บทที่ 14 รักเข้าใจในรัก


บทที่ 14

เจ้าคงวิ่งตื๋อไปยังเรือนพ่อครูพัน มันตรงไปที่ใต้หน้าต่างห้องนอนของปราง แล้วเรียกด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก เพียงแค่พอได้ยินเท่านั้น

“พี่ปราง”

คืนนี้ปรางยังไม่เข้านอน เพราะใจเป็นห่วงมิ่ง ซึ่งต้องมาเจ็บตัวเพราะความอยากรู้อยากลองของนาง เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเจ้าคง นางก็ลุกขึ้นมามองตรงหน้าต่าง

“มีอันใดฤา เจ้าคง”

“พี่มิ่งเป็นไข้หนักจนเพ้อแล้วหนา พี่รีบไปดูพี่มิ่งทีเถิด” เจ้าคงตอบ

“รอข้าสักเดี๋ยว จักตามไปดูนายมิ่งให้” นางร้องตอบอย่างไม่มีอิดเอื้อน

ปรางห่มคลุมร่างกายให้เรียบร้อยมิดชิดขึ้น แล้วลงจากเรือนตามเจ้าคงไปที่กระต๊อบของมิ่ง เมื่อไปถึง นางทรุดกายลง เอามือแตะหน้าผากและตามตัวของมิ่ง

“ตัวร้อนเป็นไฟเลย” นางว่าอย่างตกใจ อาการไข้ของมิ่งมิใช่น้อยๆ เสียแล้ว

มีเสียงครางจากร่างที่ยังนอนนิ่งอยู่


“หนาว” ร่างของมิ่งสั่นเทิ้มขึ้นมาทันที ปรางรีบหยิบผ้าห่มที่วางใกล้หมอนหมายจะคลุมร่างให้ ห่อผ้าเล็กๆ ตรงผ้าห่มหล่นลงพื้น ดอกมะลิเหี่ยวแห้งสีน้ำตาลกระเด็นออกมา ปรางเก็บดอกมะลินั้นใส่ห่อผ้าดังเดิม ความรู้สึกอิ่มเอมใจพลุ่งขึ้นมาแวบหนึ่ง ที่เห็นดอกไม้น้อยๆ นั้นยังถูกเก็บรักษาอยู่อย่างดี ก่อนจะหันไปมองร่างที่ยังครางต่อเพราะพิษไข้

“หนาว ข้าหนาว”

ปรางรีบคลี่ผ้าห่มคลุมร่าง แล้วหันไปสั่งเจ้าคง

“เอ็งรีบไปต้มน้ำมาหนา หาผ้ามาด้วย ข้าจักเช็ดตัวนายมิ่ง แลขอยาแก้ไข้จากพี่ขาบมาต้ม ทำให้เร็วเข้า”

“ขอรับ” รับคำแล้วเจ้าคงก็วิ่งตื๋ออีกครั้งไปทางโรงครัว

“ปู่ ย่า นางแม้น ทิ้งข้าไปทำไม” มิ่งยังคงเพ้อ ทำให้ปรางหันมามองมิ่งเต็มตา

“มารับข้าไปด้วยเถิด มาแล้วใช่ไหม ข้าขอไปอยู่กับท่าน รอข้าด้วย”

น้ำตาของปรางไหลรินมาอาบแก้ม “นี่ข้าทำอันใดลงไป” นางรำพึง “ข้าทำร้ายท่านแท้ๆ ท่านอย่าเป็นอะไรไปหนา ถ้าท่านเป็นอะไรไป ข้าจักเสียใจไปชั่วชีวิตนี้”

“แม่ปราง” มิ่งเพ้อออกมา ปรางมองตามเสียง เห็นดวงหน้านั้นยังคงหลับตาอยู่

.....

เจ้าคงกลับมาแล้วพร้อมกับน้ำอุ่นและผ้า เตรียมพร้อมสำหรับการเช็ดตัวให้มิ่ง แต่มันชะงักเท้าอยู่ตรงหน้าประตู เมื่อได้ยินเสียงเพ้อ

“แม่ปราง ข้ารักท่าน อย่าหนีข้าไปเลยหนา”

มีเสียงสะอื้นออกมาจากปราง นางกุมมือของมิ่งเอาไว้

“ท่านสิ อย่าหนีข้าไปหนา โปรดอยู่ต่อด้วยเถิด....ข้าก็รักท่าน”

ประโยคหลังนั้นแผ่วเบาลง ก่อนนางจะพูดต่อ

“ข้าเป็นหญิง เป็นครูสอนท่าน จักบอกท่านตรงๆ ได้เยี่ยงใด ทุกคืนที่ท่านลงมาท่าน้ำ ข้าก็มาทุกคืน แต่ข้าได้แต่แลอยู่ห่างๆ มิกล้าลงไปพบท่าน เพลานี้ข้ามาพบท่านแล้ว ท่านจักจากข้าไปฤา”

เสียงสะอื้นของปรางปลุกให้มิ่งรู้สึกตัวลืมตาขึ้นมาอย่างอ่อนระโหย แต่เมื่อเห็นนางนั่งอยู่ข้างๆ จิตใจกลับเป็นสุขอย่างประหลาด นี่เขาฝันไปหรือเปล่า นางในฝันอันไกลเกินเอื้อม มานั่งอยู่ตรงนี้ ข้างๆ กายเขาเพียงลำพังแล้ว มันเป็นความจริงหรือ...

“ท่านฟื้นแล้วฤา”

ปรางยิ้มออกอย่างยินดียิ่ง มิ่งก็ยิ้มตอบให้ เขายกมืออีกข้างขึ้นเกาะกุมมือของปราง แล้วนางก็ก้มลงซบอกมิ่งและกอดร่างนั้นไว้

“ถ้าท่านสิ้นชีวิตเพราะน้ำมือข้า ข้าคงมิอาจให้อภัยตัวเองไปจนชั่วชีวิต...พี่มิ่ง”

มิ่งยิ้มอย่างอ่อนแรง แต่เปี่ยมด้วยความสุข ในที่สุด ก็ได้รับรู้ว่า นางก็มีใจให้แก่เขาเช่นที่เขารักนาง และได้ยินคำที่อยากได้ยินตลอดมาเสียที...พี่มิ่ง

“แม่ปราง” มิ่งเรียกชื่อนาง “ข้าจักมิหนีท่านไปไหนดอก ข้ารักท่าน รักมาตั้งแต่วันที่ท่านช่วยชีวิตข้าแล้ว” แล้ววงแขนอ่อนแรงนั้นก็กอดกระชับร่างที่ซบอยู่

เจ้าคงที่ยืนดูอยู่ยิ้มออกมา ด้วยพลอยรู้สึกยินดีปรีดา ที่พี่ชายพี่สาวที่รักของมันทั้งสองคนนี้ ผูกสมัครรักใคร่กันได้เสียที มันส่งเสียงกระแอมขึ้นเพื่อบอกให้รู้ว่า มันมาอยู่ตรงนั้นแล้ว

ปรางผละออกจากอกของมิ่งอย่างเก้อเขิน นางรับชามใบใหญ่จากเจ้าคงมา แล้วนำผ้าชุบน้ำ บรรจงเช็ดร่างของมิ่งอย่างแผ่วเบา ตาของมิ่งจับจ้องดวงหน้าของปรางอย่างอิ่มเอมในใจ ปรางหันไปมองใบหน้าอ่อนระโหยของมิ่ง แล้วยิ้มออกมาอย่างเปี่ยมสุขเช่นกัน ทำให้เจ้าคงพลอยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตามคนทั้งคู่ไปด้วย

“เดี๋ยวข้าไปเอายาก่อนนะ น่าจักได้แล้ว”

เจ้าคงพูดขึ้นแล้วก็วิ่งกลับไปโรงครัวอีกครั้ง เพื่อเอายาที่ต้มไว้มาให้มิ่ง

มิ่งดื่มยาและนอนรักษาตัวอยู่ 3-4 วันก็หายดีเป็นปกติ และนับจากคืนนั้นเป็นต้นมา หนุ่มสาวทั้งสองก็มาพบกันตามลำพังที่ท่าน้ำเสมอ แต่เป็นเฉพาะคืนที่เจ้าคงอยู่เวรยามกับเพื่อนรุ่นเดียวกันอีก 3 คน ทั้งสามคนรับปากเจ้าคงเป็นมั่นเหมาะว่า จะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครทราบเป็นอันขาด โดยเฉพาะเจ้าคง มันนั่งใกล้ท่าน้ำเป็นประจำเพื่อกันไม่ให้ใครเข้ามาในบริเวณนั้น บ่อยครั้งมันชะโงกมองร่าง 2 ร่างที่นั่งอิงแอบกันในความมืดบนบันไดท่าน้ำชั้นล่างสุด แล้วยิ้มออกมาอย่างพลอยอิ่มเอมเปรมใจไปด้วย

ยามกลางวัน มิ่งก็ฝึกดาบกับปรางและเดชตามปกติ แต่ยากนักที่ใครจะสังเกตเห็นความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ เพราะปรางยังคงทีท่าเข้มงวดดั่งเดิม ส่วนมิ่งก็ยังคงสำรวม หากจะเห็นว่า ทั้งคู่ดูจะสนิทกันมากขึ้น ใครๆ ก็มักคิดว่า นั่นเป็นเพราะ มิ่งฝึกวิชากับปรางมาเป็นเวลานานนั่นเอง

......

กาลผ่านไป มิ่งยังคงฝึกวิชาการต่อสู้แทบทุกวัน น้อยครั้งนักที่จะได้หยุดพัก แต่วันนี้ทั้งเดชและปรางของด มิ่งจึงพลอยต้องหยุดไปด้วย เขาเดินไปที่โรงครัวเพื่อช่วยงานแม่ขาบอย่างที่เคยทำมา แล้วก็นึกแปลกใจที่เห็นปรางดูแปลกไปกว่าทุกวัน

“วันนี้แม่ปรางจักไปที่แห่งใดฤา ถึงได้แต่งตัวดูแปลกนัก” มิ่งคิด เมื่อแลเห็นสาวคนรักสวมเสื้อผ้าสีจัดจ้านกว่าทุกวัน ผมก็เกล้าเป็นมวยเรียบตึงกลางศีรษะ ประดับด้วยเครื่องประดับวิจิตรงดงาม นางนั่งอยู่บนแคร่ไม้ ที่พื้นด้านล่างมีสตรีนางหนึ่งที่มิ่งไม่คุ้นหน้านั่งอยู่ ดูเหมือนนางจะพยายามพูดอะไรกับปราง ขณะที่ปรางหยิบมะนาวในกระจาดข้างตัวขว้างปาไปทั่ว และในที่สุดก็หยิบมะนาวลูกหนึ่งขว้างเข้าที่หน้าของหญิงคนนั้นอย่างจังๆ นางเอามือคลำหน้าผาก คงจะรู้สึกเจ็บ

เกิดอะไรขึ้นกับปรางหรือ มิ่งคิด แล้วก็รีบเดินตรงมาหานางทันที

“แม่ปราง” มิ่งเรียกอย่างแปลกใจเพราะอากัปกิริยาโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ มิ่งมิเคยเห็นนางเป็นมาก่อนเลย

ดวงหน้างามหันมามองตามเสียงเรียก

“ข้ามิใช่แม่ปราง” มือนั้นเงื้อมะนาวลูกหนึ่ง เตรียมพร้อมปาต่อเต็มที่

มิ่งผงะ นางเป็นใครกัน ดวงหน้านั้นละม้ายกับปรางมากจนแทบจะแยกไม่ออก แต่มิ่งก็รู้ว่า ไม่ใช่ปรางแน่นอน ดวงตาของนางนั้นดูคมกล้ากว่าปรางมาก

“แม่ปิ่น” เสียงเล็กๆ ที่คุ้นหูดังขึ้น...ปรางนั่นเอง

“รังแกนางแฟงอีกแล้วหนา หยุดเถิดแลไปพักผ่อนก่อน อย่าทำเยี่ยงนี้เลย บัดเดี๋ยวพี่จักขอร้องพ่อให้เอง” นางว่า พร้อมกับหยิบมะนาวที่อยู่ในมือของ “แม่ปิ่น” ใส่ลงในกระจาดตามเดิม

“นี่ใครกัน พี่ปราง” สตรีที่ชื่อปิ่นถามขึ้น “มาเรียกข้าเป็นพี่อยู่เมื่อครู่”

“นายมิ่ง ศิษย์ใหม่ของพ่อจ้ะ” นางแนะนำ

“เอ้อ นายมิ่ง นี่แม่ปิ่น น้องสาวข้าเอง” ปรางว่า

นี่นะหรือ น้องสาวที่แม่ปรางเคยพูดถึงให้ฟังอยู่บ้าง มิ่งคิด นางช่างเหมือนแม่ปรางมากมายจริงๆ

ปรางหันไปพูดกับสตรีที่หน้าผากปูดเขียว เพราะโดนลูกมะนาวเข้าอย่างจัง

“เจ็บมากไหม นางแฟง ข้าขอโทษแทนแม่ปิ่นด้วย ไปหายาทาเสีย แล้วพักผ่อนเถิด” ปรางว่า

“เจ้าค่ะ” หญิงสาวรับคำ แล้วก็ก้มหน้ารีบเดินงุดๆ จากไป

ปิ่นยังคงจ้องหน้ามิ่งตรงๆ จนมิ่งต้องเป็นฝ่ายหลบตาเอง

“รูปงามนี่หนา ศิษย์ใหม่ผู้นี้” นางว่า ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับพี่สาวซึ่งโอบไหล่นางไว้ ทิ้งให้มิ่งยืนแปลกใจในคำพูดที่กล้าเกินหญิงของปิ่นอยู่ตรงนั้น

.....

“แม่ปิ่นนี่ฤา มิได้เหมือนพี่ปรางแม้สักน้อยหนึ่ง แม้นว่าหน้าตาจักหมือนกันราวฝาแฝด” เจ้าคงว่า เมื่อมันอยู่กับมิ่งตามลำพังและมิ่งถามถึงปิ่น

“นางเอาแต่ใจตัวยิ่งนัก แลมิยอมเรียนวิชาอาวุธ พ่อครูเลยส่งไปคุ้มพ่อขุน เรียนวิชาดอกไม้มาลัยกับแม่พ่อขุนท่าน ยินว่านางบ่นเบื่อนัก จักขอกลับมาอยู่บ้าน มิกลับไปอีก แต่พ่อครูมิยินยอม เลยอาละวาดขว้างปาข้าวของนั่นแล”

มิ่งพยักหน้ารับรู้

“นางแตกต่างจากพี่ปรางมากมาย พี่ปรางดูเหมือนดุร้าย แต่ที่จริงอ่อนหวานแลเมตตายิ่งนัก ท่านก็รู้ดีนี่หนา พี่มิ่ง” มันว่าพร้อมทำหน้าทะเล้น

“ไอ้คง” มิ่งพูดเสียงดุ ไอ้คงทำหน้าทะเล้นแต่ก็เล่าต่อ

“ส่วนนางตัวเล็กหัวปูดนั่นชื่อนางแฟง พ่อครูเคยช่วยพ่อมันไว้ พ่อมันเลยให้มาอยู่รับใช้พ่อครู พ่อครูท่านก็ให้มันติดตามแม่ปิ่น” ไอ้คงพูดต่อ

“น่าสงสารมันนัก เป็นเบี้ยล่างแม่ปิ่นแต่อย่างเดียว” ไอ้คงว่าพร้อมกับถอนหายใจ

“เพลานี้ พ่อครูยอมให้แม่ปิ่นกลับมาอยู่เรือนแล้ว พวกเราก็เตรียมเดือดเนื้อร้อนใจกันได้ พี่มิ่ง” มันว่า

....

แสงจันทร์คืนนี้นวลงาม เหมือนคืนแรกที่มิ่งได้คุยกับปรางเพียงลำพัง มิ่งแหงนมองท้องฟ้า ใจก็ประหวัดคิดถึงคืนแรกที่เขาได้คุยกับปรางที่นี่ ใครจะคิดเล่าว่าในที่สุด ความฝันที่เคยคิดว่าไกลเกินเอื้อมจะเป็นจริงจนได้...

ความฝันหรือ...มิ่งเอื้อมถึงแล้ว แต่ความเป็นจริงก็ไกลเกินเอื้อมอยู่ดี เขายังมิรู้เลยว่า เส้นทางระหว่างเขากับปรางจะจบลงเช่นไร ทั้งสองจะต้องหลบซ่อนอยู่เช่นนี้หรือ ถ้าพ่อครูพันและเดชล่วงรู้ความจริงเล่าจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะเดช มิ่งรู้สึกผิดในใจอยู่มากมาย เดชเมตตาปรานีเป็นที่ยิ่ง แต่เขากลับแอบไปคว้าดวงใจของเดชมาครอบครองเสียเอง เดชคงเสียใจมากมาย หากได้รับรู้ แต่เขาก็มิอาจตัดใจจากปรางและนางก็คงมิอาจตัดใจจากเขา เพราะมิ่งเคยพยายามผลักไสนางออกไปแล้ว ด้วยคิดถึงจิตใจของเดช แต่ก็ได้รู้ว่าทั้งเขาและปราง มิอาจหักใจจากกันไปได้เลย

“พี่มิ่งจักผลักไสข้าด้วยเหตุอันใด หากพี่คิดถึงพี่เดช แล้วพี่มิคิดถึงจิตใจของข้าเลยหรือ” นางเคยตัดพ้อ เมื่อมิ่งขอให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนางเป็นเช่นครูกับศิษย์ดังเดิม จนเขายอมแพ้ต่อใจของนางและใจตัวเอง

“ขอเพียงเราอยู่เคียงกันยามนี้ก็เพียงพอแล้ว กาลข้างหน้าจักเป็นเช่นไร ขอเราอย่าคิดถึงเลย” ปรางว่า

ครานั้น มิ่งโอบร่างบางกระชับเข้ามาและจุมพิตเรือนผมหอมอย่างผูกพันรักใคร่

“ข้าจักมิยอมออกเรือนกับพี่เดชดอก ถ้าข้ามิสมหวังกับพี่มิ่ง ข้าจักครองตัวเป็นโสดไปจนตาย จักมิยอมให้ผู้ใดมาบังคับข้าให้มีคู่ได้เลย”

“ข้าเองก็มิปรารถนาในหญิงใด นอกจากท่านเพียงผู้เดียวเท่านั้น แม่ปราง”

มิ่งปล่อยความคิดล่องลอยไปตามสายน้ำ เสียงสวบสาบดังขึ้นเบื้องหลัง ปรางคงมาตามที่นัดกันไว้แล้ว มิ่งหันหลังไปมองด้วยหัวใจที่เบิกบาน แต่แล้วเขากลับตกใจจนต้องลุกขึ้นยืน

“แม่ปิ่น” มิ่งอุทานเมื่อเห็นคนที่ก้าวเดินมา

“ผิดหวังสินะที่มิใช่พี่ข้า” ปิ่นว่า

“นางยังอยู่ในห้องคุยกับพ่อ คงอีกนานนักหนา กว่าจักมาพบท่านได้”

“เจ้าคงเล่า” มิ่งเอ่ยถึงเจ้าคง เพราะรู้ดีว่าธรรมดา เวลาอยู่ยาม เจ้าคงจะนั่งคอยกันคนที่อาจจะมาที่ท่าน้ำตอนกลางคืนให้ห่างออกไป

“เจ้าคงฤาจักห้ามข้าได้ ข้าบอกมันแล้วว่า หากมันมิยอมให้ข้าลงมา ข้าจักฟ้องพ่อว่ามันรู้เห็นเป็นใจแลคอยดูต้นทางให้ท่านกับพี่ปราง”

มิ่งรู้สึกตกใจ

“ท่านก็เหมือนกัน” ปิ่นพูดต่อ “นั่งลงแลคุยกับข้าดีๆ ข้าอยากชมจันทร์แลคุยกับท่าน มิเช่นนั้น ข้าจักฟ้องพ่อว่า ท่านแอบนัดพบพี่ปรางที่ท่าน้ำ”

ปิ่นยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เมื่อปิ่นพูดอย่างนี้ เขาก็ไม่มีทางเลือก นอกจากจำยอมทรุดลงนั่งที่บันไดท่าน้ำ โดยมีปิ่นนั่งเคียงที่อีกฝั่งหนึ่ง

“ข้าน่ะ แอบสังเกตพี่ปรางมาหลายคืนแล้ว เหตุอันใด นางมักชอบหายตอนกลางคืน ข้าตามมาดู ก็เห็นนางลงไปที่ท่าน้ำ แล้วท่านก็ตามลงไป ข้าดูอยู่แค่ห่างๆ ยังรู้เลยว่าเป็นท่าน”

มิ่งยังได้แต่อึ้ง ความเดือดเนื้อร้อนใจคงมาเยือนจริงแล้วดังคำที่เจ้าคงว่า

ปิ่นนั่งซักไซ้ไล่เลียงเรื่องราวของมิ่ง ตั้งแต่เป็นใคร อยู่ที่ไหน จนถึงเข้ามาเป็นศิษย์พ่อครูได้อย่างไร ฯลฯ มิ่งได้แต่ตอบคำถามของนางคำต่อคำ ค่ำคืนที่ฟ้างามเช่นนี้ ช่างเป็นคืนที่อึดอัดเสียจริงๆ เมื่อตอบคำถามจนปิ่นพอใจแล้ว นางก็บอกว่า

“ข้าจักไปแล้ว คืนนี้มิรู้ว่าพี่ปรางจักมาพบท่านได้ฤาไม่ แต่ข้าจักมิบอกพ่อเรื่องท่านกับพี่ปรางดอก เพียงอยากบอกไว้อย่างหนึ่งว่า ท่านมิมีทางสมหวังกับพี่ปรางแน่แท้ ข้ารู้จักพ่อข้า พี่เดชและแม่พี่เดชดี จงคิดหวังกับผู้ที่มิได้มีเจ้าของเถิด นั่นแลจึงเหมาะควร”

ปิ่นยิ้มแบบมีเลศนัยก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้มิ่งรู้สึกขมขื่นกับความจริงที่มิอยากจะยอมรับนั้น

.......

มิ่งพยายามหลบปิ่นอยู่เสมอ แต่นางก็หาเหตุมาใกล้ชิดกับเขาจนได้ โดยเฉพาะการหาโอกาสมาเฝ้าดูปรางกับเดชฝึกอาวุธให้มิ่ง ซึ่งยามนี้แคล่วคล่องการใช้ดาบสองมือแล้ว มิ่งรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเสมอยามเห็นนาง เกรงว่านางจะนำเรื่องของเขากับปรางไปแพร่งพราย แต่นางก็มิมีทีท่าว่าจะนำความไปฟ้องพ่อครูหรือเดชเลยแม้แต่น้อย ซึ่งทำให้เขาเบาใจลงไปได้บ้าง

“พี่ปราง ข้าขอนั่งด้วยคน” ปิ่นว่า ปรางขยับที่บนแคร่ให้น้องสาวนั่งด้วย

ยามนี้มิ่งกำลังประลองดาบกับเดช เมื่อเห็นปิ่น เขาก็เริ่มรู้สึกอึดอัดใจเช่นเดิม โดยเฉพาะปิ่นนั่งจ้องเขาอย่างไม่วางตา มิ่งเริ่มฟันดาบไม่เป็นกระบวน ในที่สุดก็พลาด ถูกคมดาบของเดชบาดเข้าที่แขนถึงกับเลือดสาด

“พ่อมิ่ง เจ้าเป็นไรฤาไม่ ข้าขอโทษ” เดชว่า สีหน้าวิตก

“ข้ามิเป็นไรดอก พี่เดช เล็กน้อยเท่านั้น มิต้องกังวลใจไป” มิ่งตอบ

“ท่านทั้งสองหยุดพักก่อนเถิด” ปรางว่า พร้อมกับส่งผ้าให้มิ่งซับเลือดที่ซึมออกมาจากแผล

ทั้งเดชและปรางมัวแต่กังวลกับแผลของมิ่ง จึงไม่มีใครทันสังเกตปิ่น ที่ยามนี้ยิ้มอย่างพอใจ ด้วย สายตาของตนเอง ทำให้มิ่งหวั่นไหวจนพลาดต้องคมดาบได้

........

หลายคืนผ่านไป มิ่งกับปรางยังคงพบกัน แต่มิ่งไม่เคยคิดจะเล่าเรื่องที่ปิ่นแอบมาพบเขาที่ท่าน้ำให้ปรางรับรู้เลย คืนนี้ปรางกลับพูดว่า

“พี่มิ่ง ถ้าข้าเป็นอะไรไป พี่ช่วยดูแลแม่ปิ่นแทนข้าได้ฤาไม่ เรามีกันสองคนพี่น้องเท่านั้น ก่อนแม่ข้าจักสิ้น แม่ย้ำกับข้าว่า ขอให้รักน้องมากๆ”

“พูดอะไรเยี่ยงนั้น น้องสาวท่านดุร้ายเอาแต่ใจตัวนัก ข้าจักไปดูแลนางได้เช่นไร” มิ่งว่า

“ข้าสังหรณ์ใจ” ปรางว่า “ว่าข้าจักมิมีชีวิตยืนยาวนัก แม่ปิ่นเอาแต่ใจตัวก็จริงอยู่ แต่ข้าว่าพี่จักเปลี่ยนนิสัยนางได้”

“อย่าพูดเยี่ยงนี้ แม่ปราง ข้าใจหายรู้ฤาไม่ ข้ามิมีวันปล่อยให้ท่านจากไปดอก ถ้าท่านจักเป็นอันใดไป ข้าสัญญาว่าจักขอเอาชีวิตตัวเองแลกเปลี่ยนกับท่าน”

สายลมแรงพัดมาเกรียวกราว ราวกับจะรับรู้คำสัญญาของมิ่ง

“ท่านอย่าพูดเยี่ยงนี้ พี่มิ่ง ข้ากลัว” ปรางว่า

มิ่งโอบกระชับร่างบางที่นั่งเคียงข้างให้แนบเข้ามา

“เหตุอันใดข้าจักพูดมิได้ ท่านเป็นผู้มีคุณต่อข้านัก หากมิมีท่าน ข้าคงถูกไอ้ขอมฆ่าตายกลางป่าไปแล้ว ท่านเป็นผู้ให้ชีวิตข้า เสมือนให้ข้าได้เกิดใหม่ ข้าจึงยินดีที่จักได้ทดแทนท่าน...” มิ่งหยุดไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ

“แต่เหนืออื่นใด ท่านเป็นเพียงหญิงเดียวที่ข้ารักยิ่ง หากท่านมีอันเป็นไป ข้าก็คงอยู่มิได้เช่นกัน ข้าจักขอพรฟ้าดิน ให้เราสมหวังได้ครองคู่ หากมิอาจเป็นไปได้ในภพนี้ ก็ขอให้สมหวังในชาติต่อไปแลตลอดไปเถิด” พูดแล้วก็จุมพิตที่แก้มนวลของร่างที่นั่งแนบชิดกันอยู่ ปรางก็เบียดชิดเข้าหาคนรักด้วยความผูกพันอย่างลึกซึ้งเช่นกัน

.........

ค่ำแล้ว ริดยังนอนไม่หลับ จึงนึกจะเข้าโรงครัวหาของกินแก้อยาก ระหว่างทาง สายตาของริดบังเอิญเห็นมิ่งเดินตรงไปที่ท่าน้ำ เขารีบแอบซุ่ม สักครู่ก็มีร่างๆ หนึ่งซึ่งริดดูไม่ออก เพราะอยู่ในระยะไกลและฟ้ามืดตามไปทางเดียวกัน เขาคิดจะลงไปดูด้วยความสงสัย แต่ก็ไปเจอเจ้าคงขวางทางอยู่เสียก่อน

“ไอ้คง เอ็งมาอยู่ยามทำไมตรงนี้” ริดว่า

“ข้าชอบลมเย็น ท่านสงสัยอันใดฤา ข้ามิได้หลับยามหนา” เจ้าคงตอบ

“หลบไป ข้าจะลงไปท่าน้ำ”

“ดึกแล้ว ท่านจักลงไปทำอันใดเล่า ไปนอนเสียเถิด พี่ริด คืนต่อไป ท่านอยู่เวรยาม จักหลับเสียเช่นเคยเท่านั้น ฤามิหลับ ท่านก็จักร่ำสุรายันรุ่ง” เจ้าคงว่า

ริดฟังแล้วนึกโกรธที่เจ้าคงบรรยายพฤติกรรมตอนอยู่ยามของตนอย่างครบถ้วน แถมยังทำหน้าทะเล้นใส่ จึงสะบัดหน้าแล้วเดินจากไป แต่ริดก็ไม่วางใจ คอยจับสังเกตอยู่ตลอดหลังจากวันนั้น เมื่อเห็นมิ่งลงไปที่ท่าน้ำอีกในค่ำคืนหนึ่ง จึงรีบไปปลุกเลื่อง

“ไอ้เลื่อง ตื่นๆ ลงไปดูไอ้มิ่งด้วยกัน”

เลื่องงัวเงียลืมตาขึ้นมา “ไปดูมันด้วยเหตุอันใด”

“ข้าเคยเห็นมันลงไปท่าน้ำ แล้วก็มีแม่หญิงตามลงไป จักเป็นผู้ใด ข้าอยากไปดูให้รู้แน่ คืนนี้คืนเพ็ญ ข้าว่าคงเห็นได้ถนัด แต่เอ็งต้องจัดการไอ้คงก่อน เพราะมันนั่งเฝ้าอยู่” ริดว่า

“จัดการมันยังไงฤา” เลื่องว่า

“ก็วิชาลูกดอกของเอ็งยังไงเล่า ไอ้เลื่อง เป่าให้มันหลับไปเสีย แล้วเราค่อยไปดูกัน”

ริดกับเลื่องจึงค่อยๆ ย่องไปด้วยกัน แล้วซุ่มอยู่ไม่ให้เจ้าคงรู้ตัว...เลื่องยกลำกล้องไม้ไผ่ขึ้นที่ปากแล้วเป่า ลูกดอกของเลื่องพุ่งสู่เป้าหมายอย่างแม่นยำ เจ้าคงเพียงแต่รู้สึกเหมือนมดกัดที่ต้นคอเท่านั้น มันเอามือคลำด้วยความรู้สึกแสบๆ คันๆ แล้วก็ร่วงผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น