื้องนอก สาวิตรดึงดาบออกจากช่อง ก่อนก้าวเท้าเข้าไปพร้อมกับเตชิน แต่แล้ว…
มือของเตชินที่จับมือของเขาไว้ หลุดออกไปราวกับถูกดูดออก พร้อมๆ กับเสียงก้อนหินกระทบกันดังปัง..ประตูปิดแล้ว..
“เตชิน!!!!” สาวิตรตะโกนเรียกชื่อเพื่อน แต่ไร้ซึ่งเสียงตอบ ร่างของเขาลอยละลิ่วไปตามอุโมงค์แห่งแสงเพียงลำพัง ยาวไกลเหลือเกิน แต่แสงที่จ้า ทำให้เขาไม่อาจลืมตามองเส้นทางที่ผ่านได้ จนที่สุดการเดินทางผ่านกาลเวลาก็สิ้นสุดลง ชายหนุ่มมาหยุดยืนอยู่หน้ากระท่อมใหญ่หลังหนึ่ง ซึ่งคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นมาก่อนในความฝัน ชายหนุ่มพยายามนึกอยู่ แต่ยังไม่ทันจะนึกออก ร่างสองร่างก็เปิดประตูออกมา
ท่านคุรุเฒ่า ท่านพ่อขุนบางกลางหาว..สาวิตรตื่นเต้นดีใจ คราวนี้ ท่านทั้งสองมีเลือดเนื้อจริงเป็นมนุษย์จริงๆ มิใช่เพียงภาพความฝันเช่นที่ผ่านมา
สาวิตรวางดาบแล้วคุกเข่าก้มลงกราบกับพื้น แล้วก็นั่งอยู่ตรงนั้น จนพ่อขุนบางกลางหาวตรัสขึ้น
“ลุกขึ้นเถิด สาวิตร ข้ายินดีนักที่เจ้าเดินทางมาทันกาล”
เขาลุกขึ้นยืน
“ครับ แต่ถ้าผมไม่ได้เพื่อนๆ กับคุณอาวิรุฬห์ก็คงเดินทางมาไม่ได้แน่”
“ในชีวิตจริง จักมีใครเป็นพระเอกคนเดียวได้เล่า ขอใช้คำพูดแบบพวกเจ้าสักหน่อยนะ” ท่านคุรุเฒ่ายิ้ม สาวิตรนึกขำในคำพูดที่ล้ำสมัยนั้น
“เตชินเขาจะมาด้วย ทำไมถึงมาไม่ได้ละครับ” เขาถามขึ้น
“นั่นเพราะเขามิได้มีสิทธิแลหน้าที่ที่จักต้องทำไงเล่าเจ้า การเดินทางมานี้ มิใช่กำหนดเองได้ตามต้องการของผู้ใดดอก” ท่านคุรุเฒ่าตอบก่อนจะพูดต่อ
“เข้าไปข้างในได้แล้วเจ้า สมควรแก่เวลาแล้ว” ชายหนุ่มจึงเดินตามท่านทั้งสองเข้าไปภายใน จนถึงแคร่ไม้ที่มีร่างๆ หนึ่งนอนนิ่งสนิทอยู่
เขาเพ่งมองไป มิ่ง..อดีตของเขานั่นเอง ชายหนุ่มมองร่างที่เคยเห็นในฝันเต็มตา ยามนี้ ร่างนั้นไร้ลมหายใจและขาวซีด อนิจจา ร่างกายที่ใครๆ กล่าวขานว่ารูปงาม บัดนี้มันแทบไม่เหลือเค้าเลยจริงๆ
“เจ้ากลับมา เพื่อทำหน้าที่ของเจ้าที่ยังมิจบสิ้นต่อ คงเข้าใจดีแล้วนะ” ท่านคุรุเฒ่าพูดขึ้น
สาวิตรนึกในใจ…มิใช่เพียงเท่านั้นดอก แต่เขายังกลับมา เพื่อพบกับผู้เป็นยอดดวงใจด้วย มาเพื่อเป็นดวงอาทิตย์สาดแสงอันอบอุ่นให้แก่ชีวิตของเธอ…ปราง ยามนี้คงไม่น่าจะมีอุปสรรคใดๆ มากั้นกลางระหว่างเขาและเธออีกต่อไปแล้ว
“แต่เจ้ายามนี้มิได้เหมือนเจ้ามิ่งนัก ข้าจักให้ยาเปลี่ยนร่างแก่เจ้า กินเสีย จักได้เป็นเจ้ามิ่งคนเดิม ยานี้จักหมดฤทธิ์ได้ก็ต่อเมื่อเจ้าหวนคืนสู่ภพที่เจ้าจากมา” ท่านคุรุเฒ่ากล่าวแล้วก็เดินไปหยิบยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งกับน้ำหนึ่งจอกมาส่งให้สาวิตร เขารับมาใส่ปากแล้วดื่มน้ำตามลงไป
“เพลานี้เจ้าจงไปนั่งเข้าสมาธิบนแคร่โน้น” ท่านคุรุเฒ่าผายมือ สาวิตรเดินไปนั่งตามที่ท่านบอก แวบแรกเขารู้สึกได้ถึงความร้อนความเย็นวิ่งวนสลับไปมาอยู่ในร่าง ก่อนที่จิตจะดิ่งลึก และความรู้สึกทั้งมวลก็ดับลง
ชายหนุ่มนั่งสมาธิไปนานเท่าไรมิอาจทราบได้ แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นท่านผู้เป็นที่เคารพทั้งสองนั่งรออยู่ไม่ไกลนัก
“ครานี้รูปลักษณ์เจ้าก็มิผิดกับเจ้ามิ่งคนเดิมแล้ว” ท่านพ่อขุนบางกลางหาวตรัสขึ้น “จิตใจเจ้าฮึกเหิมพอที่จะทำศึกขอมร่วมกับข้าฤาไม่”
สาวิตรลองทบทวนใจตัวเอง ความรู้สึกไม่แน่ใจ ความลังเลทั้งหลายที่เคยมีตลอดมาเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เวลานี้เขาปรารถนาที่จะเป็นขุนศึกคนหนึ่งในทัพพ่อขุนบางกลางหาว จับดาบขึ้นขับไล่ขอมร่วมกับพระองค์อย่างมิมีข้อแม้ใดๆ
“ครับ” เขาตอบไปเพียงนั้น ท่านพ่อขุนบางกลางหาวตรัสต่อว่า
“ข้าวิตกอยู่ว่าเจ้าจะลืมความมุ่งมั่นเป็นนักรบที่เจ้าเคยมี ข้าดีใจนักที่จิตใจเจ้ากลับมาเป็นเยี่ยงเดิม สาวิตร”
“ขอรับ” สาวิตรรับคำอีกครั้งแทนคำว่าครับ
พระองค์ท่านแย้มสรวล
“ดี จากนี้ เจ้าก็เดินทางไปบางยางร่วมกับข้าได้แล้ว”
“เอ้อ” สาวิตรอึกอัก “ผม เอ๊ย ข้าขอไปบ้านพ่อครูพันก่อน ได้ฤาไม่ขอรับ”
ผู้เป็นที่เคารพทั้งสองท่านต่างยิ้ม
“ห่วงใยแม่ปรางสินะ ข้าเข้าใจ” พ่อขุนบางกลางหาวตรัสขึ้น “ข้ามิขัดข้องดอกแลจักเดินทางไปส่งเจ้าเอง จักได้เยี่ยมพ่อครูพันสักหน่อย เห็นว่าเสียกำลังคนไปมากอยู่ แต่แม่ปรางปลอดภัยดี”
“ท่านทราบหรือขอรับ” สาวิตรถาม
“ข้าทราบทุกอย่างจากไอ้เดช ไอ้ริด แลไอ้เลื่อง หลังไอ้เดชออกจากบางยาง ท่านคุรุก็สั่งให้ข้าส่งไอ้ริดแลไอ้เลื่องตามไป เพื่อนำร่างไอ้มิ่งจากเรือนพ่อครูพันมาส่งข้าที่ชายป่า แล้วข้าก็นำร่างของมันมาให้ท่านคุรุที่นี่ เพื่อรอเวลาเจ้าคืนมา….เจ้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว แล้วเดินทางไปกับข้า”
ชายหนุ่มก้มลงมองตัวเองที่ยังคงสวมเสื้อยืด กางเกงยีนส์ แล้วคิดว่า ถ้าไปในสภาพนี้ ชาวบ้านชาวเมืองคงมารายล้อมด้วยเห็นเป็นของประหลาดอย่างแน่แท้
เขาจึงหยิบเสื้อผ้าที่ท่านคุรุเตรียมไว้ให้บนแคร่ ไปผลัดเปลี่ยนที่หลังกระท่อม การสวมใส่เสื้อผ้าต่างยุคดูจะไม่ถนัดอยู่บ้าง เพราะกาลผ่านไปนานจนไม่คุ้นชิน แต่ครู่เดียวชายหนุ่มก็ปรับตัวได้ เสียดายนักที่เรือนท่านคุรุไม่มีกระจกและไม่ได้พกโทรศัพท์มือถือติดมา มิเช่นนั้นก็คงได้มองเห็นตัวเอง และเซลฟี่รูปตัวเองตอนนี้ไปฝากใครในภพโน้นบ้าง ถ้าหากว่าได้กลับไป
โดยเฉพาะธิโมที เจ้าน้องชายผู้อยู่แดนไกล…นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ชายหนุ่มก็ยิ้มกับตัวเองเงียบๆ
…….
สาวิตรเดินตามหลังร่างสูงสง่าของพระองค์ท่าน และนายทหารผู้ติดตามไปจนถึงบ้านพ่อครูพัน บ้านที่เคยเห็นแต่ในความฝัน เมื่อได้มาเห็นในความจริง ดูเหมือนจะแตกต่างกันไม่น้อยทีเดียว
ที่แคร่หน้าบ้านนั้น พ่อครูพันนั่งในที่ประจำ เบื้องล่าง เดช ริด เลื่อง ไอ้คงรวมถึงปรางนั่งอยู่ แม้จะมองจากที่ไกลๆ สาวิตรก็เห็นได้ว่านางดูซูบลงจากที่เคยเห็นในฝันอย่างมากมาย
ความปิติท่วมท้นขึ้นมาในใจชายหนุ่ม เขาอยากวิ่งตรงไปหานางเสียในบัดนั้น ไม่อยากจะคิดเลย ว่าเขาจะได้เจอนางผู้เป็นที่รัก นางในความฝันที่มีเลือดเนื้อตัวตนจริงๆ แล้ว แต่ขณะนี้ ขณะที่เดินทางมาพร้อมกับพระองค์ท่าน เขาจึงต้องอดใจ มิอาจกระทำได้ดังปรารถนา
พ่อครูพันเหลือบมาเห็นพ่อขุนท่านกับคณะพอดี
“เชิญนั่งขอรับ” แล้วทำท่าจะลุกจากแคร่ไปนั่งกับพื้น แต่ท่านพ่อขุนห้ามไว้เสียก่อน
“มิต้องดอก นั่งกับข้าดีแล้ว พ่อครู”
“พ่อมิ่ง หายดีแล้วฤา” เดชที่หันมาเห็นสาวิตรทักขึ้น เขายิ้ม
“หายดีแล้วครับพี่เดช ขอบคุณพี่แลพี่ริด พี่เลื่องมากที่ช่วยข้าไว้”
เตชิน ฤทธีและเรืองชัยในภพก่อนอยู่กันครบ อ้อ รวมถึงคงกระพันและศาสตราจารย์วิรุฬห์ที่นั่งข้างๆ ท่านพ่อขุนด้วยสินะ
“มิเป็นไรดอก ข้ายินดี แลดีใจยิ่งที่เจ้าหายดีแล้ว” ริดพูดขึ้น
ปรางหันมาเห็นสาวิตร ดวงหน้างามที่ซูบลงไปถนัดใจมีน้ำตาหลั่งริน นางรีบลุกขึ้นมาหาชายหนุ่มที่ยังคงยืนอยู่
“พี่มิ่ง ข้ารอพี่อยู่นาน นึกว่าพี่จักจากข้าไปเสียแล้ว”
สาวิตรโผเข้ากอดร่างบางนั้นไว้แนบอก นางผู้เป็นนักรบเข้มแข็งร้องไห้กระซิก เขาอยากบอกนางเหลือเกินว่า ความจริง เขาได้จากนางไปแล้ว จากไปนานถึงเกือบ 800 ปี กว่าจะได้กลับมาพบกันเช่นนี้ ไม่อยากเชื่อ… ไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่า เขาจะได้มีโอกาสโอบร่างอุ่นๆ ของปรางไว้ในอ้อมกอด ร่างที่เคยจับต้องได้เพียงในความฝันเท่านั้น
“ข้ามิมีวันจากท่านไปไหนดอก” ..
“เอ้อ..” ปรางผลักร่างของสาวิตรออกเบาๆ อย่างเก้อเขิน เขานึกได้ทันทีว่า การกอดกันต่อหน้าคนอื่นๆ ในสมัยนั้น คงมิใช่เรื่องที่น่าชื่นชมนัก จึงปล่อยนางออกไปโดยดี
จริงอย่างที่คิดเสียด้วย...สายตาทุกคู่ มองเขาอย่างแปลกประหลาด จนชายหนุ่มต้องยิ้มแก้เก้อ โดยเฉพาะพ่อครูพัน ถึงกับจ้องเขม็ง ดีที่พ่อขุนบางกลางหาวท่านประทับอยู่ด้วย มิเช่นนั้น คงไม่รอดโดนด่าแน่ สาวิตรคิด
แล้วสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นปิ่นที่เดินมาทางข้างหลังกับนางแฟง สายตาของนางละห้อยนัก เขานึกถึงดวงตาของปรางนวลขึ้นมาทันที แล้วก็นึกสงสารขึ้นมาจับใจ แต่นั่น…นางแฟงยังมีชีวิตอยู่นี่ ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในสมองเดี๋ยวนั้น
ถ้าเขาช่วยนางแฟงให้รอดชีวิตได้ กรรมจากการฆ่าคงไม่เกิด ปรางนวลก็อาจฟื้นคืนจากการหมดสติได้ หรืออุบัติเหตุขณะที่ปรางนวลซ้อนบิ๊กไบค์เขาอาจไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้ เพราะที่ปรางนวลนอนเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่นี้ เกิดจากการที่ปิ่นทำลายชีวิตของบ่าวคนสนิทตามที่ได้รับรู้มา
ยามนี้ไม่ว่าภารกิจแห่งการกลับมาจะเป็นเช่นไร แต่สิ่งหนึ่งที่จะต้องทำให้ได้คือการช่วยชีวิตนางแฟง!!
เสียงของเดชดึงสาวิตรออกจากห้วงความคิด
“พ่อมิ่ง มานั่งนี่แล้วกินน้ำกินท่าเสียก่อนเถิด”
ชายหนุ่มจึงไปนั่งลงใกล้ๆ เดช ฝ่ายหลังพูดต่อว่า
“ข้าได้มาแจ้งกับพ่อครูพัน แม่แลย่าของข้าแล้วว่า มิประสงค์จะผูกมัดแม่ปรางต่อไปอีก ขอให้เจ้าแลแม่ปรางสบายใจได้”
พ่อครูพันพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์นักว่า
“การออกเรือนควรเป็นการตัดสินใจของผู้ใหญ่ หาใช่สิ่งที่พวกเจ้าควรจักกำหนดเอาเองตามใจไม่”
“พ่อ” ปรางร้องขึ้นเสียงดัง “สุขทุกข์เป็นของข้า ขอให้ข้าได้มีโอกาสเลือกเองเถิด”
“จริง ท่านอา” เดชพูดขึ้นบ้าง “เมื่อแม่ปรางมิผูกสมัครรักข้า ข้าก็เห็นสมควรจักกระทำตามใจของนาง เพราะตัวข้าเองก็มิปรารถนาจะต้องทุกข์ใจไปตลอดชีวิตเช่นกัน”
พ่อครูพันไม่ตอบ แต่สีหน้าบอกความอึดอัดขัดใจอย่างยิ่ง พ่อขุนบางกลางหาวจึงตรัสขึ้นว่า
“ไอ้เดช เอ็งมิต้องการออกเรือนกับแม่ปรางแน่นะ”
“ขอรับ”
“แล้วพ่อครูพันจะบังคับใจลูกสาวไปไยเล่า” พระองค์ท่านตรัสต่อ
“มันเป็นสัญญาระหว่างข้ากับพ่อของพ่อเดชขอรับ เราทั้งสองเป็นเพื่อนรักกัน แลหมายมั่นที่จะให้ลูกหลานเกี่ยวดองดูแลกัน ข้าเองก็เห็นมาตลอดว่าพ่อเดชจักดูแลแม่ปรางให้มีความสุขได้ขอรับ” พ่อครูพันตอบ
“อย่าหมายมั่นในคำสัญญาที่ผ่านไปแล้วเลยท่าน” ท่านพ่อขุนตรัส “คิดถึงใจของลูกหลานที่ยังอยู่ยามนี้จักถูกต้องสมควรกว่า… แม่ปราง เจ้าสมัครใจจะครองคู่กับไอ้มิ่ง ใช่ฤาไม่”
“เจ้าค่ะ” ปรางตอบแล้วก็ก้มหน้าด้วยความเอียงอาย
“ไอ้มิ่ง” พระองค์ท่านหันมาทางสาวิตร “เอ็งยินดีที่จักดูแลแม่ปรางไปจนชั่วชีวิตฤาไม่”
ชายหนุ่มลังเลเล็กน้อย เพราะสิ่งที่ท่านตรัสอาจจะหมายถึงว่า เขาไม่มีโอกาสกลับคืนสู่ภพที่จากมาอีกแล้ว แต่คิดไปแล้วก็ช่างมันเถอะ การได้อยู่กับปรางเป็นยอดปรารถนาของเขาตลอดมานับตั้งแต่ได้เจอนางในความฝัน หรือบางที เขาอาจจะพานางไปอยู่ด้วยกันในโลกอนาคตก็ได้นี่นะ..
“ไอ้มิ่ง” เสียงพระองค์ท่านเรียกขึ้นอีกครั้ง
“ข้ายินดีจักดูแลแม่ปรางตลอดไปขอรับ” เขารีบตอบ
“ดี ถ้าเช่นนั้นวันนี้ ข้าจักเป็นผู้ใหญ่ของไอ้มิ่งขอหมั้นหมายแม่ปรางให้กับมันเพราะมันก็มิได้มีญาติที่ไหนอีก เมื่อเสร็จศึกแล้ว ข้าจักมาจัดการทุกอย่างตามประเพณี ขอพ่อครูอย่าได้ปฏิเสธเลย ข้ารับรองให้ได้ว่าไอ้มิ่งมันเป็นคนดีพอจะดูแลแม่ปรางได้ตลอดไป”
ปรางหันมาส่งยิ้มอย่างมีความสุขให้สาวิตร เขากุมมือนางไว้ แต่นางรีบดึงออกด้วยความเขินอายต่อสายตาทุกคู่ที่อยู่รายรอบนั้น…การจับมือกันของหญิงชายต่อหน้าคนอื่นในยุคนั้นมันก็ไม่เหมาะสมอีก สาวิตรลืมคิดไป
“ถ้าท่านรับรอง ข้าก็มิอาจปฏิเสธดอก” พ่อครูพันว่า
“เป็นอันว่า เรื่องนี้ยุตินะพ่อครู แล้วที่ไอ้ขอมมันยกพวกมาฆ่าฟันคนของพ่อครูเล่า” พระองค์ท่านตรัสถาม
“เราสูญเสียคนไป 3 คน แต่พวกมันสูญเสียมากกว่า มิเป็นไรดอก กำลังใจของพวกเรายังคงดีอยู่” พ่อครูพันว่า
“ถ้าเช่นนั้น ขอให้ท่านรักษากำลังใจไว้ให้ได้เยี่ยงนี้ต่อไปเถิด อีกมินานดอก พวกมันจักมิมีกำลัง มีเขี้ยวเล็บมาฆ่าฟันเราอีก”
.....
ยามบ่าย ปิ่นนั่งร้อยมาลัยอยู่หน้าเรือน ดอกมะลิและดอกไม้อื่นๆ แข่งกันส่งกลิ่นหอมกรุ่นกระจายอยู่ในกระจาดที่รายล้อม นางแฟงกุลีกุจอช่วยนายสาวอยู่ไม่ห่างนัก ปิ่นคงกำลังเพลินกับงานตรงหน้า เพราะแม้สาวิตรเดินเข้าไปใกล้แล้ว นางก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเงยหน้าขึ้นมามองเขาแม้แต่น้อย
สาวิตรจึงลงนั่งใกล้ๆ แล้วส่งเสียงกระแอมเบาๆ ปิ่นเงยหน้าขึ้น
“เจ้าทำอันใดอยู่ฤา” เขาถาม
“มีตาก็ดูเอาสิท่าน นี่ยังไม่รู้ดอกรึว่าข้าทำอันใด” นางตอบ สาวิตรสะอึก คำทักทายของเขามันคงจะไม่เข้าท่าจริงๆ
“แม่แฟง” เขาหันไปบอกนางบ่าว “เจ้าช่วยไปไหนสักพักก่อนได้ฤาไม่ ข้าจักคุยกับแม่ปิ่นลำพังสักหน่อย”
นางแฟงขยับตัวลุกขึ้นแล้วเดินออกไปอย่างว่าง่าย
“ให้คนของข้าไปทำไม มีอันใดจักคุยกับข้า เดี๋ยวพี่ปรางมาเห็นเข้าดอก”
ปิ่นกล่าวขึ้น น้ำเสียงแง่งอนอย่างเห็นได้ชัด
โธ่เอ๋ย สาวิตรรำพึงในใจ นี่เขาจะเริ่มต้นคุยกับนางอย่างไรดีนะ เพียงเพื่อจะบอกให้รู้ว่า อย่าก่อกรรมอันใดกับนางแฟง บ่าวคู่ใจ เพราะมันจะส่งผลถึงชีวิตหน้าของตัวเอง ในภพของ “ปรางนวล”
“ข้ามีเรื่องคุยกับเจ้าที่มิอยากให้ผู้อื่นอยู่ด้วยแลเป็นห่วงเจ้า” เขากล่าวออกไป
“จักมาเป็นห่วงข้าไปไย ในเมื่อท่านสมหวังกับพี่ปรางแล้ว”
สาวิตรนิ่งไปครู่หนึ่งด้วยกำลังคิดหาถ้อยคำมาพูดกับนางต่อ เมื่อพิศดูดวงหน้างามอิ่มเอิบ แก้มใสเป็นสีชมพูเรื่อๆ ที่กำลังก้มหน้าก้มตาร้อยดอกไม้อยู่แล้วจึงพูดว่า
“เจ้าเป็นหญิงที่งดงามนัก”
นางเหลือบตาขึ้นมอง
“ใครๆ ก็บอกข้าเช่นนี้ จักมาบอกข้าด้วยเหตุอันใดอีก” ปิ่นว่า
“แต่จักงามมากขึ้น หากเจ้ามิเอาแต่ใจตัว แลชอบทำร้ายนางแฟง”
“พี่จักมาใส่ใจไปไย ในเมื่อนางแฟงเองก็มิเคยเห็นบ่นอันใดสักคำ”
“นางก็เป็นคนเหมือนเจ้านะ มีหัวใจ รู้จักเจ็บปวดเหมือนกัน มิว่าจักพูดฤามิพูด ได้โปรดให้ความเมตตาต่อนางเถิด”
“มาคุยกับข้าเพราะห่วงนางแฟงสินะ”
“ข้าเป็นห่วงเจ้าจริงๆ” สาวิตรว่า “เพราะกรรมทั้งหลายที่ผู้ใดทำ มันจักกลับมาเป็นของผู้นั้นทั้งสิ้น ทั้งกาลปัจจุบันแลอนาคต”
“พี่มิต้องมาสอนข้าดอก เมื่อข้าอยู่บางยาง ข้าไปฟังเทศน์ พระท่านก็สอนเยี่ยงนี้จนข้าจำขึ้นใจแล้ว ใครทำกรรมอันใดไวั ผู้นั้นย่อมได้รับผลกรรมนั้นทั้งกรรมดีแลกรรมชั่ว ข้าจักรับกรรมอันใด มันมิเกี่ยวกับท่าน”
สาวิตรแอบถอนใจ ทำไมอดีตของปรางนวลจึงได้ดื้อดึงมากมายขนาดนี้นะ เขาเริ่มจนใจ
“เอาเถิด ถ้าเจ้าสัญญาว่าจักดีกับนางแฟง มิดุด่าแลทำร้ายนาง ข้าจักมาคุยกับเจ้าบ่อยๆ”
วิธีนี้คงเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยให้ปิ่นไม่ทำกรรมจนส่งผลถึงปรางนวลในอนาคต สาวิตรตัดสินใจแล้วว่าตนเองจะทำเช่นนี้ แม้ว่าในใจนั้นมิได้นึกถึงนางเกินกว่าความเป็นน้องสาวเลย
ปิ่นเงยหน้าขึ้นมามอง ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมา แต่แววตานั้นบ่งบอกถึงความยินดีจนเห็นได้ชัด
“ข้าขอไปอาบน้ำก่อนนะ แล้วจักมาคุยกับเจ้าอีก” สาวิตรพูดแล้วก็ลุกเดินจากไป ทิ้งให้ปิ่นนั่งอิ่มเอมใจอยู่ตรงนั้น โดยไม่รู้ว่า ปรางเห็นและรับรู้เหตุการณ์ทั้งหมดจากที่นางยืนอยู่บนเรือนแล้ว
6 พ.ย.66
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น