บทที่ 15 ฤาเราต้องพรากกัน


บทที่ 15

ริดกับเลื่องออกมาดูร่างเจ้าคงที่หลับไม่รู้เรื่องอยู่ที่พื้น ‘สิ้นฤทธิ์ง่ายจริงหนา ไอ้เด็กสาระแน’ ริดนึกสะใจ แล้วค่อยๆ ย่อง เดินไปมองลงไปที่ท่าน้ำ ภาพที่เห็นคือร่างของคนสองคนนั่งอิงกันอยู่เบื้องล่าง

“ผู้ชายนั่นแล ไอ้มิ่งแน่ ผู้หญิงเอ็งดูทีสิ มันผู้ใดกัน” ริดกระซิบ

เลื่องเพ่งมองลงไปสักครู่ แล้วบอกว่า “หากมิใช่แม่ปิ่น ก็แม่ปรางเป็นแน่แท้”

“หา” ริดร้องขึ้น เลื่องต้องรีบเอามือปิดปาก “เบาๆ หน่อยเอ็ง บัดเดี๋ยวมันได้ยินจะเสียการ”

“แต่ข้าว่า แม่ปรางมากกว่านะเอ็ง” เลื่องพูดต่อ

ริดลองเพ่งมองอีกครั้ง

“ข้าก็ว่า แม่ปราง มิได้การแล้ว เราต้องรีบไปบอกพี่เดช”


ริดรีบก้าวเท้า เลยเผลอเหยียบใบไม้แห้งดังกรอบ จนเลื่องต้องทำหน้าปราม แต่เมื่อมองดู เห็นทั้งสองร่างยังคงนิ่งอยู่ เขาก็เบาใจ และรีบดึงริดออกมา ตรงไปยังเรือนของเดชทันที

“พี่เดช” เลื่องร้องเรียกหน้าประตู เงียบ ยังไม่มีเสียงตอบ รออยู่ครู่หนึ่ง ประตูก็ยังไม่เปิด เลื่องเลยต้องเอามือตบประตูแรงๆ

“พี่เดช” เลื่องเรียกเป็นครั้งที่สอง คราวนี้ประตูเปิดออก เลื่องเสียหลักถลันไปชนกับเดชที่จับแขนทั้งสองข้างของเลื่องเอาไว้

“มีเหตุอันใดฤา จึงมาเรียกข้ายามนี้” เดชว่า

“พี่เดช ไปกับข้าที่ท่าน้ำเร็ว” ริดว่า

“ข้าเห็นไอ้มิ่ง กับเอ้อ...” ริดพูดไม่ออก

“ไอ้มิ่งกับแม่ปรางมานั่งเคียงกันอยู่สองคน พี่เดชรีบไปเถิด มันชอบกลนัก” เลื่องต้องพูดต่อให้

เดชทำหน้าฉงน แต่ริดรีบดึงมือเดชให้เดินไปทันที เมื่อถึงบริเวณใกล้ท่าน้ำ ก็เห็นปรางกำลังเขย่าร่างของเจ้าคงที่ยังนอนหลับใหลไร้สติอยู่ โดยมีเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งที่อยู่ยามคืนนี้ด้วยนั่งอยู่ข้างๆ

“ไอ้คง ตื่น ตื่น” ปรางร้องเรียก

“ไอ้คงเป็นอันใดฤา” เดชถามเมื่อเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าปราง นางแหงนหน้าขึ้นมองเดช

“ข้าก็มิรู้เหมือนกัน ข้าจักเรียกมันมาใช้สอย นึกขึ้นมาได้ว่ามันอยู่ยาม พอลงมาดู ก็เห็นมันเป็นเยี่ยงนี้ ปลุกก็มิตื่น เจ้าคงมิเคยหลับยาม คงมีผู้ใดทำร้ายมันเป็นแน่” ปรางว่าแล้วมองไปทางเลื่อง เลื่องหลบสายตา

ริดก้าวเดินไปชะโงกมองลงไปที่เบื้องล่างของท่าน้ำ แล้วส่ายหน้ากับเลื่องเป็นสัญญาณบอกว่า “ไม่มี” ร่างของผู้ที่เจตนามองหา ทั้งสองมีสีหน้าผิดหวัง ปรางซึ่งมองตามริดไปถามขึ้นว่า

“พี่ริดมองหาใครรึ”

“มิมีอันใด แม่ปราง” ริดว่า

“เอ็งทั้งสองคนช่วยพาไอ้คงไปที่เรือน ให้มันนอนพักผ่อนเสีย แล้วเอ็งคนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคนก็ได้ เฝ้ายามแทนไอ้คงคืนนี้ เผื่อมีใครลักลอบเข้ามาจริงๆ จักได้ช่วยกันจับตัวมันได้” เดชออกคำสั่ง

“โธ่ พี่เดช” ทั้งสองคนร้องขึ้นพร้อมกัน

.....

ปรางกลับมาที่เรือน พยายามข่มตาให้หลับ แต่หลับมิลง จึงได้แต่แลมองแสงจันทร์นวลที่ส่องลอดหน้าต่างเข้ามา นางนอนครุ่นคิดจนรุ่งเช้า เหตุใดหนอ ความรักของตน ถึงได้เผชิญอุปสรรคเยี่ยงนี้ ปรางได้แต่รำพึงในใจ

วันรุ่งขึ้น ปรางมองหาเดช แต่ไม่ทราบว่าเดชไปอยู่เสียที่ไหน นางจึงฝึกอาวุธกับมิ่งเพียงสองคนเท่านั้น เมื่อฝึกจนเหนื่อย ทั้งสองคนก็หยุดพักนั่งด้วยกันบนแคร่ ปรางหยิบผ้าขึ้นซับเหงื่อ ก่อนกล่าวแก่มิ่งว่า

“พี่มิ่ง เมื่อคืนข้านอนคิดทั้งคืน ข้าตัดสินใจแล้ว...” นางว่า สีหน้าหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด

“ตัดสินใจอันใดรึ” มิ่งสงสัย

“ข้าจักบอกพี่เดชกับพ่อ เรื่องของข้ากับพี่”

มิ่งเงียบไป ก่อนจะพูดขึ้นว่า “จักดีฤา ข้าเกรงพี่เดชเสียใจ เกรงว่าพ่อครูพันจักไม่ยินยอม ข้าอาจจักมิควรอยู่ที่นี่ต่อไปยามนี้”

“พี่มิ่งจักผลักไสตัวเองไปไย ท่านก็รู้ ข้ารักแต่ท่าน มิเคยรักพี่เดชเยี่ยงคนรักแม้แต่น้อย เพียงแต่ข้าคิดว่า เรื่องของเราคงปิดบังใครไปมิได้นาน พี่ริด พี่เลื่องก็จับตาเราอยู่ เมื่อคืน ถ้าสองคนมิทำเสียงดัง คงได้เจอท่านอยู่กับข้าแล้ว” นางว่า

“เมื่อปิดบังมิได้ ก็บอกให้รู้ไปเลย จะดีจะร้ายเยี่ยงไร ก็ให้รู้กันในบัดนั้น” นางพูดต่อ สีหน้าเศร้าเห็นได้ชัด จนมิ่งอยากโอบกอดนางไว้แนบอก แต่ยามกลางวันเช่นนี้ เขามิอาจทำได้ดังใจ ทั้งสองได้แต่สบตากันแล้วนิ่งงันไปทั้งคู่ ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมา

แต่ทันใดนั้น ปรางต้องตกใจสุดขีด เพราะเดชก้าวออกมายืนด้านหลังมิ่ง โดยที่มิรู้เลยว่าเขาซ่อนตัวแอบฟังอยู่ที่ใด สีหน้าของเดชเต็มไปด้วยความโกรธผสมปวดร้าวอย่างเห็นได้ชัด

“ข้าโง่งมงายมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่โง่พอที่จะคิดว่าไอ้ริด ไอ้เลื่องมันกุเรื่องขึ้นมาเอง ข้ามิเคยคิดเลยหนา แม่ปราง ว่าเจ้าจักมารักใคร่ไอ้คนที่เพิ่งพบมินานนี่ได้” เดชว่าพร้อมกับชี้นิ้วไปที่มิ่งอย่างคั่งแค้น

“ที่ผ่านมาเนิ่นนาน ข้ามิดีพอสำหรับเจ้าเลยรึ” เดชพูดต่อ

น้ำตาเริ่มไหลรินอาบสองข้ามแก้มของปราง นางส่ายหน้า

“มิได้ พี่เดชดีกับข้าเสมอมา ข้าซาบซึ้งในความปรานีของพี่เดชยิ่งนัก แต่ข้ามิเคยรักพี่เดชเยี่ยงคนรักเลย ข้าอยากบอกพี่เดชมานานนักแล้ว แต่พี่มิเคยเปิดโอกาสให้ข้าได้พูดแม้แต่น้อย”

เดชขบกรามแล้วหันไปทางมิ่ง

“ไอ้มิ่ง ข้าอุตส่าห์ดูแลรักใคร่เอ็ง เอ็งทุรยศข้าได้เยี่ยงไร”

“พี่เดช ข้าขอขมาเถิด” มิ่งพูดได้เพียงนั้นและยกมือไหว้ ยามนี้เดชคั่งแค้นจนเกินจะรับฟังแล้ว เขาตรงเข้าไปคว้าไหล่มิ่งขึ้น แล้วประเคนหมัดใส่หน้า มิ่งลงไปกองกับพื้น มือซับเลือดที่ปาก

“อย่า พี่เดช” ปรางร้องขึ้น แต่เดชยังไม่หยุด เขาตรงเข้าไปคว้าร่างมิ่งขึ้นอีก แล้วชกเข้าไป หมัดหนึ่ง หมัดสอง หมัดสาม มิ่งไม่ตอบโต้

“พูดมา ไอ้มิ่ง”

มิ่งยกมือไหว้เดช “ข้าขอโทษ” พูดได้เพียงนั้น เดชก็ทำท่าจะต่อยอีก ปรางเข้ามาขวางและพยายามคว้าแขนเดชไว้ แต่เดชผลักนางกระเด็นไปและหันไปหยิบดาบที่วางไว้แถวนั้นขึ้นมา ตอนนี้บรรดาศิษย์พ่อครูซึ่งกำลังฝึกซ้อมอยู่ต่างพากันหยุดและมองมาที่เดชกับมิ่ง เพราะเสียงดังเอะอะนั้นเอง

“หยุดเดี๋ยวนี้ พี่เดช” เสียงหนึ่งดังขึ้น เดชหันไปมอง ปิ่นนั่นเอง นางพาร่างที่แต่งกายงดงามเช่นทุกวัน วิ่งตรงมาที่เดช ริดกับเลื่องและเจ้าคงซึ่งหน้าตายังงัวเงียก็ตามมาติดๆ

“นี่พี่ถึงกับจะฆ่าจะแกงนายมิ่งเชียวรี อายคนเขาเสียมั่ง บัดเดี๋ยวก็รู้กันไปทั้งหมู่บ้านดอก วันนี้พ่อไม่อยู่ แต่เรื่องนี้รอให้พ่อกลับมา แล้วให้พ่อตัดสินเถิด” ปิ่นว่า

เดชทิ้งดาบอย่างหัวเสียแล้วเดินจากไป โดยมีริดกับเลื่องตามไปติดๆ

“ลุกขึ้นเถิด พี่ปราง” ปิ่นก้มลงพยุงร่างของพี่สาวที่นั่งร้องไห้อยู่กับพื้นให้ลุกขึ้นยืน

“พี่มิ่ง” ปรางหันไปมองชายคนรักพลางสะอื้นไห้

“ขึ้นเรือนไปเถิดแม่ปราง ข้าดูแลตัวเองได้” มิ่งว่า ขณะที่ปิ่นประคองร่างพี่สาวเดินจากไป ส่วนเจ้าคงก็เข้ามาพาร่างบอบช้ำของมิ่งกลับไปยังกระต๊อบที่พัก

.......

ปรางยังคงนั่งเงียบงันในห้อง โดยมีปิ่นนั่งอยู่ใกล้ๆ เสมือนหนึ่งคอยปลอบใจ น้ำตาของนางเหือดแห้งไปแล้ว คงเหลือแต่ใจที่หวาดหวั่นต่อโชคชะตาเท่านั้น นับแต่นี้ นางคงไม่มีโอกาสได้พบ ได้อยู่ใกล้ๆ มิ่ง ถ่ายทอดความอบอุ่นใจให้แก่กัน อย่างที่เคยเป็นมาอีกแล้ว

แต่หากปรางมีหูทิพย์ ก็คงจะได้ยินเสียงในใจของปิ่นที่ดังอยู่ว่า

“ตัวเองมีเจ้าของแล้ว ยังไพล่ไปรักใคร่ผู้อื่น ก็ต้องเป็นเยี่ยงนี้แล”

ในที่สุด ด้วยความเป็นห่วงมิ่งจนล้นหัวใจ ว่าคงเจ็บแผลมิใช่น้อย และจะไม่มีใครดูแลใส่ยาให้ ปรางก็ทำลายความเงียบขึ้นว่า

“แม่ปิ่น พี่ขอวานน้องสักหน่อยเถิด”

“อันใดฤา พี่ปราง” ปิ่นตอบ

“เจ้าหาไพลเอาไปทาแผลนายมิ่งที่กระต๊อบให้หน่อยเถิด เขาคงบอบช้ำนัก”

ปิ่นยิ้มน้อยๆ “ได้สิพี่” แต่ในใจนั้นยิ้มกว้างกว่าปากมากนัก

ปิ่นไปที่ครัว จัดการให้นางแฟงฝนไพลและสมุนไพรอื่นๆ แล้วก็รีบไปที่กระต๊อบของมิ่ง นางผลักประตูเข้าไปทันที โดยมิได้ร้องบอก มิ่งยังคงนั่งชันเข่าพิงผนังกระต๊อบอยู่ ใบหน้าเต็มไปด้วยแผลแตกและรอยฟกช้ำ มีเจ้าคงกำลังนั่งอยู่ข้างๆ เตรียมทาแผลให้อยู่

“ไอ้คง เอ็งออกไปนอกกระต๊อบเถิด” ร่างในเครื่องแต่งกายงดงามประณีตที่มือถือถาดยาร้องบอก

เจ้าคงทำหน้างง

“ข้ากำลังจักใส่ยาให้พี่มิ่งอยู่ จักไปได้เยี่ยงไร” มันตอบ

“แต่พี่ปรางให้ข้ามาทำแผลให้นายมิ่ง มิใช่เอ็ง ดังนั้นเอ็งต้องหลีกไปเสีย อย่าขัดคำสั่งข้า”

เจ้าคงหันมามองมิ่งเป็นเชิงบอกว่า ข้าอยู่ไม่ได้ ต้องไปแล้ว แล้วรีบเดินจากไป ทิ้งให้ปิ่นอยู่เพียงลำพังกับมิ่ง

“ยานั่นท่านวางเอาไว้เถิด บัดเดี๋ยวข้าจัดการทาแผลเอง ขอบใจท่านมาก” มิ่งบอกปิ่น

“ทาเองจักทาได้ทั่วเยี่ยงไร ให้ข้าจัดการให้เถิด”

“นางแฟงอยู่ไหนเล่า ให้มันจัดการแทนท่านก็ได้” มิ่งว่า

“นางแฟงมิได้มาด้วยข้าดอก มันอยู่ที่ครัวโน่น”

ปิ่นไม่ฟังเสียง นางจัดแจงนั่งลงใกล้มิ่ง แล้วพยายามเอายาทาแผลที่หน้า มิ่งพยายามปัดป้องอย่างไม่ชอบใจ แต่ปิ่นไม่เลิกรา มือของมิ่งจึงจับเข้าที่ข้อมือของปิ่นด้วยหมายจะหยุดยั้งนาง

ปิ่นยิ้มและมองที่มือของมิ่ง

“จักจับมือข้าไว้เยี่ยงนี้ มิปล่อยก็ได้” นางว่า

มิ่งรู้ตัว จึงสะบัดข้อมือนางออก

“แผลของท่านหนักหนานัก หากทิ้งไว้ คงอีกนานแลกว่าจักหาย ให้ข้าดูให้เถิด พี่ปรางให้ข้ามาดูแลท่านเอง เพราะนางนั้นยากแล้ว ที่จักมาพบท่านได้อีก” ปิ่นว่า

คำพูดของปิ่น ทำให้มิ่งเศร้าใจขึ้นมาฉับพลัน จริงสินะ ปรางคงไม่มีโอกาสได้พบเขาอีกแล้ว คิดแล้ว มิ่งก็นั่งนิ่งยอมให้ปิ่นใส่ยาแผลแต่โดยดี และหลังจากนั้น นางก็มาคอยดูแลทายาให้มิ่งอยู่อีกหลายวัน โดยที่ไม่มีใครกล้าห้ามปราม หรือบอกพ่อครูพัน เพราะเกรงฤทธิ์เดชของนาง ซึ่งเป็นที่รู้กันจนทั่วเรือน

“หากไอ้อีคนใด แพร่งพรายเรื่องที่ข้าไปเรือนนายมิ่งละก็ มันจักไม่มีที่ซุกหัวนอน” ปิ่นพูดขึ้นในวันหนึ่งที่โรงครัว ทำให้ทุกคนได้แต่ก้มหน้านิ่ง เพราะรู้ว่าขืนทำไป ภัยอาจจะมาถึงตัว ไม่ทางใดทางหนึ่ง เพราะดูเหมือนพ่อครูพันเอง ก็ยอมอ่อนข้อให้ลูกสาวคนนี้อยู่บ่อยครั้ง หากนางอาละวาดขึ้นมา

.......

ริดกับเลื่องผลัดกันเล่าเรื่องที่ตนเองรับรู้และได้เห็นให้พ่อครูฟัง พ่อครูพันขมวดคิ้วหนัก ขณะที่เดชนั่งนิ่ง สีหน้ายังเต็มไปด้วยความคั่งแค้นอย่างเห็นได้ชัด

“ข้าสองคนน่ะ บอกพี่เดชแล้ว ว่าไอ้มิ่ง มันมิน่าไว้ใจ แต่พี่เดชหาฟังพวกข้าไม่” ริดว่า เดชยังคงนิ่ง มีแต่สีหน้าเท่านั้นซึ่งบ่งบอกความรู้สึกเจ็บช้ำภายใน ที่ถูกช่วงชิงคนรักไปอย่างไม่เคยคาดคิด เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา มีเดชเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดและดูแลปราง...

ใครเลยจะคิดว่า ดวงใจที่เฝ้าทนุถนอมมาเนิ่นนานจะถูกควักออกจากอกอย่างง่ายดายเช่นนี้

“พ่อครูต้องจัดการไอ้มิ่งให้เด็ดขาดนะขอรับ ไอ้คงด้วย ฐานที่มันรู้เห็นเป็นใจ คอยดูต้นทางให้ไอ้มิ่งกับแม่ปราง” เลื่องว่า

“ข้าต้องจัดการแน่ ไอ้ริด ไอ้เลื่อง ...พ่อเดช อาต้องขอโทษด้วย” พ่อครูพันหันไปทางเดช “ข้าเห็นว่า ไอ้มิ่งมันเป็นผู้อาศัย แม่ปรางก็เป็นครูของมัน แลเพลาที่แม่ปรางฝึกวิชาให้มัน พ่อเดชก็อยู่ด้วยทุกคราไป มิคิดว่า มันจักทำเรื่องเยี่ยงนี้ได้” พ่อครูพันว่า

“ข้าก็มิเคยคิด ว่าคนที่ข้าปรานี ดูแล แลไว้ใจมัน จะกล้าทำร้ายน้ำใจข้า หากรู้ว่าจักเป็นเช่นนี้ ข้าจักมิให้มันเข้าใกล้แม่ปรางแม้สักน้อยหนึ่ง” เดชพูด

“พ่อเดชมิต้องกังวลใจไป อาจักมิมีวันยอมให้ไอ้มิ่งมันได้พบปะกับแม่ปรางอีกดอก แลอาคิดว่าจักรีบส่งเจ้ากับแม่ปรางไปสมทบกับทัพพ่อขุนท่านที่เมืองบางยาง หากเสร็จศึกแล้ว จักให้แม่ปรางออกเรือนกับพ่อเดชเสียโดยเร็ว”

.....

พ่อครูพันมาพบปรางที่ห้อง นางได้แต่นั่งก้มหน้า สีหน้าของพ่อครูยังเต็มไปด้วยขุ่นเคืองใจในลูกสาวคนโตเป็นอย่างยิ่ง

“แม่ปราง พ่อเดชไม่ดีตรงไหนฤา เจ้าจึงได้ไปรักใคร่ไอ้มิ่งมัน ฤารักมันที่รูปงามเพียงนั้น พ่อมิอาจปล่อยให้เจ้าทำตามอำเภอใจได้ดอก หากปล่อยเจ้าให้เลยเถิดกับไอ้มิ่ง พ่อคงมิมีหน้าไปพบพ่อของพ่อเดชในปรภพ จักทำสิ่งใด เห็นแก่ผู้ใหญ่บ้าง”

ปรางยังได้แต่ก้มหน้านิ่ง นึกอยู่ในใจว่า พ่อเห็นแก่ข้าบ้างได้ไหม ข้าจะมีความสุขได้เช่นไร หากต้องออกเรือนไปกับผู้ที่รู้สึกตลอดมาว่าเป็นเพียงพี่ชาย มิใช่คนรัก...แต่ก็มิได้เอ่ยคำใดออกไป

“ต่อแต่นี้ ให้เจ้าอยู่แต่บนเรือน แลมิต้องไปฝึกอาวุธให้ไอ้มิ่งอีก ห้ามพบกันเด็ดขาด ส่วนไอ้มิ่ง ข้าจักให้มันอยู่เป็นกำลังก่อน เพราะหน่วยก้านฝีมือมันออกศึกได้แล้ว หากเสร็จศึกเมื่อใด มันต้องไปจากบ้านข้า ข้างไอ้คง ข้าห้ามมันขึ้นเรือนมาพบมารับใช้เจ้าแล้ว ส่วนตัวเจ้า เตรียมตัวเข้าเถิด ข้าจะส่งเจ้าไปบางยางพร้อมพ่อเดชอีกไม่นานนี้” พ่อครูพูดต่อ

ปรางฟังแล้วตกตะลึง จนเมื่อพ่อครูออกจากห้องไปแล้ว น้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้เป็นครู่ใหญ่ ก็หลั่งไหลลงอาบสองแก้ม

......

สาวิตรมารับประทานอาหารเช้าที่บ้านอาพสิฐเช่นทุกวัน แต่วันนี้ทุกคนออกไปนอกบ้านกันหมดแล้ว จึงเหลือเขาที่โต๊ะอาหารเพียงคนเดียว สาวิตรจัดการอาหารเช้าอย่างเงียบๆ โดยไม่รู้ตัวว่า กำลังตกเป็นประเด็นสนทนาของอุ๊กับข้าวฟ่าง สองแม่บ้านสาวที่ยืนเช็ดจานอยู่ไม่ไกลนัก

“พักนี้คุณวิตรดูเงียบๆ ซึมๆ ยังไงก็ไม่รู้ แกว่ามั้ย” อุ๊เปิดประเด็น

“นั่นนะสิ เคยเล่นเคยหัวกับชั้น เดี๋ยวนี้ก็ไม่มี ไม่รู้ทะเลาะกับแฟนรึเปล่า” ข้าวฟ่างว่ามั่ง

“ใช่ ๆ อาจจะทะเลาะกับแฟนก็ได้ พักนี้เห็นไม่ค่อยออกไปไหน ค่ำลงก็ปิดไฟนอน น่าจะไม่ค่อยได้เจอกับแฟน” อุ๊คาดการณ์

“แหม ถ้าคู่นี้เลิกกันนะ เสียดายแย่ สวยหล่อยังกะพระเอกนางเอกทั้งคู่” อุ๊ว่า แล้วหัวเราะกับข้าวฟ่าง

ผู้ถูกเปิดประเด็นยังคงนั่งเงียบอยู่ที่โต๊ะ แต่เริ่มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็คไลน์ เมื่อเห็นข้อความๆ หนึ่ง เขาก็ชะงัก

“พรุ่งนี้เข็มแก่ขึ้นอีกปีหนึ่งแล้ว ขอพรให้คนแก่คนนี้สักคำนะคะ”

ข้อความของปรางนวลนั่นเอง มันเตือนให้สาวิตรนึกขึ้นได้ว่า วันนี้เป็นวันเกิดของเธอ เขาลืมไปแล้วจริงๆ ถ้อยคำของธิโมที น้องชาย ดังขึ้นมาในห้วงความคิดอีกครั้ง “แบ่งเวลาให้พี่เข็มบ้าง” ...จริงสิ เขาไม่ควรจมอยู่กับความฝัน จนลืมคนที่มีตัวตนอยู่จริงๆ อย่างปรางนวล สาวิตรคิด เขาหันมาบอกสองแม่บ้านสาว

“อุ๊ ข้าวฟ่าง วันนี้ผมไม่อยู่กินข้าวกลางวันนะครับ จะออกไปข้างนอกหน่อย”

“ค่ะ” สองสาวตอบพร้อมกัน

สาวิตรออกไปหาซื้อกุหลาบสีชมพูช่อใหญ่แล้วตรงไปพบปรางนวลที่มหาวิทยาลัย สีหน้าของเธอดูแปลกใจตอนแรกที่สาวิตรมา แล้วก็เปลี่ยนไปเป็นมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด เพราะไม่คาดคิดว่า สาวิตรจะมาเซอร์ไพรส์เธอถึงสถานที่ที่เธฮทำงานอยู่ในวันนี้

“แฮปปี้เบิร์ธเดย์ครับ ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ตอบไลน์ ขอให้มีความสุขในวันที่แก่ขึ้นอีกปีนี้นะครับ” สาวิตรว่าแล้วก็ส่งดอกกุหลาบช่อนั้นให้แก่ปรางนวล เธอรับมาไว้ในอ้อมแขน

ปรางนวลยิ้มจนตาหยี แก้มเป็นสีชมพูเรื่อๆ ด้วยความสุขในใจ

“แหม คำว่าแก่นี่ ผู้หญิงบอกตัวเองได้ค่ะ แต่ห้ามคนอื่นบอกเป็นอันขาด เดี๋ยวโกรธกันนะคะ” ว่าแล้วก็ดมดอกกุหลาบสีชมพูช่อนั้น

“หอมจังค่ะ สวยด้วย ขอบคุณนะคะ พี่วิตร”

สาวิตรพาปรางนวลไปนั่งรับประทานอาหารด้วยกันที่ร้านเล็กๆ บรรยากาศดี คนไม่พลุกพล่านแห่งหนึ่ง ซึ่งปรางนวลเป็นคนเลือกเอง หญิงสาวเริ่มเปิดประเด็น

“พี่วิตรคะ เข็มคิดถึงทะเลจังค่ะ อาของเข็มเขามีบ้านพักตากอากาศที่หัวหิน บรรยากาศดีมาก ตอนนี้ปิดไว้เฉยๆ เพราะเขายังไม่ได้ไปกัน เสาร์อาทิตย์นี้ พี่วิตรไปกับเข็มไหมคะ ไปเล่นน้ำแล้วหาอาหารทะเลอร่อยๆ กินกัน เข็มจะทำน้ำจิ้มเองตอนนี้ที่บ้านมีกล้วยหอมอยู่ เดี๋ยวจะเอาไปทำกล้วยหอมทอดให้พี่วิตรทานด้วย” ปรางนวลพูดถึงของโปรดของคู่รัก

สาวิตรนิ่งไปนิดหนึ่ง เสียงข้างในใจบอกว่า ให้เวลากับปรางนวลเถอะ อย่าห่วงโลกแห่งความฝัน คนในอดีต เสียจนลืมใส่ใจโลกแห่งความจริงและคนในปัจจุบันเลย จึงตอบไปว่า

“ไปครับ” ปรางนวลยิ้มทันทีที่ได้ยิน

“แล้วมีใครไปด้วยไหมครับ” สาวิตรถาม ปรางนวลส่ายหน้าแทนคำตอบ

อะไรบางอย่างในใจสาวิตรบอกว่า เขายังไม่อยากไปเพียงลำพังสองคนกับปรางนวล และบุคคลที่น่าจะชวนไปด้วยก็คือนาถนพิน ที่ตอนนี้เธอไม่ค่อยสดชื่นรื่นเริงอย่างเดิม และไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหน บางครั้งก็บ่นเบื่อ อยากลาออกจากงาน หากได้ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง เธอคงจะสบายใจขึ้น เขาจึงบอกออกไปว่า

“แต่พี่ขอชวนยายพินไปด้วยคนได้ไหมครับ พักนี้ดูเขาจะเครียดๆ กับงาน ให้ไปพักผ่อนด้วยกันเสียเลย จะได้ดีขึ้น”

โลกที่สว่างไสวของปรางนวลดูจะมืดมัวลงไปนิดหนึ่ง แต่สาวิตรคงไม่ทันได้สังเกตสีหน้าของคู่รัก ที่ปากก็ตอบว่า

“ได้ค่ะ”

สาวิตรกดโทรศัพท์ไปหานาถนพิน ปลายสายตอบว่า จะไปเที่ยวด้วย ด้วยความยินดี...


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น