บทที่ 16
เช้าวันหยุดสุดสัปดาห์มาถึง สาวิตร ปรางนวล และนาถนพินมุ่งหน้าสู่หัวหิน โดยสาวิตรเป็นคนขับรถ ปรางนวลนั่งเคียงข้าง ส่วนนาถนพินนั่งด้านหลัง เธอบ่นระบายเรื่องงาน แทบจะตั้งแต่ขึ้นรถของปรางนวล ที่ขับมารับสาวิตรกับนาถนพินถึงบ้าน
“ตั้งแต่เจ๊วี กรรมการผู้จัดการคนใหม่มานี่ พวกหนูนี่ทำงานยังกะไถนาเลยค่ะ พี่เข็ม” นาถนพินว่า
“ยังไงหรือ” ปรางนวลถามกลับ ในใจนั้นทำใจได้แล้วที่ทริปนี้จะมีบุคคลที่สามอย่างนาถนพินร่วมทางไปด้วย อย่างน้อยเธอก็มีศักดิ์เป็นน้องสาวิตร ทำความคุ้นเคยกันไว้ก็ดี เพราะวันข้างหน้าคงต้องเกี่ยวดองเป็นญาติกันค่อนข้างแน่
“แกหายใจเป็นงานน่ะค่ะ ทุกเวลานาทีเป็นงานไปหมด ไม่มีเว้น ตอนเที่ยงพักทานข้าว เพื่อนหนูที่เป็นเลขาแกตักข้าวเข้าปากได้แค่ 2 ช้อน แกโทรมาตามงานละ หนูก็เหมือนกัน ตอนเลิกงาน บางทีหนูขับรถออกจากออฟฟิศแล้ว แกโทรมาสั่งงานเสียนี่ หนูอยู่กลางถนน ต้องค่อยๆ หาที่จอด แล้วโน้ตตามที่แกบอก เพราะแกสั่งทีน่ะ เป็นขบวนเลยค่ะ ไม่ใช่เรื่องเดียว ตั้งมืดตั้งดึกแล้ว เราจะติดต่องานกับใครก็ไม่ได้แล้ว จริงๆ จะส่งเมล์หรือไลน์มาก็ได้ แต่แกไม่ยอม ต้องเดี๋ยวนั้น” นาถนพินว่า
“ที่พีคกว่านั้นนะคะ เพื่อนหนูอีกคนทำงานจนต้องไปนอนให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล แกก็โทรมาจิกเสียนี่ ทำนองสำออย ยังไงยังงั้นเลยค่ะ แหม แค่นี้ต้องเข้าโรงพยาบาลด้วย โธ่ ก็พวกหนูไม่ได้เงินเดือนเป็นแสนๆ นี่คะ จะได้มีตังค์ซื้อโสม ซื้อถั่งเช่ากิน แล้วทำงานเป็นควายเหล็กได้อย่างแก”
สาวิตรกับปรางนวลหัวเราะในความช่างเปรียบ ช่างเสียดสีของนาถนพิน
“ถ้าอย่างนี้ก็น่าลาออกแล้วหางานใหม่นะ อยู่ไปนานๆ เดี๋ยวค่ารักษาตัวจะแพงกว่าเงินเดือนเรา” ปรางนวลว่า
“หนูก็คิดอยู่นะคะ แต่เสียดายเพื่อนร่วมงานน่ะค่ะ คือทุกคนรักกันดี ช่วยกันทำงาน ไม่เคยมีการขัดขากัน บรรยากาศการทำงานน่ะดี แต่เจ้านายน่ะตรงข้าม” นาถนพินว่า
“เพื่อนๆ แก๊งนี้ของพินน่ะมาบ้านบ่อย มีทั้งหญิงทั้งชาย ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงานนะ เพื่อนเที่ยวด้วย วันหยุดก็ชอบขี่บิ๊กไบค์ไปออกทริปกัน เห็นหน้าตาเรียบร้อยแบบพินนี้ ห้าวนะ ขอบอก” สาวิตรบอกเชมิสรา
“ตอนนี้เพื่อนๆ ไปไหนหมดล่ะ” สาวิตรถามนาถนพิน
“ต่างคนต่างยุ่งน่ะค่ะ วันหยุดก็ยังมีธุระกันอยู่ บางคนก็ต้องเข้าออฟฟิศ งานเยอะมาก" นาถนพินว่า
“เอ๊ะ พินขี่บิ๊กไบค์ได้ด้วยเหรอ พี่ก็อยากขี่มั่งจัง แต่ขอเป็นคนซ้อนนะ ขับไม่เป็น” ปรางนวลว่า
“พี่เข็มขี่เลยค่ะ ให้พี่วิตรขับให้ เพราะเขายืมรถหนูไปขี่ประจำอยู่แล้ว” นาถนพินว่า
“ให้เข็มเป็นเด็กสก๊อยของพี่วิตรได้ไหมคะ” ปรางนวลหันไปถามสาวิตร
“ได้เลยครับ พี่จะเป็นเด็กแว้นให้ วันไหนว่างๆ เดี๋ยวเรานัดกัน” ปรางนวลและนาถนพินหัวเราะ
บ่ายวันนั้น ปรางนวลกับนาถนพินต่างลงเล่นน้ำทะเลกันอย่างสนุกสนาน โดยมีสาวิตรนั่งพักบนชายหาด มองดูสองสาวเล่นน้ำกันเสียเป็นส่วนใหญ่ พอตกเย็นก็นั่งกินปิ้งย่างอาหารทะเลที่ไปซื้อจากตลาดกันที่บ้านพัก กับน้ำจิ้มของปรางนวลและมีกล้วยหอมทอด กลิ่นหอมยั่วยวน ที่ปรางนวลบรรจงทำเป็นของหวาน
........
วันรุ่งขึ้น นาถนพินตื่นขึ้นแต่เช้า เมื่อมองร่างของปรางนวลที่นอนอยู่ข้างๆ เห็นยังหลับอยู่ เธอจึงเข้าห้องน้ำทำธุระเงียบๆ และลงไปเดินเล่นข้างล่าง เธอเดินทอดน่องสำรวจไปทั่วบริเวณ บ้านพักตากอากาศแห่งนี้เป็นหมู่บ้านจัดสรรเล็กๆ ตรงกลางมีสระว่ายน้ำใหญ่ ที่บ้านทุกหลังหันหน้าเข้าหาทั้งหมด บรรยากาศโดยรอบร่มรื่น มีสนามหญ้าเขียวขจีและต้นไม้ใหญ่น้อยที่ได้รับการดูแลอย่างดีอยู่ตลอดแนว นาถนพินเดินเล่นพักหนึ่งก็นึกอยากว่ายน้ำขึ้นมา เธอจึงกลับขึ้นห้องไปเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดว่ายน้ำ เมื่อลงมาอีกที ก็พบสาวิตรลงว่ายน้ำในสระแล้ว
ยามเช้าเช่นนี้ สระน้ำยังไร้ผู้คน ร่างสองร่างจึงแหวกว่ายอยู่เพียงลำพัง สักครู่หนึ่งก็มานั่งเคียงข้างคุยกันบนขอบสระ นาถนพินชวนสาวิตรคุยเรื่องสัพเพเหระ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ อย่างการปฏิบัติธรรมของเธอ เพราะรู้ดีว่า สาวิตรเป็นคนรุ่นใหม่ที่ให้ใจและเวลากับการปฏิบัติธรรมเช่นเดียวกัน
“ตอนนี้เวลาหนูนั่งสมาธิ จะเห็นภาพคนโบราณคนหนึ่ง เป็นผู้ชายเกล้าผมสูงๆ แล้วมีอะไรรัดผมอยู่ หนูพยายามไม่สนใจ เพราะครูบาอาจารย์ท่านบอกให้ไม่สนใจนิมิต แต่ภาพก็ไม่หายสักที หนูเห็นหลายครั้งแล้วค่ะ”
สาวิตรนึกเอะใจ จึงลุกไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตนที่วางบนเก้าอี้ริมสระขึ้นมา แล้วเปิดภาพวาด “พระองค์ท่าน” ที่เขาวาดขึ้นแล้วถ่ายเก็บเอาไว้ให้นาถนพินดู
“พระองค์นี้ใช่ไหม” เขาถาม
นาถนพินเอามือลูบตามแขน “อูย ขนลุก ใช่ค่ะ ท่านเป็นใครหรือคะ” นาถนพินถาม
“ท่านคือพ่อขุนบางกลางหาว รู้จักไหม” สาวิตรถาม
โชคดีที่วิชาประวัติศาสตร์ของนาถนพินยังแข็งแรงพอใช้อยู่
“รู้จักค่ะ พ่อขุนบางกลางหาว เจ้าเมืองบางยาง เคยอ่านหนังสือแล้วก็เรียนประวัติศาสตร์สุโขทัยมาบ้างค่ะ” นาถนพินตอบ
“พี่วาดรูปนี้ได้ไงคะ” เธอถาม
“ท่านมาในความฝัน ในนิมิตของพี่ มาสื่อกับพี่ แล้วบอกให้พี่วาดรูปท่าน ยิ่งไปกว่านั้นนะ ยังมาเชื่อมต่อ ให้พี่ได้เห็นอดีตของตัวพี่ในยุคโน้น เรื่องราวมัน เอ้อ ซับซ้อนมากเลย”
นาถนพินตาโต “จริงหรือคะ เล่าให้หนูฟังมั่งสิ”
สาวิตรจึงต้องเล่าเรื่องราวโดยย่อของมิ่งให้นาถนพินรับรู้
“งั้นหนูก็อาจจะเคยเกิดในยุคนั้นเหมือนพี่วิตรนะคะ เพราะมีนิมิตถึงพระองค์ท่าน” เธอว่าหลังเขาเล่าจบ
“อันนี้พี่ก็ไม่รู้นะ แต่มันก็น่าจะเป็นไปได้ พี่เองรู้สึกแบบนั้นอยู่ นายทิมด้วย” สาวิตรตอบ
“หนูอยากรู้เรื่องราวของตัวเองแบบพี่มั่งจัง เห็นทีต้องขยันนั่งสมาธิให้มากขึ้นละ”
ชายหนุ่มยิ้มและเอามือลูบศีรษะญาติผู้น้องเบาๆ อย่างนึกเอ็นดู
“พี่ว่าขยันน่ะดี แต่อยากรู้น่ะ ของแบบนี้ถ้าอยากแล้วมันไมได้นะ ถ้าเราสมควรจะรู้ มันก็รู้เองแหละ”
สองญาติสนิทยังคงนั่งเคียงคุยกันต่อไป โดยไม่รู้ว่า ปรางนวลตื่นนอนลงมาแล้ว และแต่งชุดว่ายน้ำ เตรียมลงสระ เมื่อแลเห็นด้านหลังของทั้งสองคน ที่นั่งไหล่แทบจะชิดกัน แถมสาวิตรยังลูบศีรษะนาถนพินอีก เธอก็รู้สึกแปลบขึ้นมาเล็กน้อยในใจ...เพราะอย่างนี้ใช่ไหม ที่สาวิตรต้องชวนนาถนพินมาด้วย แต่อีกใจหนึ่งก็บอกว่า อย่าคิดมากเลย ก็เขาเป็นพี่เป็นน้องกันนี่ แล้วลงไปสมทบกับคนทั้งคู่ที่สระน้ำ...
ขากลับกรุงเทพเย็นวันนั้น นาถนพินดูสดชื่นขึ้น หลังได้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่มกับบรรยากาศชายทะเล ความเครียดคลายตัวลง เธอคุยกับสาวิตรที่ทำหน้าที่ขับรถไปตลอดทาง ด้วยหมายจะเป็นเพื่อน ไม่ให้เขาง่วงนอน แต่ปรางนวลแอบรู้สึกน้อยใจอยู่บ้าง จึงนั่งหลับตานิ่ง เสมือนหนึ่งหลับไปเกือบตลอดทาง
......
สาวิตรชวนนาถนพินและอาพสิฐมาออกกำลังกายด้วยการประลองดาบกันอย่างเช่นที่เคยเป็นมา ช่วงหนึ่ง สาวิตรหยุดยืนดูพ่อกับลูกสาวแสดงฝีมือกัน นาถนพินถอยหลัง รับการรุกของพสิฐ เท้าของเธอไปสะดุดก้อนหินในสนาม และทำท่าจะล้ม สาวิตรเข้าไปเบื้องหลังและประคองไว้ได้ทัน ก่อนที่ร่างเล็กนั้นจะหงายหลังลงพื้น
“อุ๊ย” นาถนพินอุทาน สาวิตรนึกสนุกขึ้นมา จึงช้อนใต้ขานาถนพินขึ้น แล้วอุ้มเขย่าเล่นอย่างที่เคยทำมาตอนเป็นเด็ก สองพี่น้องหัวเราะให้กัน
“ตัวเบ๊า เบานะ พิน พี่อุ้มสบายกว่าตอนเด็กอีก ไปทำน้ำหนักอีกหน่อยเถอะนะ เดี๋ยวตอนขี่รถ พายุมา ปลิวหายข้างทางแน่” สาวิตรว่า
นาถนพินหัวเราะ
“ถ้าให้หนูทำน้ำหนักน่ะ ไม่ช้านานคงเป็นนักมวยปล้ำหญิงได้แน่ ไม่เอาอะค่ะ แต่ว่าพี่วิตรวางหนูลงเถอะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า หนูขายไม่ออก”
สาวิตรวางร่างของนาถนพินให้ยืนกับพื้น พสิฐซึ่งยืนยิ้มดูหลานชายกับลูกสาวเล่นหัวกัน มองไปที่สาวิตรแล้วพยักเพยิดบอก
“หนูเข็มมาแล้ว ตาวิตร”
เย็นนี้ สาวิตรนัดปรางนวลมากินข้าวที่บ้าน แต่เธอดูเหมือนจะมาถึงเร็วกว่าปกติ เมื่อผู้เป็นอาบอกเช่นนั้น สาวิตรจึงเดินไปหาปรางนวลที่ยืนอยู่ข้างรถ เธอมีสีหน้าไม่ดีนักจนสาวิตรรู้สึกได้
“เข็มขอคุยอะไรกับพี่วิตรตามลำพังได้ไหมคะ” เธอว่า
สาวิตรรู้สึกเครียดขึ้นมาในทันที คิ้วขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว เพราะไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรให้คนรักไม่พอใจ และตั้งแต่คบกันมา ไม่เคยมีสักครั้งที่ปรางนวลจะมีทีท่าขึ้งเคียดขนาดนี้
“ไปคุยกันที่บ้านพี่วิตรค่ะ”
ปรางนวลพูดต่อโดยที่สาวิตรยังไม่ได้ตอบ แล้วเดินตรงไปยังบ้านของสาวิตรทันที ทำให้สาวิตรต้องเดินตามไปอย่างเงียบๆ
ปรางนวลทรุดตัวนั่งที่โซฟา เธอนิ่งไปชั่วครู่อย่างสะกดอารมณ์เต็มที่ ก่อนจะพูดว่า
“เข็มสังเกตมานาน แล้วก็อดทนมานานแล้ว พี่วิตรเปลี่ยนไปมาก ไม่เหมือนพี่วิตรคนเดิมที่ซิดนีย์เลย เข็มเหมือนไม่ใช่คนใกล้ตัวพี่วิตรแล้ว พี่วิตรมีเวลามากมาย แต่กลับมีเวลาให้เข็มน้อยมาก บางครั้งพี่วิตรดูเหมือนอยากดูแลเข็มเหมือนเดิม แต่สิ่งที่พี่วิตรแสดงออก กับสิ่งที่อยู่ในใจพี่วิตร มันไม่เหมือนกันแล้วใช่ไหมคะ เพราะอะไรคะ เพราะนาถนพิน น้องสาวคนสวยของพี่นี่ใช่ไหมคะ วันนี้เข็มเห็นชัดๆ กับตาตัวเองเลย ที่หัวหินก็อีก ไปเล่นน้ำนั่งคุยกันสองคน เข็มเห็นนะคะ ตอบมาสิคะ”
“เข็ม” สาวิตรอุทานอย่างตกใจ
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ พินกับพี่ เราเป็นพี่น้องกัน เคยสนิทสนมเล่นด้วยกันมาแต่เด็ก ตอนที่พี่กลับมาเยี่ยมเมืองไทยกับพ่อ มันไม่ใช่อย่างที่เข็มคิด แล้วก็ไม่มีทางเป็นอย่างที่เข็มคิดได้เลย”
“ถ้าอย่างนั้น เพราะอะไรคะ พี่วิตร”
สาวิตรอึ้ง เขาจะตอบเธออย่างไรดีหนอ การจดจ่ออยู่กับการเห็นภาพในอดีตของตัวเองเป็นเรื่องหนึ่ง แต่อีกเรื่อง...เขาอยากพบปราง ผู้หญิงในอดีตคนนั้น..อาจจะมากกว่าปรางนวลที่มีตัวจริงในปัจจุบันด้วยซ้ำ เขายอมรับกับตัวเอง จะมีใครในโลกอีกไหมหนอที่เผชิญกับเรื่องพิสดารพันลึก กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเท่ากับที่เขากำลังเผชิญอยู่ อย่างที่ไม่ได้เลือก แต่เป็นเรื่องของโชคชะตาเดินมาหาแบบเต็มๆ เช่นนี้
“เข็ม...พี่” สาวิตรพูดได้เพียงนั้น
“ถ้าพี่วิตรไม่มีคำตอบ เข็มขอตัวกลับบ้านนะคะ”
“เข็ม...” สาวิตรยังคงเรียก
ปรางนวลลุกเดินออกไปทันที โดยไม่หันมามอง แล้วสตาร์ทรถออกจากบ้านไป
สาวิตรทิ้งตัวลงกับโซฟา เอามือลูบศีรษะตัวเอง อย่างคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ดี
......
อาหารมื้อเย็นที่บ้านของพสิฐวันนั้นจึงไม่มีทั้งสาวิตรและปรางนวลนั่งร่วมโต๊ะ ยุพเยาว์ถึงกับบ่นที่ให้คนทำอาหารเตรียมไว้มากกว่าทุกวัน แต่คนกินกลับหนีกลับบ้านไปเฉยๆ แถมคนกินอีกคนยังไม่ยอมมาอีก
“ตาวิตรนี่ยังไง ชวนหนูเข็มมากินข้าวแล้ว หนูเข็มก็หนีกลับบ้าน ตัวเองก็ป่านนี้ยังไม่มา”
“ยายพิน ไปดูตาวิตรหน่อยลูก เรียกมากินข้าวหน่อย” พสิฐว่า
“ค่ะ” นาถนพินรับคำแล้วเดินออกไป
“สงสัยยายเข็มจะงอนตาวิตรน่ะ วันนี้เห็นสีหน้าไม่ดีแล้วเรียกตาวิตรไปคุยอะไรไม่รู้ที่บ้าน แป๊บเดียวก็ขับรถออกไปเฉย” พสิฐบอกภรรยา
สองสาว อุ๊กับข้าวฟ่างที่อยู่ใกล้ๆ ได้ยินแล้วพยักเพยิดกัน เป็นทำนองว่า เห็นไหม ว่าแล้วเชียว คุณวิตรต้องทะเลาะกับแฟนแน่ ถึงดูซึมๆ ไประยะนี้
เมื่อนาถนพินเดินเข้าไปในบ้านของสาวิตร เขายังคงนั่งทอดตัวอยู่บนโซฟา เธอจึงนั่งลงข้างๆ และแตะมือลงที่เข่าของผู้เป็นพี่ชาย
“ไปทานข้าวกันเถอะค่ะ พ่อให้มาตามแล้ว เรื่องพี่เข็ม เดี๋ยวพี่วิตรโทรไปง้อแล้วกันค่ะ หนูว่าพี่เข็มคงไม่งอนนานหรอก ตอนนี้ทุกคนคอยพี่วิตรอยู่นะคะ”
“วันนี้พี่ไม่หิวหรอก ทุกคนทานข้าวกันเถอะ ไม่ต้องรอพี่ ฝากขอโทษอาพสิฐกับอาเยาว์ด้วย เรื่องเข็ม พี่คงรอเวลาอีกนิด ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี” สาวิตรว่า
นาถนพินไม่อยากซัก จึงบอกว่า “ถ้ามีอะไรให้หนูช่วย พี่วิตรบอกได้นะคะ ส่วนข้าวเย็น พี่วิตรจะไม่หิวได้ยังไงละคะ วันนี้ใช้แรงไปตั้งเยอะ เอาอย่างนี้ ถ้าพี่วิตรไม่อยากเจอใคร เดี๋ยวหนูแบ่งกับข้าวเอาไว้ให้ แล้วจะให้พี่อุ๊ยกมา นะคะ ทานข้าวเสียหน่อยเถอะ”
สาวิตรยิ้มรับคำ “ก็ได้” นาถนพินจึงเดินจากไป โดยที่มิรู้ว่า ตัวเองกลายเป็นชนวนระเบิดในครั้งนี้ โดยที่ไม่ได้ตั้งใจแม้แต่น้อย
.....
ริดกับเลื่องติดตามเดชยิ่งกว่าเงาตามตัวในระยะนี้ ด้วยความเป็นห่วงเดชซึ่งเศร้าซึมลงไปอย่างเห็นได้ชัด และยิ่งเดชเสียใจมากเท่าใด ก็ดูเหมือนทั้งคู่จะยิ่งคั่งแค้นมากขึ้นเท่านั้น
เดชไม่ได้พบปรางหลายวันหลังจากนางถูกกักตัวบนเรือนตามคำสั่งพ่อครูพัน นางเองก็พยายามหลีกเลี่ยงการพบกับเดชเสมอ วันนี้ เดชสะกดกลั้นความคิดถึงไว้ไม่ไหว จึงตัดสินใจเดินขึ้นเรือนพ่อครู เขาไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องของปราง โดยมีริดติดตามขึ้นไปด้วย แต่ไม่กล้าเรียกนาง พอดีแม่ขาบเปิดประตูออกมาจากห้อง เขาจึงพูดกับแม่ขาบ
“พี่ขาบ ข้าขอพบแม่ปรางสักหน่อยได้ฤาไม่”
แม่ขาบมองหน้าเดชด้วยความเห็นใจ โธ่พ่อเดชคนดีเอ๋ย อุตส่าห์รัก อุตส่าห์ถนอมมานานแรมปี แม่ปรางควรหรือ จักไปใยดีผู้อื่นที่พบกันมินานเช่นนี้ได้
“เดี๋ยวข้าไปบอกนางให้นะ มีอะไรก็ค่อยๆ พูดกันนะพ่อ แม่ปรางเองก็ซึมเหลือเกินตอนนี้” แม่ขาบว่า แล้วกลับเข้าไปข้างใน
“แม่ปราง พ่อเดชมาขอพบ ออกไปพบพ่อเดชเสียหน่อยเถิด” นางบอกกับปราง
“พี่ขาบบอกให้เขากลับไปเสียเถิด ข้ามิต้องการพบเขาดอก” ปรางว่า
“โธ่ แม่ปราง เห็นแก่พ่อเดชบ้างเถิด พ่อเดชดีกับแม่ปราง มิเคยทำให้ช้ำใจแม้สักน้อย หากแม้นมิเห็นเขาเป็นคนรัก ก็เห็นเขาเป็นพี่ชายเถิด ออกไปพบพ่อเดชสักหน่อยนะ”
คำพูดของแม่ขาบ ทำให้ปรางเปิดประตูออกไป เดชที่ยืนอยู่ มีสีหน้าสดชื่นขึ้น นางเดินไปนั่งที่ยกพื้นบนเรือน เดชตามไปนั่งใกล้ๆ แต่นางยังหันข้างให้เดช
“แม่ปราง เจ้าจักเมินเฉยต่อพี่เช่นนี้ฤา หลายวันมานี้ พี่คิดถึงเจ้ายิ่งนัก” เดชว่า ปรางยังคงนิ่ง
“เราจักกลับเป็นดังเดิมได้ฤาไม่” เดชว่า
“ดังเดิมรึ ดังเดิมก็คือ ข้าเป็นน้องสาว พี่เป็นพี่ชาย” ปรางหันหน้ามาพูดกับเดช “ข้าสำนึกเสมอว่า พี่ดีต่อข้าอย่างที่ยากหาใครเปรียบนัก แต่มีผู้ใดเคยถามข้าบ้าง ว่าข้าปรารถนาฤาไม่ ทั้งพ่อข้า พ่อพี่เดช แลตัวพี่เดชเอง ก็ล้วนหมายผูกมัดข้า ชีวิตข้า มันมิได้เป็นของข้าสินะ พี่เดช หากพี่เมตตาปรานีข้า จงโปรดอย่าได้หมายมั่นในตัวข้าอีกเลย ขอเราจงเป็นพี่น้องดั่งเช่นเมื่อพบกันตอนเยาว์วัยเถิด”
ความปวดร้าวดูเหมือนแล่นเข้าสู่หัวใจของเดชเป็นริ้วๆ สิ่งที่ตามมาคือความแค้นใจอย่างสุดกลั้น...นี่เป็นเพราะไอ้มิ่งโดยแท้ แม่ปรางถึงได้เปลี่ยนใจแบบนี้ หากไม่มีไอ้มิ่ง...
“ก่อนหน้าไอ้มิ่งมา แม่ปรางมิได้คิดเช่นนี้ใช่ฤาไม่” เดชถาม
“ถ้าแม้นมิมีพี่มิ่ง ข้าก็มิรู้ใจตัวเองดอก เมื่อพี่มิ่งมา ข้าถึงได้รู้ใจตัวเอง ว่าความรักที่มั่นหมายครองคู่เป็นเช่นใด แตกต่างจากความรักเยี่ยงพี่น้องเช่นใด โปรดเห็นใจข้าเถิด พี่เดช”
แววตาเดชกร้าวขึ้น เขาลุกขึ้นยืน
“มิว่าจักเป็นเช่นใด เจ้าอย่าได้หมายเลยว่าจักสมหวังกับไอ้มิ่ง”
“แม้นข้ายังมีชีวิต พี่มิ่งยังมีชีวิต ข้าจักมิสิ้นหวังดอก จักสิ้นหวังก็ต่อเมื่อข้าสิ้นลมหายใจเท่านั้น”
เดชก้าวเดินจากไป แต่ก็ชะงัก เมื่อเสียงเล็กๆ ดังไล่หลังมาว่า
“ข้าจักมิไปบางยางด้วยพี่ดอก เตรียมตัวไปเพียงผู้เดียวเถิด” นางว่า
เดชไม่โต้ตอบและรีบลงจากเรือนไปโดยมีริดตามไปติดๆ
........
ริดคุยกับเลื่องด้วยสีหน้าเครียดจัด
“ไอ้เลื่อง ข้าว่าพี่เดชยากนักจักได้สมรักในแม่ปราง หากไอ้มิ่งมันยังคงอยู่” ริดว่า
“คงมิเช่นนั้นมั้ง พ่อครูจะจัดการแยกไอ้มิ่งออกจากแม่ปรางแล้วนี่ ถ้าพ่อครูมิเห็นชอบ ไอ้มิ่งมันคงมิกล้าดอกเอ็ง” เลื่องตอบ
“แม่ปรางต่างหากที่จักไม่ยอมลงเอยกับพี่เดช” ริดว่า “จริงนะ ข้าได้ยินมากับสองหูข้าเอง ว่ายังไงนางก็จักมิยอมเป็นคู่ครองกับพี่เดชเป็นอันขาด จักเหมือนแม่ปิ่นอีกคนหนึ่งแล้ว ที่ดื้อนัก ถ้าพ่อครูยอมอ่อนข้อให้นาง เหมือนกับที่อ่อนข้อให้แม่ปิ่น พี่เดชก็จักมิมีทางสมหวัง”
“ข้าละกลัดกลุ้มใจ พี่เดชมีบุญคุณล้นฟ้านัก จักปล่อยให้พี่เดชทุกข์ใจอยู่เช่นนี้ได้เยี่ยงไร” ริดกล่าวต่อ
“แล้วเอ็งคิดว่าจักช่วยพี่เดชเยี่ยงไรเล่า” เลื่องว่า
ริดมองซ้ายขวาแล้วกระซิบข้างหูเลื่อง เลื่องตาเบิกโตด้วยความตกใจ
“หา นี่ถึงขั้นจะต้องฆ่าต้องแกงกันเชียวรึเอ็ง”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น