บทที่ 13
“แม่ปราง”
มิ่งอุทานอย่างตกใจพร้อมกับลุกขึ้นยืน แสงจันทร์และแสงไต้วับแวม ส่องให้เห็นว่าในมือนางถือกระทงใบตองที่บรรจุดอกมะลิซ้อนไว้เต็ม กลิ่นหอมเย็นของมันอบอวลชื่นใจ ปรางเอากระทงดอกมะลิวางที่ศาลาด้านบน ก่อนจะเดินลงไปทรุดตัวนั่งที่บันไดท่าน้ำ
“ตกใจมากกระนั้นฤาที่เห็นข้า” นางว่า
“เอ้อ...” มิ่งอึกอัก หัวใจเริ่มเต้นแรง
“นี่คงนึกว่าข้าเป็นผีสางสินะ จึงตกใจเยี่ยงนั้น”
ในแสงวับแวมนั้น มิ่งยังพอจะแลเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าปรางและทีท่าที่ดูผ่อนคลาย ไม่ขึงขังจริงจัง เหมือนยามที่นางฝึกวิชาอาวุธให้เขา
“เอ้อ..” มิ่งยังคงอึกอัก หัวใจดูเหมือนจะเต้นแรงขึ้นกว่าเดิม
“กลายเป็นคนใบ้ไปแล้วฤา เหตุอันใดจึงไม่นั่งลงเล่า” นางพูดต่อ ทำให้มิ่งต้องนั่งลงที่อีกด้านของขั้นบันได กะให้มีระยะห่างจากนาง ไม่ใกล้ชิดเกินไปนัก
ปรางทอดสายตามองน้ำเบื้องหน้า ลมที่พัดมาอ่อนๆ ต้องผมนางที่ยามนี้ปล่อยยาวจนปลิวสยาย มิ่งเหลือบแลมองนาง ใบหน้าด้านข้างนั้นราวกับครุ่นคิดอะไรอยู่ ไม่ต้องบอกเลยว่า หัวใจมิ่งพองฟูคับอกยิ่งนัก เขาอยากเอ่ยอะไรกับนางมากมาย แต่ถ้อยคำต่างๆ กลับราวถูกดูดออกไปจนหมดสิ้น เขาได้แต่กล่าวออกมาว่า
“ยังมินอนฤาขอรับ”
“ข้ายังมิง่วง จึงเดินมาเก็บดอกไม้ใกล้ท่าน้ำนี่ กะว่าจักบูชาพระ พอแลเห็นเงาตะคุ่มๆ จึงเดินมานี่แล เจ้าเล่า เหตุอันใดจึงยังมินอน”
“ข้าก็ยังมิง่วงเช่นกัน ในกระต๊อบข้า อากาศอบอ้าวนัก ข้าจึงเดินมารับลมที่นี่” มิ่งตอบ หัวใจที่เต้นโครมครามดูจะเบาลงบ้างแล้ว
“มาอยู่บ้านพ่อข้า สบายดีอยู่ฤาไม่ มีอันใดขัดข้อง ก็บอกข้าได้หนา” ปรางว่า นี่เป็นครั้งแรกที่นางถามเขาเช่นนี้ แม้ว่าจะได้พบกันมาเป็นเวลานานพอสมควรแล้วก็ตาม
“มิมีดอก” มิ่งว่า รู้สึกดีที่วันนี้ปราง ถอดคราบแม่หญิงจอมดุออกอีกครั้ง จนดูเหมือนหญิงสาวธรรมดาๆ ทั่วไปคนหนึ่ง
“พ่อครูเมตตาข้าล้นฟ้า ให้ข้าได้อาศัย ได้ฝึกวิชา การกินการอยู่ก็มิมีขัดข้อง ข้ามีแต่พี่น้องที่เป็นมิตร เมตตาแลเอ็นดู พี่เดช...” มิ่งหยุดไปนิดหนึ่ง
“พี่เดชก็ดูแลข้าประหนึ่งน้องชายคนหนึ่ง” เขาพูดต่อ
“พี่เดชใกล้ชิดข้ามาแต่น้อย จิตใจพี่เดชเอื้อเฟื้อนัก ข้าเชื่อว่าพี่เดชเอ็นดูเจ้าดุจน้องชายจริงแท้” ปรางว่า
คำตอบของปรางที่แสดงความชื่นชมในตัวเดช ทำให้มิ่งรู้สึกแปลบเล็กๆ อยู่ภายใน เดชเป็นคนดี และดีมากพอที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะฝากชีวิตไว้ด้วย หนำซ้ำเดชก็ดูเหมือนจะไม่คิดฝากหัวใจไว้กับใคร นอกจากแม่ปรางคนนี้คนเดียว ถ้าแม่ปรางยังไม่มีเยื่อใยในตัวเดชตอนนี้ อย่างที่เจ้าคงว่าจริงๆ แล้วละก็ สักวันหนึ่ง นางจะต้องทุ่มเทหัวใจให้กับเดชทั้งหมดอย่างหนีไม่พ้นอยู่ดี
นึกแล้วมิ่งก็แอบถอนหายใจกับตัวเอง
“ถอนใจเพราะเหตุใดเล่า คุยกับข้าอยู่ ไปนึกถึงเรื่องอื่นฤา”
“เอ้อ มิได้” มิ่งแก้เก้อไป
“ฤาว่าหนักใจเรื่องพี่ริด พี่เลื่อง”
“มิได้ ข้ารู้ว่าพี่ทั้งสองไม่ชอบข้า แต่ข้าก็มิได้ถือสาอันใดดอก เราอาจจักยังมิคุ้นเคยกันมากพอ ต่อไป เมื่อพี่ทั้งสองเข้าใจข้ามากขึ้น ข้าว่าเราคงเป็นมิตรที่ดีต่อกันได้” มิ่งว่า
“คิดได้เยี่ยงนี้ก็ดียิ่งแล้ว สักวันพี่ทั้งสองคงหมดเหตุขุ่นเคืองใจเจ้าไปเอง เมื่อรู้ว่าเจ้ามิเคยมุ่งร้ายกับเขา”
ทั้งคู่นิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง ปรางแหงนหน้ามองพระจันทร์ที่สว่างนวลกลางฟ้า
“คืนนี้พระจันทร์งามนัก” นางว่า “เหมาะแก่การคิดถึงคนรัก” พูดแล้วก็หันมามองมิ่งซึ่งรู้สึกสะดุ้งอยู่ในใจเล็กน้อย เขารีบหลบสายตาโดยพลัน แต่ก็ตอบปรางไปว่า
“ข้ามิมีคนรักดอก เอ้อ ข้ามีแต่คนที่ข้ารัก แต่คนที่รักข้า มิมี” ตอบออกไปแล้วก็คิดว่า นี่ตัวเองช่างกล้าพูดเกินไปหรือเปล่า
“ส่วนข้า มีแต่คนที่รักข้า ดูจักรักมากเกินไปด้วย แต่คนที่ข้ารักมิมี...มิมีรักให้ข้า” ประโยคสุดท้ายดูเหมือนแผ่วเบาลง
มิ่งหันมามองนางอย่างรู้สึกฉงน แต่ดวงหน้านั้นยังคงทอดมองสายน้ำไหลเอื่อยในเงาสลัวเบื้องหน้า
“เจ้าชอบมาดูดวงจันทร์เยี่ยงนี้ฤา” ปรางเปลี่ยนเรื่อง
“เมื่อข้ายังเยาว์วัย ฟ้าสว่างเยี่ยงนี้ ข้าชอบมานั่งชานเรือน ย่าก็มานั่งด้วย แล้วเล่านิทานให้ข้ากับนางแม้นฟัง เวลาคืนเพ็ญ เราจึงมานั่งฟังนิทานของย่าเสมอ เมื่อข้าโตขึ้น ข้าก็ยังชอบมานั่งชมจันทร์คืนเพ็ญอยู่ แสงของดวงจันทร์ทำให้ข้าเย็นใจแลคิดสิ่งใดออกเสมอ” มิ่งตอบ
“แต่ข้ามิชอบดวงจันทร์เลย ยามที่เห็นดวงจันทร์ ข้ามักนึกถึงยามที่ข้ายังเล็ก ข้าสูญเสียแม่ไปในคืนเพ็ญเยี่ยงนี้ บ่อยครั้ง ข้าเศร้าใจแลคิดถึงแม่ยิ่งนัก เพลาที่เห็นดวงจันทร์”
“แม่ของท่าน...” มิ่งว่า
“แม่ป่วยหนัก พ่อหาหมอมารักษาหลายคน แต่มิมีผู้ใดรักษาแม่ได้เลย ข้าจำได้ดีว่า ยามที่แม่สิ้นลม พระจันทร์สว่างกลางฟ้าเยี่ยงนี้” นางหยุดไปนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ
“ข้าจึงมิชอบพระจันทร์ แต่ชอบดวงอาทิตย์ เพราะให้ความสว่างไสว ความอบอุ่น ไม่มืดมิดอย่างเพลากลางคืน”
ลมแรงพัดมาวูบหนึ่ง ต้องกระทงดอกไม้ที่วางอยู่ด้านบนล้มคว่ำ ดอกมะลิกระจายเกลื่อนออกมานอกกระทง ปรางรีบลุกขึ้นไปเก็บ มิ่งก็ผละจากที่นั่งอยู่ ลุกขึ้นไปช่วยนางเก็บเช่นกัน ทั้งคู่เก็บดอกมะลิที่หล่นอยู่ดอกหนึ่งพร้อมกัน มือของมิ่งจึงแตะบนมือของปรางอย่างมิตั้งใจ
“ข้าขอโทษ” มิ่งว่า
“มิเป็นไรดอก” ปรางตอบ ก่อนจะส่งดอกมะลิดอกนั้นให้มิ่ง
“ข้าให้เจ้านะ”
แม้จะฉงนอยู่ในใจมากมาย แต่มิ่งก็รับมะลิดอกน้อยนั้นมาด้วยใจที่เป็นสุขอย่างเหลือล้น...เขามองร่างบางที่ลุกเดินจากไป แล้วก็นั่งยิ้มอย่างอิ่มเอมใจเพียงคนเดียวอยู่ในความมืด
......
สายแล้วสินะ แสงสว่างส่องลอดเข้ามาในห้อง สาวิตรลืมตาตื่น แต่ดูเหมือนกลิ่นหอมเย็นของดอกมะลิในความฝันยังคงอบอวลอยู่ในความรู้สึก เขานึกถึงคำของปรางที่กล่าวแก่มิ่ง
“ข้าชอบดวงอาทิตย์ เพราะให้ความสว่างไสว ความอบอุ่น ไม่มืดมิดอย่างเพลากลางคืน”
สาวิตรยิ้ม นึกถึงชื่อของตัวเองที่แม่เคยบอกว่า “แปลว่า ดวงอาทิตย์” แม่ตั้งให้เขาด้วยเจตนาใดก็ตามทีเถอะ แต่ยามนี้ เขาบอกตัวเองว่า เขาปรารถนาจะเป็น “ดวงอาทิตย์” ให้ความสว่างไสว ความอบอุ่นแก่นางในฝันของเขาจริงๆ
นึกขึ้นมาแล้ว วูบหนึ่ง สาวิตรก็รู้สึกเหงาใจ ปรางเป็นเพียงภาพในฝัน เธออยู่ในอีกมิติแห่งอดีต เขาจะพบเธอได้เมื่อไรอย่างไร ยังไม่รู้เลย แต่แล้ว สาวิตรก็นึกปลอบใจตัวเองว่า แม้เขากับปรางจะต่างกันด้วยกาลเวลา แต่ก็อยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ดวงเดิม ดวงเดียวกันนี้เสมอ... The same sun เสียงเพลงแห่งความทรงจำแว่วเข้ามาในใจอีกครั้ง
.....
มีเสียงเตือนโทรศัพท์ดังขึ้น ธิโมที เจ้าน้องชายตัวดีโทรผ่านไลน์มาอีกนั่นเอง หลังจากทักทายและคุยสัพเพเหระอยู่ครู่หนึ่ง ธิโมทีก็เข้าเรื่อง
“พี่ฝันว่าไงมั่งตอนนี้”
สาวิตรจึงต้องเล่าเรื่องการเรียนวิชาการต่อสู้ของมิ่ง เรื่องชีวิตในบ้านพ่อครูพัน เรื่องของปราง ให้น้องชายฟัง ธิโมทีนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนจะพูดว่า
“ขอโทษนะพี่ เป็นไปได้ไหมที่พี่กินอะไรสักอย่างเข้าไปประจำ เลยฝัน หรือเป็นเพราะต้นไม้ที่พี่เอาไว้ในห้อง มีคนเค้าบอกเหมือนกันว่า ถ้าเราเอาต้นอะไรต่างๆ นี่ มาเลี้ยงไว้ในห้องนอน ตอนดึกๆ เจ้าต้นไม้พวกนี้มันจะดูดเอาออกซิเจนไปใช้หมด แล้วคายก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ออกมา เพราะฉะนั้นอากาศหายใจจึงน้อย อากาศไม่พอหายใจ เลยอึดอัดแล้วก็ฝันไปเรื่อย คือฝันเพราะขาดออกซิเจนน่ะ เพราะ...ผมพูดตรงๆ นะ บางครั้งมันคล้ายเป็นจินตนาการมากเลย”
ธิโมทีว่า เพราะสาวิตรเคยส่งไลน์ไปให้ดู ภาพต้นไม้หลายต้นที่ขนเอามาไว้ในห้องนอนเอง เมื่อกลับถึงเมืองไทย ทั้งตั้งพื้น วางบนขอบหน้าต่าง และแขวนผนัง อย่างลิ้นมังกร พลูด่างและปาล์มหมาก
“เอ ต้นไม้พวกนี้ พี่ศึกษาดูแล้วว่า มันสังเคราะห์ออกซิเจนได้ตอนกลางคืน แล้วก็ช่วยฟอกอากาศน่ะ เลยเอามาไว้ในห้อง อากาศจะได้ดี คงไม่ใช่น่ะ อ้าว นี่คิดว่าพี่ฝันเป็นตุเป็นตะหรือ บ้าจริง”
เสียงหนึ่งดังขึ้นในห้วงสำนึกของสาวิตร เป็นเสียงกลั้วหัวเราะอย่างรู้สึกขำ
“เจ้านี่ พอมาอยู่ยุคนี้ คิดมากจนยากจักรู้ของจริง” เสียงของ “ท่าน” นั้นเอง
“บอกมันไปสิว่า ตอนมันเห็นภาพข้าในโทรศัพท์ มันตกใจจนโยนโทรศัพท์ทิ้ง เจ้ามิต้องสงสัยนะ ข้าเคยทำให้มันเห็นเอง”
สาวิตรถ่ายทอดถ้อยคำที่ได้ยินในจิตให้น้องชายฟัง ธิโมทีที่อยู่ปลายสายถึงกับสะดุ้ง
“เอ้อ” ...
แล้วบอกมันไปด้วยว่า ข้าพูดกับมันว่า ‘เรื่องที่พี่ชายเจ้าเล่าเป็นจริงทุกคำพูด อย่าสงสัยอันใดเลย’ …”
สาวิตรบอกเล่าทุกคำที่ได้ยินให้น้องชายฟัง ธิโมทีอึ้ง เพราะเขาเคยได้ยินทุกคำพูดเหล่านั้นมาก่อนจริงๆ จนเอ่ยออกมาได้เพียงว่า
“ครับ”
“ข้าจริง...เรื่องของพี่เจ้าก็จริง ความจริงนี้ยากนักที่ใครจักเชื่อ แต่เจ้าสมควรเชื่อ”
สาวิตรยังคงได้ยินเสียงในห้วงสำนึก พร้อมกับภาพอันงามสง่าของพระองค์ท่าน เขายกมือขึ้นไหว้ ก่อนถ่ายทอดทุกถ้อยคำให้ธิโมทีฟังอีกครั้ง ธิโมทียังคงตอบได้เพียง
“ครับ”
“หวังว่านายคงเข้าใจแล้วนะทิม ว่าทุกสิ่งที่พี่เล่าเป็นความจริง งั้นวันนี้แค่นี้ก่อนนะ” สาวิตรว่า
“เดี๋ยวก่อนพี่ มีอีกเรื่องหนึ่ง” ธิโมทีเอ่ยขึ้น
“ช่วงนี้พี่เจอกับพี่เข็มบ่อยไหม คือพี่เข็มเขาคุยกับผมว่าเจอพี่วิตรน้อยมาก จะนัดก็ยากกว่าเดิม ดูเหมือนเขาจะน้อยใจพี่อยู่นะ ผมก็ไม่รู้หรอกว่า ระหว่างพี่กับพี่เข็ม มีอะไรกันหรือเปล่า แต่ถ้าห่างกันไป เพราะพี่วิตรเอาแต่ไปเจอนางในฝันละก็ ผมว่าแบ่งเวลาให้พี่เข็มหน่อยเถอะ เพราะยังไง พี่เข็มต่างหากที่มีตัวจริง เป็นของจริง แล้วก็จับต้องได้จริง อย่าให้พี่เข็มเสียใจเลยนะพี่”
สาวิตรฟังแล้วคราวนี้เป็นฝ่ายอึ้งบ้าง แต่ก็บอกน้องชายไปว่า
“ขอบใจนะทิม ที่บอกพี่”
ธิโมทีวางสายไปแล้ว คำพูดของน้องชายทำให้สาวิตรเริ่มคิดหนัก จริงสิ ช่วงนี้เขาเจอปรางนวลน้อยมาก เพราะเธอเข้าทำงานเป็นอาจารย์แล้ว ช่วงกลางวันจึงไม่ค่อยว่าง ส่วนช่วงเย็นค่ำ เป็นช่วงที่เขาหลีกเลี่ยงการนัดหมายเสมอ เพราะอยากจะเก็บเวลาไว้เดินทางในโลกแห่งความฝันอย่างเดียว ส่วนเวลาที่เหลือ เขาก็ค้นคว้าหาอ่านประวัติศาสตร์สุโขทัยอย่างเป็นจริงเป็นจังทั้งจากเว็บไซต์และหนังสือ
บ่อยครั้งที่เขากับปรางนวลนัดไปรับประทานอาหารกันในวันหยุด เมื่อสาวิตรขอตัวกลับบ้านในตอนเย็น เขาเห็นปรางนวลเงียบไป คงจะนึกน้อยใจอยู่ แต่เธอก็ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
สาวิตรยกมือขึ้นลูบหน้าผาก เขาเริ่มสับสน นี่จะทำตัว ทำใจอย่างไรดี เวลาที่เห็นปรางในความฝัน เขาก็นึกถึงปรางนวลมากมายในยามตื่น ปรางน่าจะกลับมาเป็นปรางนวลในภพนี้ เขาคิด เพราะแม้แต่ชื่อก็ยังเป็นชื่อเดียวกันอย่างน่าประหลาด หรือในภพนั้นเขาอาจมิสมหวังในรัก เพิ่งจะมาสมหวังในภพนี้ เพราะไม่มีอุปสรรคใดขวางกั้นระหว่างเขากับปรางนวลเลย แต่ความรู้สึกที่มีต่อปรางนวลก็ไม่เหมือนความรู้สึกที่มีต่อปราง...หรือเขาหลงรักปรางนวลในอดีต ในภาคของปราง มากกว่าปรางนวลที่มีตัวจริงในปัจจุบันภพเข้าแล้ว?
......
นับจากวันที่พบกัน ณ ท่าน้ำยามค่ำ มิ่งยังไม่มีโอกาสพบปรางเพียงลำพังอีกเลย เวลาที่ปรางฝึกวิชาการต่อสู้ให้ นางก็มีทีท่าเคร่งขรึมเช่นเดิม บ่อยครั้งมิ่งรู้สึกโหยหาโอกาสเช่นครั้งนั้น เขานั่งทอดสายตามองน้ำด้วยความเหงาใจอยู่หลายคืน บางคืนเสียงกรอบแกรบของใบไม้ทำให้เขารีบเหลียวหลัง ด้วยใจหวังว่านางจะย่างกรายมาอีกสักครั้ง แต่แทบทุกครั้ง หูเขาแว่วไปเอง บางครั้งก็เป็นเจ้าคงลงมานั่งคุยด้วย ไม่มีสักครั้ง ที่จะได้พบปรางอีกอย่างเช่นคืนเพ็ญคืนนั้น แม้แสงจันทร์จะเคยทำให้มิ่งรู้สึกเย็นใจและคิดอะไรออกมากมาย แต่ยามนี้เขาคิดไม่ตกเลยว่าจะทำอย่างไรดีกับความรู้สึกในใจที่ดูจะทวีคูณขึ้นตามกาลเวลาที่ผ่านไป
จะตัดใจก็ยากนักจะตัดให้ขาด ถึงแม้จะรู้ดีว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
เวลานี้ มิ่งเริ่มควงดาบสองมือได้แคล่วคล่อง เป็นที่พอใจของปรางซึ่งทำหน้าที่แม่ครู เมื่อนางบอกพ่อครูพัน พ่อครูก็ตบไหล่เขา แล้วบอกว่า
“ดีมาก ไอ้มิ่ง เอ็งมิทำให้ข้าผิดหวังเลย เรียนได้รวดเร็วมาก แม่ปรางก็เช่นกัน พ่อยินดียิ่งนักที่เจ้าเป็นครูได้อย่างดียิ่ง แม้จักเป็นเพียงหญิงก็ตาม”
คำพูดของพ่อครูพัน ทำให้ทั้งมิ่งและปรางต่างยิ้มออกมาพร้อมกัน
เย็นแล้ว ปรางเฝ้าดูมิ่งฝึกเพียงผู้เดียว เพราะเดชซึ่งเป็นดั่งเงาตามตัว กลับไปเยี่ยมบ้านสองสามวันมาแล้ว
“เจ้าว่าเจ้ามีวิชาหลบหลีกอาวุธที่ปู่สั่งสอนให้ ใช่ฤาไม่” ปรางถามขึ้น
มิ่งซึ่งกำลังควงดาบอยู่หยุดชะงัก แล้วตอบว่า “ขอรับ”
“ข้าขอชมสักหน่อย หวังว่าคงมิขัดข้อง” พูดแล้วนางก็เดินไปหยิบดาบไม้สำหรับซ้อมมา 2 คู่ ยื่นส่งให้มิ่งหนึ่งคู่ มิ่งรับมาถืออย่างงุนงงเล็กน้อย
“ข้าจักให้เจ้าต่อสู้กับข้า แต่ขอใช้ดาบไม้ จักได้มิเผลอทำร้ายเจ้าถึงเลือดตกยางออก เจ้าเองลองรับดาบของข้าดูได้ แต่โปรดสำแดงวิชาหลบหลีกของเจ้าให้ข้าชมด้วย” นางว่า
ปรางเริ่มจู่โจม มิ่งยกดาบขึ้นรับ เขารู้สึกว่าดาบนั้นช่างว่องไวและมีน้ำหนักจนแทบจะรับไม่ได้ มิ่งจึงฉากหลบ..ดาบแรก ดาบสอง ดาบสาม มิ่งยังหลบได้ ปรางซึ่งรู้สึกอยากเอาชนะ จึงหาช่องเต็มที่ จนดาบที่แปด ดาบไม้ของปรางก็ฟาดเข้าที่ท้ายทอยมิ่งซึ่งหลบไม่พ้น ถึงแม้ว่ามันจะไม่เต็มที่ แต่ก็แรงพอจนทำให้มิ่งเข่าทรุด ร่วงลงกับพื้น..
“นายมิ่ง” ปรางร้องอย่างตกใจ แล้วทรุดลงกับพื้นจับไหล่ของมิ่งที่นอนอยู่เขย่า...เงียบ ไม่มีเสียงตอบจากร่างที่แน่นิ่ง พ่อครูพันซึ่งฝึกสอนลูกศิษย์อยู่ไม่ไกลนัก รีบวิ่งมาดู แล้วร้องเรียกเจ้าคงกับลูกศิษย์หนุ่มอีกสองคนให้มาช่วยกันพยาบาลมิ่ง
“เจ้าทำอันใด แม่ปราง” พ่อครูพันถามลูกสาว
ปรางซึ่งมีสีหน้าตกใจตอบว่า “ข้าเพียงแต่ขอดูวิชาหลบหลีกคมอาวุธของเขาจ้ะพ่อ มิได้คิดว่าจักทำร้ายนายมิ่งเลย บังเอิญเขาหลบดาบข้ามิพ้น จึงฟาดเข้าท้ายทอย”
ศิษย์หนุ่มคนหนึ่ง ก้มลงเอาใบหน้าเข้าไปใกล้ๆ จมูกกับปากของมิ่งแล้วพูดขึ้นว่า
“ยังหายใจพ่อครู คงมิเป็นไรดอก สักหน่อยคงฟื้น”
“งั้นเอ็งกับไอ้คง หามมันไปพักที่เรือนมันก่อนเถิด ไอ้คง วันนี้เอ็งไปเฝ้ามันไว้ หากเป็นอันใดขึ้นมา จงรีบมาบอกข้า จะได้หาหมอหาหยูกยามารักษา”
พูดแล้วพ่อครูพันก็สั่งเลิกการฝึกอาวุธ และบอกให้ทุกคนเตรียมตัวอาบน้ำกินข้าวเย็นกันได้ เมื่อเดินผ่านปรางซึ่งยังคงนั่งสลด พ่อครูก็ก้มลงบีบไหล่บอบบาง แล้วปลอบเบาๆ ว่า
“มิเป็นไรดอกลูก เดี๋ยวไอ้มิ่งมันก็คงจักฟื้น ดูท่าคงไม่หนักหนามากนัก ไปกินข้าวกับพ่อเถิดหนา”
ปรางจึงลุกขึ้นและเดินขึ้นเรือนตามผู้เป็นพ่อไปอย่างช้าๆ สายตายังคงเหลียวมองตามเจ้าคงและศิษย์พ่อครูพันอีกสองคนที่ช่วยกันหามร่างของมิ่งไปพักยังกระต๊อบหลังน้อย
....
ค่ำแล้ว เจ้าคงยังนั่งพิงกระต๊อบเฝ้ามิ่งซึ่งนอนไม่ได้สติอยู่ หนังตาเริ่มจะหนักเพราะทั้งวันมันก็ฝึกซ้อมอาวุธกับคนอื่นๆ เมื่อนึกถึงที่หลับที่นอนขึ้นมา มันก็บ่นกับตัวเองเสียงอ่อยๆ
“พี่ปรางนะ พี่ปราง มิน่าทำเยี่ยงนี้เลย ข้าก็เลยพลอยลำบากไปด้วย” มันถอนหายใจเฮือกใหญ่
แต่สุดท้าย ด้วยความเหนื่อยอ่อน เจ้าคงก็เผลอหลับไปโดยไม่รู้สึกตัว ภายใต้แสงเทียนวับแวม มาสะดุ้งตื่นเอาเมื่อได้ยินเสียงมิ่งเพ้อว่า
“ปู่ ย่า นางแม้น ทิ้งข้าไปทำไม อย่าทิ้งข้าไป”
“พี่มิ่ง พี่มิ่ง” มันเรียกและลุกเข้าไปนั่งใกล้ๆ ไม่มีเสียงตอบ ไม่มีอาการบ่งบอกว่า มิ่งจะรู้สึกตัว เมื่อลองเอามือแตะหน้าผากดู เจ้าคงก็รู้สึกว่าเนื้อหนังของมิ่งราวกับจะลุกเป็นไฟ
“พี่มิ่งเป็นไข้นี่หนา”
เจ้าคงนึกถึงคำพ่อครูว่า ถ้ามิ่งอาการไม่ดีให้รีบไปแจ้ง จะได้หาหยูกยามารักษาได้ทัน มันตัดสินใจลุกขึ้น แต่ฉับพลันนั้น เสียงมิ่งก็เพ้อขึ้นว่า
“แม่ปราง ไยจึงมิใยดีข้า”
เจ้าคงหันมามองมิ่งที่ยังคงหลับตาอยู่เช่นเดิม วินาทีนั้น มันตัดสินใจที่จะไปเรียกปรางแทนพ่อครูพัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น