บทที่ 27
นับตั้งแต่พ่อมิ่งมาขอคุยตามลำพังกับแม่ปิ่น ผู้เป็นนาย นางแฟงก็รู้สึกแปลกใจอยู่ครามครัน เพราะแม่ปิ่นคนเดิมซึ่งอารมณ์ร้าย เอาแต่ใจตัวเองไม่รู้หายไปไหน กลายเป็นแม่ปิ่นคนใหม่ที่พูดจาหวานหูกับนาง แถมใจดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนอีกด้วย วันนี้นายสาวแบกผ้าหอบใหญ่เอามาให้
“ข้าให้เจ้าหมดนี่ล่ะ นางแฟง งามไหม” ว่าพลางก็หยิบให้ดูทีละชิ้น นางแฟงมีหรือจะไม่ปลื้มปิติจนยิ้มแก้มเกือบแตก
“งามจริงเจ้าค่ะ” กล่าวอย่างดีใจยิ่งนัก
“ข้าเห็นผ้าของเจ้าเก่านัก เลยหามาให้ใหม่ ของเก่าของเจ้า เอามาเช็ดถูเรือนเสียเถิดนะ มิต้องนุ่งอีกดอก”
นางแฟงออกจะงวยงงอยู่บ้างในตอนแรก แต่ในที่สุดก็รู้สึกยินดี ที่นายสาวเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ทำให้นางแฟงที่แต่เดิมเก็บปากเก็บคำอยู่ตลอด กล้าที่จะพูดคุยตอบโต้กับปิ่น อย่างไม่หวาดเกรงจนหัวหดเช่นแต่ก่อน
และยิ่งวัน แม่ปิ่นก็ยิ่งดูงามเปล่งปลั่ง โดยเฉพาะเมื่อพ่อมิ่งแวะมานั่งใกล้ พูดคุยกับนาง ใบหน้าของนางจะสดใสเป็นสีชมพูเชียวละ ดูๆ นางจะงามเสียยิ่งกว่าแม่ปราง ผู้เป็นพี่สาวเสียอีก ทั้งที่คล้ายกันมากมายยิ่งนัก
พ่อมิ่งว่างเมื่อไร เห็นแวะมาพูดคุยกับแม่ปิ่นอยู่เรื่อย เห็นทีจะพอใจทั้งแม่ปรางและแม่ปิ่นเสียละกระมัง พี่กับน้องสงสัยคงได้ออกเรือนพร้อมกันละทีนี้ นางคิด
……..
ความสนิทสนมระหว่างคู่รักของนางกับปิ่น ผู้เป็นน้องสาว อยู่ในสายตาของปรางมาตลอด สาวิตรเองก็รู้ แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่ปรางจะปริปากต่อว่า หรือแสดงอาการอึดอัดขัดเคืองให้เห็น จนสาวิตรชักจะเป็นฝ่ายรู้สึกอึดอัดเสียเอง
ทำไมปรางไม่มีทีท่าโกรธขึ้งหึงหวงเอาเสียเลย นางคิดอะไรอยู่นะ
บ่ายวันนี้ สายลมพัดโชยเอื่อยเย็นกาย สาวิตรนั่งเคียงกับปรางที่ท่าน้ำ อากาศกำลังสบายท่ามกลางแสงแดดอ่อน แม้จะเป็นช่วงกลางวัน ทำให้สาวิตรอดคิดถึงบ้านเมืองที่เพิ่งจากมาเสียมิได้ เมืองไทยที่ฤทธีกับเรืองชัย บอกว่า ตอนนี้เหลืออยู่แค่สองฤดู..
“ร้อนกับร้อนฉิบหาย” เรืองชัยว่า
“เหรอวะ” ฤทธีตอบ “ถ้าจะร้อนทารุณโหดร้ายขนาดนี้ทั้งปี มันร้อนฉิบหายฤดูเดียวแล้วล่ะเอ็ง”
สองพี่น้องคู่หูและคนอื่นๆ ป่านนี้จะเป็นอย่างไรกันบ้างหนอ จะบอกพวกเขาได้อย่างไร ว่าถึงแม้จะมาที่นี่ได้ไม่นาน แต่สาวิตรก็ไม่คิดกลับไปยังโลกที่จากมาอีกแล้ว เพราะโลกที่กำลังอยู่ตอนนี้ ถึงไม่มีความสะดวกสบายอะไรอย่างยุคใหม่ ค่ำลงก็มืดสนิท ไม่มีไฟฟ้าส่องทาง มีแต่แสงจันทร์กับแสงดาว ไม่มีที่ท่องราตรี ไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีโซเชียล ฯลฯ
แต่ที่นี่มีความสงบสุขเย็นใจอย่างประหลาด และมีปราง นางในฝันผู้กลายมาเป็นความจริงอยู่เคียงกาย สาวิตรเหลือบตามองคนนั่งข้างๆ แวบหนึ่ง สีหน้าของนางที่กำลังมองไปเบื้องหน้าเปล่งประกายแห่งความสุข จนเขารู้สึกได้
ในภพที่จากมานั้น ชายหนุ่มไม่มีห่วงอันใดเลย แม่กับพ่อก็จากไปแล้ว ที่เหลือคือธิโมที นาถนพิน อาพสิฐและยุพเยาว์ ซึ่งก็คงอยู่กันได้ตามปกติ แม้ไม่มีเขา ที่เป็นห่วงก็คือ จะหาทางบอกทุกคนให้ทราบได้อย่างไรเท่านั้น
และโดยเฉพาะ ศาสตราจารย์วิรุฬห์ สาวิตรอยากขอโทษเป็นพิเศษที่มิอาจช่วยงานค้นคว้าของผู้สูงวัยกว่าให้ลุล่วงได้
“พี่มิ่ง เหตุอันใดจึงเงียบไป” เสียงของปรางดึงสาวิตรออกจากภวังค์
“ข้าคิดอะไรเพลินอยู่” เขาตอบ
“บอกข้าได้ไหม ท่านคิดถึงสิ่งใด” นางถาม
“ข้าคิดถึงบ้าน”
บ้านที่ไม่ใช่บ้านในภพของมิ่ง หากเป็นบ้านที่ไกลออกไปเกือบ 800 ปี และมิใช่การห่วงหาอาลัย แค่เพียงหวนคิดถึง แต่เขาก็บอกกับนางได้เพียงนั้น
“ข้าเข้าใจ ความคิดถึงมันเป็นทุกข์ร้อนยิ่งนัก เหมือนกับที่ข้าคิดถึงท่าน แลไม่คิดว่าท่านจะได้คืนมาอีก” นางว่า
“ข้าเป็นประหนึ่งดวงอาทิตย์สำหรับท่านอย่างไรเล่า ถึงลับฟ้าไป ก็เพียงชั่วราตรี ที่สุดก็ได้กลับคืนมาพบท่านอีก ท่านชอบแสงอาทิตย์มากกว่าแสงจันทร์มิใช่ฤา”
นางยิ้ม สาวิตรอยากบอกนักว่าชื่อของเขา “สาวิตร” แปลว่าดวงอาทิตย์
“ท่านเป็นดวงอาทิตย์ของข้าจริงๆ ข้าอุ่นใจนัก เมื่ออยู่เคียงท่าน”
ชายหนุ่มกุมมือของนางไว้ มือแบบบางที่แทบไม่น่าเชื่อว่านี่คือมือของนักรบผู้เก่งกาจ จับอาวุธฟาดฟันศัตรูอย่างไม่เคยหวั่น
“ข้าก็มีความสุขยิ่งนักเมื่ออยู่กับท่านเช่นกัน” พร้อมกับยกมือนั้นขึ้นจุมพิต และเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตางามคู่นั้น
นางเขินจนต้องหลบสายตา
วันนี้ เวลานี้ สาวิตรมีความสุขล้นใจ ปรางก็เช่นกัน วันข้างหน้าในสงคราม ทั้งสองคนจะมีชีวิตรอดกลับมาหรือไม่ ก็ช่างมันเถิด ขอเพียงกาลปัจจุบันนี้ มีกันและกันอยู่ก็เพียงพอแล้ว
“ข้ามีเรื่องขอร้องท่านเรื่องหนึ่ง พี่มิ่ง”
“อันใดฤา หากแม้นมิใช่เหาะขึ้นไปเกี่ยวเอาดวงอาทิตย์ลงมาวางเบื้องหน้าให้ ข้าทำให้ได้ทั้งสิ้น” สาวิตรว่า
ปรางยิ้มขำในคำพูดของชายหนุ่ม
“มิใช่เช่นนั้นดอก” นางเว้นระยะนิดหนึ่ง “ข้าเพียงจักขอให้แม่ปิ่นได้ออกเรือนกับท่านด้วย”
ชายหนุ่มตกใจ ถึงแม้ปรางจะเคยเปรยเรื่องนี้มาบ้างแล้วกับมิ่งและเขารับรู้อยู่ก็ตาม
“เหตุอันใด ท่านจึงยังขอเยี่ยงนี้อีก”
“ข้ารู้ว่าน้องข้าก็ชอบพอท่าน เพลานี้ท่านก็ไยดีกับนางอยู่มิใช่ฤา หากท่านเอ่ยขอแม่ปิ่นอีกคนกับพ่อ ข้าว่าพ่อคงมิขัดข้อง”
โธ่เอ๋ย ปราง จะบอกได้อย่างไรนะ ว่าที่เขายอมเข้าไปใกล้ชิดสนิทสนมกับปิ่นนั้นก็ด้วยเหตุผลเดียว…หาทางช่วยให้นางไม่ก่อกรรมหนักกับนางบ่าว จนต้องไปชดใช้อย่างแสนสาหัสในภพของปรางนวลเท่านั้น..
“มิได้ดอก ข้ารักท่านเพียงผู้เดียว แลจักออกเรือนกับท่านเพียงผู้เดียว ที่ข้าไปใกล้ชิดกับแม่ปิ่นนั้น เพราะ เอ้อ เพราะข้าเริ่มรู้สึกเอ็นดูนางดุจน้องสาวเท่านั้น” สาวิตรตอบได้เพียงนี้
“ข้ามีน้องสาวคนเดียว แม่ฝากข้าไว้ให้ดูแลนาง ถึงนางจักดื้อรั้นเอาแต่ใจไปบ้าง แต่ข้าเชื่อว่านางจักยอมให้ท่านดูแล แลนางจักดีขึ้นหากได้อยู่กับท่านด้วย เพลานี้เมื่อท่านไปใกล้ชิดนาง นางยังเปลี่ยนไปได้มากมายจนพ่อยังออกปาก”
นี่แม่ปรางใจคอจะไม่หึงหวงบ้างสักนิดเชียวหรือ..เฮ้อ สาวิตรแอบถอนใจ
ชายหนุ่มอยากบอกนางเหลือเกินว่า ในยุคสมัยของเขานั้น การแต่งงานครองคู่เป็นแบบผัวเดียวเมียเดียวแล้ว ถ้าชายใดจะมีนางเล็กๆ บ้างก็อาจทำได้ แต่มิใช่สิ่งที่สังคมยอมรับ และที่สำคัญ เขาไม่ได้คิดกับแม่ปิ่นในเชิงคู่รักเลย
ชายหนุ่มจับไหล่บางของปรางไว้ แล้วบอกนางว่า “ข้าคงต้องขัดใจท่าน ข้าขอย้ำว่า ข้ารักท่านแลจักอยู่กับท่านเพียงผู้เดียวเท่านั้น เหตุอันใดเล่า จึงต้องให้ข้ามีเมียอื่นด้วย พ่อครูพันก็มีแม่ท่านเพียงผู้เดียวมิใช่ฤา”
“มิใช่เช่นนั้นดอก ก่อนพ่อมีแม่ข้า พ่อเคยมีลูกชายสองคน บัดนี้พี่ข้าทั้งสองไปอยู่บางยางนานแล้ว พอแม่ของพี่ข้าสิ้นตอนที่พี่ทั้งสองยังน้อย พ่อก็ออกเรือนกับแม่ แลมีเมียอีกหลายคน แต่แม่ปิ่นมิถูกใจนางเหล่านั้น จนแทบไม่มีใครอยู่กับพ่อได้ พอย้ายเรือนมาอยู่ที่นี่ จึงมิมีใครติดตามพ่อมาด้วย”
สาวิตรฟังแล้วก็ร้องอ้อในใจ จะเอาสังคมยุคนี้ไปเปรียบกับยุคของเขามิได้แล้ว ถ้าอย่างนั้น
“ข้าขอยืนยันอีกครั้ง จักเพลานี้หรืออีก 800 ปีข้างหน้า ข้าก็รักท่านเพียงผู้เดียวเท่านั้น”
แม้จะงวยงงกับคำพูดของชายคนรักอยู่บ้าง แต่ในใจลึกๆ นั้นปรางรู้สึกปลื้มปริ่มยิ่งนักเมื่อได้ฟัง จะหาที่ไหนได้กัน คนรักที่มีใจให้นางเพียงผู้เดียว…
แต่แล้วการสนทนาก็ถูกขัดจังหวะ เพราะเสียงที่ดังขึ้นเบื้องหลัง
“พ่อมิ่ง แม่ปราง ป้าขาบฝากให้ข้านำผลไม้นี้มาให้ท่าน”
นางแฟงนั่นเอง สาวิตรหันไปรับถาดผลไม้ที่ปอกและหั่นเรียบร้อยแล้วจากนาง ก่อนที่จะกล่าวสั้นๆ “ขอบใจมาก”
……
เมื่อลับตาจากคู่รักทั้งสอง นางแฟงมานั่งจับเจ่าอยู่คนเดียว พลางนึกถึงคำพูดที่ไปแอบได้ยินมา “ข้ารักท่านแต่เพียงผู้เดียว”
นี่มันแปลว่าอะไร แปลว่าแม่ปิ่นถูกหลอกหรือ พ่อมิ่งมิได้สนใจไยดีแม่ปิ่นจริง ห่วงหาอาทรอยู่แต่แม่ปรางผู้เดียว แล้วที่มาคอยเทียวไล้เทียวขื่อหาแม่ปิ่นทุกวี่ทุกวันนี่ละ มันหมายความว่าอย่างไรกัน
นึกแล้ว นางแฟงก็นึกโกรธแทนนายสาวที่บัดนี้ เมตตาปรานีกับนางมากมาย… ไม่ได้แล้ว นางต้องหาทางบอกแม่ปิ่นให้รู้ตัว ก่อนที่จะต้องเสียใจเพราะชายผู้ลวงหลอกมากไปกว่านี้
วันรุ่งขึ้น นางแฟงก็ไปนั่งช่วยแม่ปิ่นร้อยดอกไม้ที่ชานเรือนเหมือนที่เคยทำมา พร้อมกับคอยชำเลืองมองนายสาว และเหลียวซ้ายแลขวา รอเวลาปลอดคน เพื่อที่จะบอกเรื่องสำคัญให้ได้รับรู้
ในที่สุดเวลาที่รอคอยก็มาถึง เมื่อบนเรือนไม่มีใครอีกแล้ว นอกจากนางกับแม่ปิ่นเพียงสองคน
“แม่ปิ่น ข้ามีเรื่องจักบอกท่าน”
ปิ่นเงยหน้าขึ้นจากงานที่กำลังทำ
“มีอันใดฤา”
“ข้าไปแอบได้ยินพ่อมิ่งคุยกับแม่ปรางมา พ่อมิ่งพูดว่า พ่อรักแต่แม่ปรางเพียงผู้เดียว แลจักมิมีวันออกเรือนกับท่านแน่นอน”
ปิ่นชะงัก ดวงหน้าสดใสรื่นเริงเมื่อครู่กลายเป็นสลด แล้วที่สุดก็เห็นชัดว่าโกรธจัด
“เอ็งไปได้ยินมาจากที่ใดกัน”
“ท่าน้ำเจ้าค่ะ”
“ไม่จริง เอ็งโกหก” นางว่า “เพลานี้ พี่มิ่งเขาเปลี่ยนไปแล้ว เขารักข้า ได้ยินไหม เขารักข้า สันดานของเอ็งต่างหาก ที่ไม่อยากเห็นข้ามีความสุข ข้ารู้ดอก เอ็งเกลียดข้า มิพอใจข้ามานานแล้ว” พูดแล้วก็ลุกขึ้นมาฉุดร่างของนางแฟงให้ลุกขึ้นยืน
“พูดมา เอ็งโกหกทำไม” นางขู่
นางแฟงหน้าถอดสีและตกใจสุดขีด พยายามดิ้นรนจากมือที่เกาะกุมแขนไว้มั่น แม่ปิ่นคนเก่ากลับมาอีกแล้ว
“ข้ามิได้โกหก ข้าเป็นห่วงท่าน”
แม่ปิ่นมิฟังเสียง มือของนางฟาดมาที่หน้าของนางแฟงเต็มๆ...เจ็บจนชา นางแฟงดิ้นหลุดและพยายามหนีลงจากเรือน แต่แม่ปิ่นคว้าเอาไว้ได้ทันแล้วตบซ้ำอีกทีอย่างสุดแรงเกิด ร่างของนางแฟงกลิ้งหลุนๆ ตกบันได หัวไปฟาดกับโอ่งน้ำข้างบันไดจนสลบเหมือด เลือดไหลซึมออกมาจากแผลที่ศีรษะ รวมทั้งปากและจมูก
เสียงที่ดังเอะอะทำให้ทุกคนมาที่บันไดเรือน พ่อครูพันสั่งการให้คนรีบพยาบาลนางแฟง ขณะที่ปรางโผเข้าโอบกอดร่างน้องสาวที่ตอนนี้กำลังยืนตัวสั่นร้องไห้กระซิก
“ข้ามิได้ตั้งใจ มิได้ตั้งใจจริงๆ” ปิ่นได้แต่พร่ำคำนี้ออกมา
สาวิตรที่ตามมาเห็นภาพได้แต่รำพึงในอกด้วยความเศร้าใจ
“โธ่ เข็ม พี่พยายามแล้ว แต่พี่ช่วยเข็มไม่ได้จริงๆ” เขาก้มหน้าและถอนหายใจหนักหน่วง
ความเสียใจที่ไม่อาจช่วยให้ปรางนวลพ้นวิบากกรรมตัวเองจนเป็น “เจ้าหญิงนิทรา” ทำให้คืนนั้นสาวิตรไม่อาจข่มตาหลับลง จนใกล้สว่าง เสียงไก่ขันเจื้อยแจ้วอยู่ภายนอก สาวิตรจึงเคลิ้มหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย….แล้วก็ได้เห็นท่านคุรุเฒ่าปรากฏกายในความฝัน
“เจ้าเสียใจมากนักฤา” ท่านพูดขึ้น
“ขอรับ” สาวิตรตอบ
“อย่าเศร้าเสียใจอันใดไปเลย ขอให้รับรู้ไว้เถิด การมาของเจ้าครั้งนี้ เพียงเพื่อมารู้ มาดู แลทำหน้าที่ของเจ้าให้สมบูรณ์ มิได้มีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงเหตุการณ์อันใดทั้งสิ้น แลการณ์ใดที่เจ้าได้ล่วงรู้แล้วจากอนาคต ก็มิพึงบอกแก่ผู้ใดในภพนี้โดยมิจำเป็น ด้วยมันอาจทำให้เหตุการณ์ทั้งหลายคลาดเคลื่อนไป อย่างที่มิควรจักเกิดจำคำข้าไว้นะเจ้า”
“ขอรับ” สาวิตรรับคำสั้นๆ ก่อนที่ภาพของท่านจะเลือนหายไป
…..
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา นางแฟงก็ไม่ฟื้นคืนสติอีกเลยและในที่สุดก็สิ้นลมหายใจไป พ่อครูพันเรียกพ่อกับแม่ของนางมาพบ ให้แม่ปิ่นกราบขอขมาเสีย และมอบค่าทำขวัญให้ตามสมควร ทั้งสองคนไม่เอาเรื่องเอาราวอันใด ด้วยถือว่าเป็นกรรมของลูกสาวตนเอง ที่สำคัญพ่อครูพันมีบุญคุณกับคนทั้งสองมากมาย เกินกว่าที่จะเอาผิดอันใดกับแม่ปิ่นได้
“เจ้าก็เห็นแล้วใช่ไหม แม่ปิ่น” พ่อครูพันสอนลูกสาว เมื่อพ่อแม่ของนางแฟงลากลับไปแล้ว “ว่าการเอาแต่ใจตน หุนหันพลันแล่น มิมีความยั้งคิด ทำให้เจ้าเองต้องเสียใจเพียงใด แลทำให้ผู้อื่นทุกข์ร้อนเพียงไหน นับแต่นี้ขอให้เจ้าเปลี่ยนแปลงตัวเองเสีย เป็นคนใหม่ที่มิเอาแต่อารมณ์ คิดก่อนพูดก่อนทำนะลูก เจ้าจักได้มิผิดพลาดอีก”
ปิ่นน้ำตาร่วงก่อนจะก้มลงกราบเท้าผู้เป็นพ่อ ซึ่งลูบศีรษะลูกสาวคนเล็กอย่างเมตตาและรักใคร่
…..
พ่อครูพันอพยพครอบครัวและลูกศิษย์เข้าเมืองบางยาง เพื่อเข้าร่วมกองทัพพ่อขุนบางกลางหาว เช่นเดียวกับพ่อครูอิน ทิม เพ็งและศิษย์ในสำนักทุกคน เวลานี้การทำศึกเพื่อขับไล่ขอมออกจากแผ่นดินของทัพพ่อขุนบางกลางหาวและพ่อขุนผาเมืองใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว
สาวิตร ปราง เดช ริด เลื่อง ทิมและเพ็งได้รับแต่งตั้งให้เป็นองครักษ์ของพ่อขุนบางกลางหาว ร่วมกับนักดาบฝีมือดีทั้งหญิงและชายอีกจำนวนหนึ่ง ทุกคนมาประจำการอยู่ภายในคุ้มของพระองค์ท่านโดยสม่ำเสมอ
วันหนึ่งขณะที่ทุกคนอยู่ที่บริเวณหน้าคุ้ม บุรุษผู้มีสง่าราศีและดูองอาจเดินทางมาพร้อมกับผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง ทหารเก่าของพ่อขุนบางกลางหาวคนหนึ่งแลเห็นจึงออกมาต้อนรับและเชิญให้ขึ้นไปบนคุ้ม แต่เพียงครู่เดียว นายทหารผู้นั้นก็มาตามตัวสาวิตร
“เจ้ามิ่ง”
“ขอรับ” สาวิตรรีบตอบ
“ท่านพ่อขุนสั่งให้เจ้าไปนั่งคอยอยู่แถวบันได รอจนกว่าท่านจักเรียกเจ้าเข้าไปพบ”
สาวิตรทำตามอย่างว่าง่าย เวลาผ่านไปนานมาก แต่สาวิตรก็ยังคงนั่งคอยอยู่ตามคำสั่ง ในที่สุด เขาก็เห็นผู้ติดตามบุรุษผู้มาเยือน และอำมาตย์ชั้นผู้ใหญ่ของท่านพ่อขุนสามท่านที่ถูกเรียกตัวเข้าประชุมด้วยเดินลงบันไดไป
“ไอ้มิ่ง ขึ้นมานี่เถิด” เสียงพ่อขุนบางกลางหาวออกมาตรัสเรียก หลังจากเวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่ง
สาวิตรเดินขึ้นบันไดไปตามคำสั่ง เวลานี้บนเรือนมีแต่พ่อขุนบางกลางหาว ตัวเขาและบุรุษท่าทางองอาจผู้มาเยือนเพียงสามคนเท่านั้น
ชายหนุ่มนั่งลงกับพื้น หน้าตั่งที่พ่อขุนบางกลางหาวกับพระสหายท่านนั้นประทับนั่งอยู่
“ท่านผู้นี้คือพ่อขุนผาเมือง สหายแห่งข้า ที่จักนำทัพสู้รบกับขอมร่วมกัน” พ่อขุนบางกลางหาวแนะนำเขาให้รู้จักกับท่านผู้มาใหม่
ชายหนุ่มตกตะลึง นี่เขาได้พบท่านผู้มีความสำคัญในประวัติศาสตร์อีกท่านหนึ่งแล้วหรือ พ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด ผู้ที่เขาเคยอ่านพบในหนังสือและเว็บไซต์ มาบัดนี้ ท่านผู้นี้มีชีวิต มีเลือดเนื้อ และมาประทับอยู่เบื้องหน้าเขาแล้วจริงๆ
“เหตุอันใดจึงนั่งเงียบเช่นนี้เล่าเจ้า” ท่านพ่อขุนผาเมืองทักขึ้น “สหายข้าบอกว่าเจ้ามาจากอนาคตกาลใช่ฤาไม่”
“เอ้อ ขอรับ ข้ามาจากห้วงเพลาอีกเกือบ 800 ปีนับจากนี้ ที่ข้านิ่งอยู่เพราะมินึกเลยว่าจักมีโอกาสได้พบกับท่านด้วย”
ท่านพ่อขุนผาเมืองแย้มสรวล “ตระหนกกระนั้นฤา”
“หามิได้ ข้าดีใจมากต่างหากที่ได้พบท่าน” กล่าวแล้วก็ขยับตัวไปกราบลง ณ เบื้องหน้า เมื่อเงยหน้าขึ้น พระองค์ท่านก็ตรัสว่า
“เจ้ามีสัมมาคารวะดี ข้ามีเรื่องขอถามเจ้าสักหน่อย ในเมื่อเจ้าเป็นผู้ที่มาจากอนาคต ก็หมายความว่า เจ้าย่อมล่วงรู้การณ์ทั้งหลายที่ผ่านมา”
“ขอรับ”
“ความรู้ของเจ้าคงเป็นประโยชน์แก่การศึกของพวกข้า เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าว่า กลศึกที่ฝ่ายขอมจักใช้ในการรบกับฝ่ายเราเป็นเยี่ยงไร”
สาวิตรพยายามนึกถึงหนังสือหลายเล่มและเว็บไซต์หลายเว็บที่เข้าไปศึกษา ไม่มีแหล่งข้อมูลไหนเลยที่จะบอกเรื่องราวนี้เอาไว้
“ข้าขอกล่าวตามจริง เรื่องนี้มิมีบันทึกไว้ให้คนในยุคของข้าได้รู้เลย ยุคของท่านมีศิลาจารึกบอกกล่าวเรื่องราวบางเรื่องไว้ แต่กลศึกที่ท่านถามมิได้มีในจารึกเลย อาจจักมีบันทึกไว้แต่สูญหาย ฤาเช่นไร ข้าก็มิอาจรู้ได้จริงๆ”
“เสียดายนัก” ท่านพ่อขุนผาเมืองถามต่อ “แล้วการศึก ข้าทั้งสองคนมีชัยชนะต่อขอมฤาไม่”
คำของท่านคุรุเฒ่าดังขึ้นมาในห้วงสำนึกของสาวิตร ชายหนุ่มจึงตอบไปว่า “ท่านคุรุเฒ่าขอให้ข้าปล่อยเรื่องราวของภพนี้ให้เป็นไปเองขอรับ”
“หมายความว่า เจ้าบอกข้ามิได้”
“ขอรับ”
พ่อขุนผาเมืองทรงนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงตรัสต่อ “ถ้าเช่นนั้น ข้าจักมิถามเจ้าเรื่องนี้ หากถามเรื่องอื่น เจ้าคงตอบได้นะ”
“หากข้ารู้ ข้ายินดีขอรับ”
“เช่นนั้นตอบข้ามา เผ่าไทเราในยุคของเจ้าเป็นเยี่ยงไร”
“ในยุคของข้า เผ่าไทเรามีจำนวนมากกว่าบัดนี้ กล่าวกันว่ามี 70 ล้านคน อยู่บนแผ่นดินที่รวมหลายเมืองเข้าด้วยกันเรียกว่าประเทศ แม้นจะกว้างขวางกว่าบัดนี้ แต่หากเทียบประเทศเรากับแผ่นดินของชนอื่นๆ แล้ว ประเทศของเผ่าไทยังนับเป็นแผ่นดินเล็กมากนัก”
“กระนั้นฤา ชนเผ่าอื่นที่เจ้าว่ามีเผ่าใดกันบ้าง”
การตอบคำถามที่มาจากคนต่างยุค ต่างประสบการณ์ มิใช่เรื่องง่ายเลย สาวิตรค่อยๆ เรียบเรียงความคิดแล้วจึงตอบไปว่า
“ครานั้น แผ่นดินที่เราทั้งหลายอยู่กว้างขึ้น ด้วยเราได้รู้จักชนเผ่าอื่นๆ อีกมากมาย ที่มีรูปลักษณ์ผิดแผกจากเรา ทั้งผิวขาว ตาสีฟ้า ผิวดำสนิท หากแผ่นดินก็เสมือนแคบลงด้วยเราติดต่อกันได้ง่าย โดยพาหนะที่มีทั้งรถแลเรือเหาะ หากมิเดินทางไปพบปะกัน ก็ยังพูดแลเห็นหน้ากันได้โดย…”
ชายหนุ่มหยุดคิดว่าจะอธิบายคำว่าโทรศัพท์มือถือได้อย่างไร รู้อย่างนี้เอาติดตัวข้ามภพมาก็ดีหรอก แต่นั่นแหละ หากเอามามันมีสัญญาณหรือไฟให้ชาร์จซะที่ไหน ที่สุดก็ใช้คำที่พ่อขุนบางกลางหาวเคยใช้
“แผ่นสี่เหลี่ยม…เอ้อ ที่เป็นคล้ายของวิเศษ ให้คนที่อยู่ไกลกัน ยินเสียงแลเห็นหน้ากันได้ บันทึกภาพแลเสียงให้อยู่ในนั้น แล้วชมแลฟังทีหลังก็ได้ แลยังทำได้อีกหลายสิ่งขอรับ”
สาวิตรต้องขอจบแค่นั้น เพราะมิรู้จะอธิบายเช่นไรให้ผู้ฟังเข้าใจได้
“ข้านึกถึงมันมิออกดอก แต่ว่าบ้านเมืองของเจ้าคงมีของวิเศษมากมาย แลสุขสบายนัก ใช่ฤาไม่”
“ข้าว่า หากคนเมืองนี้ได้ไปอยู่ในยุคของข้า เขาอาจนึกว่าได้อยู่สวรรค์ขอรับ ความสุขความสบายกายหาได้มิยาก หากความสงบ ความสุขใจหาได้ยากกว่า” เขาตอบ
สาวิตรไม่อยากบอกเลย ว่าโลกที่เขาจากมา คุณค่าทางใจมันสำคัญน้อยกว่าคุณค่าทางวัตถุไปเสียแล้ว คนจำนวนไม่น้อยวางลาภ ยศ สุข สรรเสริญ ไว้เป็นเป้าหมายชีวิต และเชื่อว่าทุกคนต่างมีเป้าหมายนี้เหมือนกัน เขาเหล่านั้นแทบไม่ยอมเชื่อเลยว่าคนทำดีเพื่อความดีแท้ๆ ยังมีอยู่จริง…
ทุกสิ่งที่ทุกคนทำ ล้วนแต่เป็นไปเพื่อชื่อเสียง ความสำเร็จ เงินทองทรัพย์สิน เป็นโปรแกรมสำเร็จรูปทางความคิดสำหรับคนจำนวนหนึ่ง เรียกว่ามากมายทีเดียว
จนคนที่ทำดีเพื่อความดีอาจถูกสาดสีว่าลวงโลกก็ได้
แม้แต่ท่านก็เถอะ ไม่ขอบอกหรอก ว่าการที่ท่านยอมสละสิทธิ์อันชอบธรรมในตำแหน่งกษัตริย์ให้แก่พ่อขุนบางกลางหาว ในอนาคตของอดีตอันใกล้นี้ ยังมีใครบางคนแห่งยุคที่จากมา บอกว่าเพียงเพราะท่านหวังในยศตำแหน่งและแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่กว่า มิใช่การเสียสละ เพื่อให้ชนเผ่าไทพ้นจากอุ้งบาทของต่างชาติอย่างเด็ดขาดเลยแม้แต่น้อย!!!
15 พ.ย.66
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น